แดง เจดีย์

 

 

 

                                                               

บทที่ 1 

หนังสือ“ลูกเตี่ย” เขียนจากชีวิตจริงของผู้เขียนที่เกิดมาในครอบครัวลูกครึ่ง ไทย-จีน คุณแม่เป็นคนไทยส่วนเตี่ยเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่

         ในอดีตคนจีนแผ่นดินใหญ่มีชีวิตที่ลำบากยากแค้นแสนเข็ญ จากการบอกเล่าของเตี่ยที่เล่าให้ลูกๆฟังเมื่อครั้งสมัยที่เรายังเป็นเด็กเตี่ยเราเป็นคนจีนแต้จิ๋ว 潮州เตี่ยเกิดที่มณฑลกวางตุ้ง 廣東省จังหวัดซัวเถาหรือซ่านโถว 汕頭เตี่ยเกิดในหมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อ“ถี่แคแจ่หออั่งเท้า” อยู่ในพื้นที่ ”โผวเหล่งเอ๋”เตี่ยเกิดมาเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 3 คนในตระกูลแซ่ลิ้ม เป็นลูกอากง ”เง็ก แช่ลิ้ม” ส่วนอาม่าชื่อ”เงี้ยว” เสียชีวิตที่เมืองจีน ส่วนอากงมาเสียชีวิตรที่เมืองไทย

         คนจีนในสมัยก่อน ที่เกิดมาในตระกูลเดียวกันเขาจะมีลำดับหรือรุ่นบ่งบอกสถานะว่าเขาเกิดมาในลำดับรุ่น(Generation)อะไร เตี่ยผมเกิดมาในตระกูลลิ้มที่ลำดับรุ่น”เฮี้ยงป่วย”ส่วนตัวเราเกิดมาในลำดับรองลงมาจากเตี่ย นั่นคือ”เลี้ยงป่วย”เราจำได้คร่าวๆว่าลำดับต่อจากตัวเราจะเป็น เอี่ยง,อุ่น,เซ็ง ตามลำดับ คำว่า ”ป่วย辈”ในภาษาจีนมาจากคำว่า”辈序ปุ้ยซื้อ” หรือ "ป้วยสู” ป้วยสูเป็นภาษาแต้จิ๋ว ส่วนปุ้ยซื้อ เป็นภาษาฮากกาสำเนียงไท้ปู และหมุ่ยแย้นซึ่งอ่านออกเสียงเหมือนกันหมายถึงลำดับศักดิ์ในวงศ์ตระกูลของสายเลือดเดียวกัน “姓氏เซี้ยงซื้อ” ซึ่งถูกกำหนดด้วยลำดับสัญลักษณ์อักษรจีน ก่อน-หลัง เอาไว้แล้วตั้งแต่สมัยโบราณและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ”姓氏族谱เซี้ยงซื้อชุกพู่” คือหนังสือทำเนียบบรรพชนสกุลนั้นๆซึ่งถูกกำหนดลำดับไว้เป็นตัวเลข ลำดับที่เรียกว่า “世ซื้อ”เช่นทำเนียบบรรพชนสกุลฝุงจะเขียนว่า “冯氏族谱”แบบนี้เป็นต้น

         อย่างที่เกริ่นไว้ว่าในประเทศจีนสมัยก่อน ความเป็นอยู่นั้นลำบากมากเตี่ยเราต้องหาบเกลือข้ามภูเขาประมาณสองถึงสามลูกเพื่อเอาเกลือไปขาย การหาบเกลือนั้นต้องเอาผ้าพันน่องไว้ให้แน่นๆกันน่องโป่งออกมาเพราะน้ำหนักเกลือที่หาบและระยะทางที่ยาวไกล ถ้าปล่อยให้น่องโป่งออกมาอาจจะแตกหรือปริเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือพิการได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการดำรงชีวิตของชาวจีนในสมัยนั้น

 


 

    

 

  บทที่ 2

 

 

 

         ด้วยสภาพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยในการทำมาหากินในมณฑลกวางตุ้งที่เตี่ยเกิดและอาศัยอยู่นี้ทำให้ชาวจืนที่อาศัยอยู่ที่มณฑลนี้ต่างดิ้นรนขนขวายย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยไปยังพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์กว่า เฉกเช่นปลาที่อยู่ในโคลนตมยังรู้จักดิ้นรนหาแหล่งน้ำแห่งใหม่ที่ดีกว่าเพื่ออาศัยทำมาหากินให้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย ชาวจีนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ก็เช่นกัน เป็นชาวจีนที่มีการอพยพไปยังประเทศต่างๆที่มีความอุดมสมบูรณ์มากมายหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยด้วย

         จากเหตุผลข้างต้นเตี่ยของผู้เขียนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ดิ้นรนย้ายถิ่นฐานที่อยู่ตามอากงที่เดินทางมาหาความอุดมสมบูรณ์ในสุวรรณภูมิแห่งนี้เพียงลำพัง ต่อมาอาม่า”เงี้ยว” ก็ส่งลูกชายทั้งสามคนมาตามหาอากงเพราะหากยังขืนอยู่ที่เมืองจีนต่อไปสักวันคงอดตายแน่นอน

ก่อนที่เตี่ยกับพี่ชายอีกสองคนจะออกเดินทางจากเมืองจีนอาม่าได้เตรียมน้ำดื่มและของใช้เท่าที่จำเป็นและพอหาได้ให้ลูกชายทั้งสามเอาติดตัวมาด้วย

         วันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2484 สามพี่น้องตระกูลลิ้มนำโดยพี่ชายใหญ่”เฮี้ยงเจ๋า”ตามมาด้วยน้องรอง”แหม่อั๊วะ”และน้องเล็ก”เจ้าตวง”สามพี่น้องออกเดินทางจากมณฑลกวางตุ้งเพื่อมาลงเรือที่จังหวัดฮ่องกง เดินทางต่อมาโดยเรือลากจูง”โตมารู”จากจังหวัดฮ่องกงประเทศจีน มาประเทศไทยการเดินทางในสมัยก่อนนั้นค่อนข้างลำบากต้องใช้เวลาเดินทางนานถึง 9วันกว่าจะถึงประเทศไทย

         วันที่ 10 เมษายน พ.ศ.2484 เตี่ยกับพี่ชายทั้งสองเได้เหยียบแผ่นดินไทยเปนครั้งแรกแล้วก็ออกตามหาอากงโดยถามไถ่จากบรรดาญาติพี่น้องที่เดินทางมาอยู่เมืองไทยก่อนจนพบอากงทำสวนอยู่ที่อำเภอบ้านแพ้วจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อรู้ว่าอากงทำสวนอยู่ที่นี่แล้วเตี่ยก็ไปแจ้งดำเนินการขอทำใบต่างด้าวกับทางราชการเพื่อขออนุญาติทำมาหากินในผืนแผ่นดินไทย เมื่อดำเนินการตามกระบวนการทางราชการเรียบร้อยแล้วสามพี่น้องก็แยกย้ายกันหางานทำ เตี่ยไปสมัครเป็นคนงานทำสวนผักกับเจ้าของสวนชาวจีนที่มาอยู่เมืองไทยก่อนแถวๆบางซื่อโดยได้รับเงินเดือนครั้งแรกเดือนละแปดบาท ทำงานได้เงินเดือนเดือนแรกเตี่ยดีใจมากหลังจากรับเงินเดือนแล้วก็ไปตัดผม ซื้อกางเกงขาก๊วยสองตัว ผ้าขาวม้าอีกหนึ่งผืนหมดเงินไปมากโข เตี่ยเล่าด้วยรอยยิ้มว่าใช้เงินไปเกือบสามบาท อยู่มาได้ประมาณหนึ่งปีเงินเดือนก็ขึ้นตามอายุงานบวกความขยันจนสุดท้ายได้รับเงินเดือนๆละสิบเอ็ดบาท เตี่ยทำงานที่นี่ประมาณสามปีก็ลาออกเพราะต้องการที่จะขยับขยายเป็นเจ้าของสวนเองด้วยเงินทุนที่เก็บหอมรอมริบจากหยาดเหงื่อแรงงานในการทำสวนผักที่นี่ เตี่ยเก็บเงินได้เป็นจำนวนเงินเกือบสามร้อยบาทเมื่อปี พ.ศ.2487

         หลังจากลาออกจากการเป็นลูกจ้างสวนผักที่บางซื่อแล้วเตี่ยก็เดินทางไปหาอากงที่ทำสวนผักอยู่ก่อนหน้านี้ที่ ตำบลดอนไผ่ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร (ตำบลดอนไผ่ปัจจุบันขึ้นกับจังหวัดราชบุรีแล้ว)ที่บ้านแพ้ว อากงเช่าที่ดินทำสวนกับภรรยาใหม่ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนส่วนตั่วแป๊ะ(พี่ชายคนโต)ก็เช่าที่ดินทำสวนเหมือนกัน ยกเว้นหยี่แป๊ะ(พี่ชายคนรอง)เสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นไม่นาน เตี่ยเริ่มต้นเป็นเจ้าของสวนที่นี่ด้วยเงินทุนสามร้อยบาทโดยการเช่าที่ดินจาก”ลุงพัง” จำนวนสี่สิบไร่เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าเมื่อทำสัญญาเช่าโดยมี”กำนันล้วน”เป็นคนกลางทำสัญญาเช่าให้เป็นที่เรียยร้อยแล้วเตี่ยก็เริ่มเบิกสวนโดยวิธีลงแขก วิธีลงแขกคือการรวมตัวกันของกลุ่มผู้ที่สนิทชิดเชื้อนับถือกันช่วยกันลงแรงโดยไม่มีการคิดค่าแรงแต่อย่างใดแต่มีข้อแม้ว่าถ้าในครั้งหน้าสมาชิกในกลุ่มรายใดต้องการใช้แรงงานก็จะผลัดกันไปช่วยเหลือใช้แรงงานกันโดยมีเจ้าของบ้านเป็นผู้ดูแลหุงหาอาหารและจัดหาขนมนมเนยมาเลี้ยงดูกัน การรวมตัวกันของสมาชิกเริ่มขึ้นที่ตั่วแป๊ะกับอากงและเพื่อนๆที่อพยพมาจากเมืองจีนอีกหลายคนช่วยกันลงมือเบิกสวน วิธีเบิกสวนคือในขั้นตอนแรกต้องช่วยกันถากถางหญ้าที่รกร้างออกให้หมดเสียก่อนต่อจากนั้นก็เริ่มวางแบบแปลนว่าจะใช้พื้นที่อย่างไรให้เหมาะสมโดยปกติแล้วจะต้องแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้ปลูกบ้านและที่สำคัญบริเวณบ้านต้องมีพื้นที่ทำเป็นลานกว้างๆไว้เป็นลานสำหรับพักหรือใช้ตากผลผลิตทางการเกษตรต่างๆเช่นการตากพริกเพื่อทำพริกแห้งเป็นต้น(ลานแบบนี้ชาวจีนเรียกว่าเตี๊ย)เมื่อแบ่งพื้นที่ลงตัวแล้วต่อไปคือการเบิกสวน สิ่งสำคัญของพื้นที่ที่ใช้สำหรับทำการเกษตรคือน้ำ เพราะฉนั้นจึงจำเป็นต้องขุดท้องร่องเพื่อเป็นคลองส่งน้ำเล็กๆรอบบริเวณสวนโดยส่วนใหญ่แล้วพื้นที่การทำสวนจะติดคลองที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ตลอดทั้งปี การนำน้ำจากคลองเข้าสวนก็จะใช้วิธีติดตั้งระหัดวิดน้ำที่มีรางทำจากไม้และใบระหัดเป็นไม้เช่นกัน อาศัยพลังงานจากเครื่องยนต์ฉุดระหัดให้สามารถนำน้ำเข้าสวนได้ การขุดท้องร่องรอบๆสวนนั้นต้องใช้ศิลปะและความมานะพยายามอย่างมากเนื่องจากต้องใชัความสามารถเฉพาะตัวในการใช้เครื่องมือต่างๆเช่น พลั่ว เสียม หรือบางครั้งต้องใช้มือเปล่าๆช่วยโกยดินขึ้นเพื่อเตรียมพื้นที่ในการทำสวนการทำลักษณะนี้รวมๆเรียกว่าการ ”เบิกสวน”

         หลังจากการเบิกสวนผ่านไปก่อนการทำการเพาะปลูกจะต้องมีระยะเวลาในการตากดินพื้นที่ที่จะทำการเพาะปลูกเสียก่อนตามประสบการณ์ที่ผ่านมา ในระหว่างรอระยะเวลานี้เตี่ยก็เริ่มลงมือสร้างบ้านด้วยวัสดุที่พอหาได้ในท้องถิ่นเช่นไม้ไผ่ ใบจากสำหรับมุงหลังคา การปลูกบ้านที่อยู่อาศัยในระยะแรกก็จะปลูกแบบประหยัดไปก่อนรอจนกว่าจะเก็บเงินจากการขายพืชผลทางการเกษตรได้เป็นกอบเป็นกำเสียก่อนจึงค่อยๆขยับขยายสร้างต่อเติมให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

         เมื่อพักดินที่พลิกฟื้นขึ้นใหม่ได้ระยะเวลาตามกำหนดแล้วก็ถึงเวลาทำการเพาะปลูก สำหรับการเพาะปลูกนั้นต้องคาดเดาว่าในระยะเวลาที่ผลผลิตทางการเกษตรของเราสามารถเก็บเกี่ยวได้นั้นควรเป็นเดือนอะไร

 


 

 

 

บทที่ 3

          ในข่วงนั้นผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่ทิศทางตลาดเป็นอย่างไร ชาวสวนจะต้องมีความรู้ ศึกษาตลาด วิธีดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว และปัจจัยอื่นๆอีกมากมายและที่สำคัญคือการปลูกไม้ยืนต้นไว้รับประทานเองรอบๆสวนเข่น มะม่วงชนิดกินสุก ชนิดกินดิบ มะพร้าว มะกรูด มะนาวและอื่นๆเท่าที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินขีวิตประจำวัน

         เมื่อถึงเวลาที่พอเหมาะในการปลูกพืชผักในครั้งแรกเตี่ยเลือกปลูกผักที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นๆเช่น ผักคะน้าผักชี ต้นหอม เพื่อให้ได้เงินมาทำทุน ใช้จ่าย ในระยะเวลาที่ไม่ต้องรอนานนัก ส่วนริมๆร่องสวนก็ปลูกเผือก ปลูกข้าวจ้าว ซึ่งเป็นพืชที่ชอบน้ำต้องปลูกไว้ในพื้นที่ใกล้ๆน้ำเช่นริมร่องสวนแบบนี้ เตี่ยจะปลูกเอาไว้กินเองบางครั้งได้ผลผลิตมากเหลือกินก็สามารถนำไปขายสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย เมื่อเตี่ยเริ่มวางรากฐานชีวิตได้มั่นคงในระดับหนึ่งแล้วก็คิดที่จะหาคู่ชีวิตมาเป็นคู่คิดในการทำมาหากินเตี่ยมีความคิดไว้ในใจแล้วแต่ยังไม่เจอคนที่ถูกใจจนกระทั่งถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตในสวนครั้งหนึ่งก็จะมีสาวๆมารับจ้างเก็บเกี่ยวผลผลิตกันมาก การเก็บเกี่ยวผลผลิตนั้นใช่ว่าจะตั้งหน้าตั้งตาเก็บเกี่ยวกันอย่างเดียว บางครั้งก็มีการพูดคุยหยอกล้อกันบ้างเพื่อความสนุกสนานและผ่อนคลายไม่เคร่งเครียดจนเกินไป บางคนก็สะพายวิทยุทรานซิสเตอร์ฟังเพลงไปด้วยทำงานไปด้วย อยู่มาวันหนึ่งเตี่ยก็มาดูความเรียบร้อยมาพูดคุยให้กำลังใจคนงานแต่ลึกๆในใจเตี่ยมาแอบดูคนงานสาวๆหาที่ถูกใจสักคนเพื่อขอแต่งงานใช้ชีวิตคู่แบบหนุ่มสาวทั่วไป ในลักษณะการพูดคุยนั้นเตี่ยเป็นคนจีนเพิ่งมาอยู่เมืองไทยได้ระยะหนึ่งการพูดภาษาไทยยังไม่แข็งแรง ในขณะที่เตี่ยพูดคุยอยู่กับคนงานที่มารับจ้างทำงานในสวน เตี่ยแอบชอบสาวคนหนึ่งไว้ในใจแล้ว

         ในขณะที่เตี่ยกำลังพูดคุยอยู่กับคนงานที่มารับจ้างทำงานในสวนจู่ๆก็มีเต่าตัวหนึ่งเดินต้วมเตี้ยมผ่านมาเตี่ยรู้ว่าชาวบ้านย่านนี้นิยมกินเต่าเป็นอาหารเมื่อเตี่ยเห็นเต่าตัวนั้นก็ไปจับเอามามอบให้สาวสวยนางหนึ่งที่ชื่อ ชม จันทร์คณา เป็นสาวที่เตี่ยหมายตาไว้ว่าจะขอนางแต่งงานด้วย ในขณะที่เตี่ยยื่นเต่าให้เธอเตี่ยก็พูดขึ้นดังๆว่า ”เอากูไหม” หา! อะไรนะ สาวชมรู้สึกเขินอายเมื่อถูกจู่โจมถามแบบนั้นได้แต่ครุ่นคิดว่าไอ้หนุ่มซินตึ้งคนนี้มีวิธีบอกรักสาวแบบพิสดารเกินคาด ก็เลยคิดในใจว่าเป็นยังไงเป็นกัน เอาก็เอาวะ หลังจากนั้นเตี่ยกับสาวชมก็คบหาดูใจกันจนกระทั่งแต่งงานกันในเวลาต่อมา หลังแต่งงานกันแล้วทั้งเตี่ยและแม่ชมก็มาทบทวนความหลังถึงครั้งแรกที่พบกัน แม่ถามเตี่ยว่าทำไมลื้อถามอั้วว่า”เอากูไหม” เมื่อแม่ได้ฟังคำอธิบายจากเตี่ยถึงกับหัวเราะหงายท้อง ที่เตี่ยถามแบบนั้นเพราะเตี่ยยังไม่รู้ว่าไอ้เจ้าตัวนี้คนไทยเรียกว่าอย่างไร แต่คนจีนจะเรียกเจ้าตัวนี้ว่า”กู” ที่ถามว่าเอากูไหมคือเตี่ยถามแม่ว่า เอาเต่าไหม เมื่อเตี่ยรู้ความหมายจากการอธิบายของแม่ว่าคำว่า”กู”คืออะไรเตี่ยถึงกับอมยิ้มเขินอายไปหลายวัน

         แล้วชีวิตคู่ก็ดำเนินมาแบบมีจุดหมาย เตี่ยใฝ่ฝันอยากจะได้ลูกชายไว้สืบสกุลสักคน ถึงเวลาที่แม่ตั้งท้องลูกคนแรกเตี่ยรู้สึกตื่นเต้นได้แต่ภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ประทานลูกชายให้สักคน ครั้นพอถึงเวลาแม่คลอดลูกออกมา ปรากฏว่าเป็นลูกสาว เตี่ยรู้สึกผิดหวังเล็กๆแต่ก็คิดว่าไม่เป็นไรถึงอย่างไรก็ลูกเราเอาไว้คนต่อไปก็ได้ หลังจากนั้นถัดไปอีกปีแม่ก็ตั้งท้องอีกครั้ง คราวนี้คงไม่ผิดหวังแน่เตี่ยได้แต่ภาวนาขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นเคย แล้วความผิดหวังก็มาเยือนเตี่ยอีกครั้งเมื่อแม่คลอดลูกสาวคนที่สอง เตี่ยได้แต่ทำใจไม่ยอมท้อไม่หมดหวังคิดว่าคนต่อไปน่าจะเป็นผู้ชาย เตี่ยหวังอยากได้ลูกชายมาก สองปีต่อมาแม่ก็ตั้งท้องอีกเป็นท้องที่สามแล้วความผิดหวังก็มาเยือนเตี่ยอีกครั้ง สามปีติดต่อได้ลูกสาวมาสามคน เตี่ยรู้สึกหมดหวังหลังจากนั้นต่อมาอีกสามปีแม่ก็ท้องอีกครั้ง เตี่ยนึกว่าขอเถอะคนนี้ขอเป็นผู้ชายนะผู้หญิงเยอะแล้ว ครั้นพอแม่คลอดลูกสาวคนที่สี่ออกมาเตี่ยถึงกับตั้งชื่อให้ว่า”เซี่ยมหลา”คำว่า”หลา”ในภาษจีนแปลว่าพอแล้ว หลังจากนั้นเตี่ยก็เที่ยวไปกราบไหว้วอนเทพเจ้าต่างๆได้โปรดประทานลูกชายมาให้สืบสกุลสักคนเถอะถึงกับไปบนบานศาลกล่าวต่อ”เจ้าพ่อสุดลา”ที่โรงเจไถ่อิกตั้วบริเวณใกล้ๆบ้านนั่นเอง หลังจากนั้นอีกไม่นานแม่ก็ท้องเป็นท้องที่ห้า คราวนี้เตี่ยมั่นใจว่าไม่พลาดแน่เพราะเที่ยวไปกราบขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆทั่วสารทิศ และยังไปบนบานศาลกล่าวขอให้ได้ลูกชายไว้อีกต่างหาก พอถึงกำหนดคลอด คราวนี้เตี่ยไม่ผิดหวัง แม่คลอดลูกออกมาเป็นผู้ชายสมใจเตี่ยยิ่งนัก ต่อมาอีกสองปีแม่ก็ตั้งท้องอีกเตี่ยก็ไปบนกับเจ้าพ่อสุดลาที่เดิมอีกครั้งเพราะเคยเห็นผลมาแล้วและก็สมใจเตี่ยอีกครั้งเตี่ยได้ลูกชายคนที่สอง(ผู้เขียน)เตี่ยรักลูกชายมากทะนุถนอมส่งเสียให้เรียนทั้งโรงเรียนที่สอนแบบจีนและไทยควบคู่กันไปโดยโรงเรียนจีนที่เตี่ยเลือกให้ลูกชายได้เรียนคือโรงเรียน “ตี่ตงหักเหา”ในละแวกใกล้บ้านนั่นเอง ในขณะที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กอยู่รับรู้ได้ถึงไออุ่นของความรักจากเตี่ย หลายครั้งเตี่ยจะเอาเราไปนอนกอดแล้วเริ่มอบรมสั่งสอนบอกเรื่องราวต่างๆให้ฟัง เล่าถึงความหลังที่เมืองจีนบ้าง บอกเทคนิคการดำรงชีวิตบ้างทำให้เราเคลิ้มหลับคาอกเตี่ยเป็นประจำ ส่วนแม่ก็รักลูกชายไม่แพ้เตี่ยเหมือนกันแม่เป็นคนขยันทั้งงานบ้านงานสวนทุกครั้งที่แม่ทำงานบ้านแม่จะเปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ฟังเพลงบ้าง ฟังนิยายบ้าง ในขณะนั้นเรายังเป็นเด็กมากแต่ก็พอจำความได้ ยังจำได้ว่าแม่ชอบฟังนิยายจีนอยู่เรื่องหนึ่งเป็นประจำนั่นก็คือเรื่อง”เช็งฮองเฮา”แม่จะฟังไปด้วยทำงานบ้านไปด้วยส่วนตัวเราจะนั่งเล่นอยู่บริเวณหัวบันไดบ้าน บ้านเราจะเป็นบ้านยกพื้นใต้ถุนสูงเพราะพื้นที่ที่ปลูกบ้านในละแวกนั้นนิยมปลูกบ้านใต้ถุนสูงแทบทุกบ้านเนื่องจากพอถึงฤดูน้ำหลากน้ำจะท่วมใต้ถุนบ้านบ้างในบางคราวมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนเรายังเป็นเด็กได้รับฟังนิยายจากทรานซิสเตอร์ของแม่เพลินๆเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นกับตัวเรา เรารู้สึกว่าได้ยินเสียงดังก้องเข้ามาในหูดังตุ๊บ สักพักหนึ่งก็มีเสียงเอะอะโวยวาย เราได้ยินเสียงนั้นเหมือนคนกำลังฝัน สักพักหนึ่งเราเห็นเตี่ยเห็นพี่ๆมายืนมุงเรา เรารู้สึกงงๆมารู้ตัวอีกทีว่าเราตกบันไดหัวทิ่มลอดขั้นบันไดไปโหม่งกับพื้นดินใต้บันไดที่ไม่แข็งมากนักยังจำได้ว่าพื้นดินที่หัวเราทิ่มลงมายังเป็นรอยรูปหัวเราอยู่เลยทำให้เราจำนิยายเรื่อง”เช็งฮองเฮา”ได้อย่างแม่นยำจนกระทั่งทุกวันนี้     

 


 

บทที่ 4

           อย่างที่บอกกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าพอถึงฤดูน้ำหลากน้ำจะท่วมพื้นที่แห่งนี้บ้างเป็นบางปี มีอยู่ปีหนึ่งในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ซึ่งจะตรงกับข่วงฤดูน้ำหลากพอดีปีนั้นน้ำท่วมลานที่ใช้พักหรือตากผลผลิตทางการเกษตรที่อยู่ติดกับบริเวณบ้าน เรานึกสนุกเลยไปเอาลูกมะพร้าวมามัดติดกันข้างละหนึ่งลูกเพื่อใช้ทำทุ่นสำหรับว่ายน้ำเพราะเห็นพี่ๆเคยทำกันสักพักหนึ่งน้องสาวคนติดต่อกับเราชื่อหมวยก็ลงมาเล่นน้ำด้วย น้ำที่ท่วมบริเวณลานสูงแค่หน้าอกพวกเราก็เลยเล่นกันสบายๆขณะที่เล่นน้ำอยู่นั้นพี่สาวเห็นว่าเล่นนานแล้วก็มาเรียกให้เลิกเล่นได้แล้วเพราะเวลานั้นก็เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว พี่สาวถามเราว่าแล้วหมวยล่ะอยู่ที่ไหน เราหันไปมองรอบทิศไม่เห็นแม้แต่เงาของน้องสาว พี่สาวอีกคนที่อยู่บนบ้านได้ยินแค่นั้นก็รู้ได้ทันทีว่าน้องสาวจมน้ำเพราะลานที่ติดกับบ้านน้ำท่วมไม่มากก็จริงแต่ด้านข้างของลานติดกับท้องร่องที่ใช้สำหรับรดน้ำผักในยามปกติบวกกับน้ำที่ท่วมลานรวมแล้วสูงเป็นเมตร พี่สาวที่อยู่บนบ้านตกใจคิดได้ทันทีว่าน้องสาวคงลื่นลงไปในท้องร่องแน่ ด้วยความรีบและตกใจพี่สาวคนที่อยู่บนบ้านรีบลงจากบ้านโดยไม่เดินไปลงทางบันไดอาศัยเกาะเสาต้นหลังบ้านลื่นไถลลงมางมหาน้องสาวในท้องร่องทันที สักพักหนึ่งพี่สาวก็เดินสะดุดร่างของน้องสาวที่จมน้ำอยู่ในท้องร่อง ทันทีที่ขาของพี่สาวสะดุดร่างของน้องสาวก็ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำเพราะน้องสาวสำลักน้ำเข้าไปเต็มท้องทำให้ร่างลอยขึ้นมาอย่างง่ายดายเตี่ยเห็นร่างน้องสาวลอยขึ้นมาจึงรีบไปคว้าขาของน้องสาวทั้งสองข้างพาดบ่าเอาหัวน้องสาวห้อยลงด้านหลังแล้วเขย่าๆๆๆ ทันใดนั้นเองทั้งน้ำและเศษอาหารก็ทะลักออกทางปากและจมูกของน้องสาวเราแต่น้องสาวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นเตี่ยจึงสั่งให้พี่สาวคนที่สองโก้งโค้งเพื่อเอาร่างน้องสาวพาดคว่ำหน้าลงไปบนหลังของพี่สาวแล้วเตี่ยก็ออกแรงกดร่างน้องสาวอยู่พักใหญ่น้องสาวเราก็สะอึกและรู้สึกตัวทุกคนต่างรู้สึกดีใจที่น้องสาวฟื้นคืนชีพมาได้ พอวันรุ่งขึ้นเป็นวันไหว้พระจันทร์อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่าเตี่ยเป็นคนเคร่งครัดประเพณีต่างๆอย่างมากไม่ยอมละเว้นแม้กระทั่งเกิดเหตุการณ์น้องสาวจมน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอดก่อนหน้านี้เพียงวันเดียว ในขณะที่ไหว้พระจันทร์อยู่นั้นก็เป็นเวลาประมาณสามทุ่มแม่ก็เอาวิทยุทรานซิสเตอร์คู่ใจมาเปิดฟังพอเปิดวิทยุขึ้นมาปุ๊บได้ยินเสียง สุรพล สมบัติเจริญ กำลังร้องเพลงทุกคนในบ้านต่างหันมามองหน้ากันแล้วกลั้นหัวเราะไม่อยู่เพราะวลีแรกที่ได้ยินผ่านลำโพงวิทยุทรานซิสเตอร์คือ”อั้วไอ่ขื่อเที่ยวจุ๋ยซี้เหลี่ยวโอ้ย”แปลเป็นไทยคือ”เราจะไปโดดน้ำตายแล้วนะ”จำได้ว่าเป็นเพลง”แซ่ซี้ไอ้ลื้อเจ๊กนั้ง”ซึ่งเป็นเพลงดังในยุคนั้นแต่ที่พวกเรากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์น้องสาวคนเล็กจมน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอดก่อนหน้านี้เพียงวันเดียว

        เตี่ยเราเป็นคนมองการณ์ไกลและรักในวัฒนธรรมจีนที่เป็นชาติกำเนิดยิ่งนัก ถึงขนาดไม่ยอมให้ลูกๆพูดภาษาไทยในชีวิตประจำวันให้ใช้ภาษาจีนเท่านั้นเพราะเกรงว่าสักวันหนึ่งจะพูดภาษาจีนไม่ได้ ขนาดแม่เป็นคนไทยแท้ๆอยู่กินกับเตี่ยมาไม่นานก็สามารถพูดภาษาจีนได้อย่างชำนาญเพราะเตี่ยพยายามพูดภาษาจีนกับแม่พูดไปสอนไปตลอด กับลูกๆก็เหมือนกัน เตี่ยจะพูดจีนด้วยไม่ยอมให้พูดภาษาไทย ด้วยเหตุผลว่าอยู่ในประเทศไทยต่อไปภายภาคหน้าต้องพูดภาษาไทยได้แน่นอนอยู่แล้วเตี่ยเป็นคนรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมจีนมากไม่ว่าจะเป็นการไหว้เจ้า ไหว้พระจันทร์ ไหว้บรรพบุรุษต่างๆ เตี่ยจะคอยอธิบายความหมายของประเพณีต่างๆให้ลูกๆได้รับทราบพร้อมกับปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่างเสมอๆทำให้ลูกเตี่ยทุกคนซึมซับประเพณีวัฒนธรรมจีนอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยความเคร่งครัดของเตี่ยถึงขนาดพี่สาวคนโตครบเกณฑ์อายุเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งตามภาคบังคับที่โรงเรียนวัดหนองสองห้อง อำเภอบ้านแพ้ว ละแวกใกล้ๆบ้านยังไม่สามารถพูดภาษาไทยได้สร้างความปวดหัวให้กับคณะครูโรงเรียนนี้มาแล้ว

          หลังจากที่เตี่ยสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่นมีฐานะทางการเงินอยู่ในขั้นผู้มีอันจะกินก็เริ่มรับใช้สังคมบ้างไม่ว่าจะเป็นงานวัดงานศาลเจ้าเตี่ยจะนำเงินไปสมทบทุนบริจาคช่วยเหลือสาธารณกุศลต่างๆอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะศาลเจ้าที่เตี่ยเคยไปบนบานศาลกล่าวขอให้ได้ลูกชายถึงขนาดทางศาลเจ้าแห่งนี้แต่งตั้งให้เตี่ยเป็น”เถ่านั๊ง”แปลเป็นไทยคือกรรมการศาลเจ้า พอถึงเทศกาลประจำปี งานงิ้ว งานเทกระจาด เตี่ยจะได้รับเชิญให้ไปร่วมงานทุกปี เตี่ยก็จะอนุญาติและพาพี่ๆที่เป็นผู้หญิงไปเที่ยวงานด้วยเป็นประจำสาเหตุที่เตี่ยพาพี่ๆผู้หญิงไปเที่ยวงานด้วยนั้นก็เพราะเวลาปกติพี่ๆเหล่านั้นจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำสวนแทนเตี่ย ไม่มีโอกาสที่จะได้ไปเที่ยวที่ไหนตามลำพังเพราะเตี่ยหวงลูกสาวมาก และอีกประการหนึ่งก็คือลูกๆที่ไปเที่ยวด้วยนั้นอยู่ในสายตาเตี่ยทุกคนไม่มีทางออกนอกลู่นอกทางได้ มีแต่เรากับพี่ชายเท่านั้นที่เตี่ยต้องซื้อพวงมาลัยขนมปัง และของเล่นมาฝากเป็นประจำเพราะเตี่ยไม่ยอมพาเราไปเที่ยวด้วย ส่วนการเดินทางไปเที่ยวนั้นไปได้ทางเดียวคือทางเรือสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่เจริญไม่มีถนนให้รถวิ่งเหมือนในปัจจุบัน การไปเที่ยวงานเตี่ยจะต้องนัดเรือหางยาวโดยสารให้มารับที่บ้าน เราเองก็ร้องไห้ตามพี่ๆเพราะความอยากไปเที่ยวเหมือนกันแต่เตี่ยก็ไม่เคยให้เราไปด้วยสักครั้งเดียว สำหรับงานประจำปีศาลเจ้าสมัยก่อนนั้นจะมีงานคราวละประมาณ 9วัน 9คืนเตี่ยก็จะพาพี่ๆผู้หญิงไปเที่ยวด้วยแทบทุกคืนเพราะเตี่ยเป็นกรรมการศาลเจ้าต้องไปทุกคืนอยู่แล้ว มีอยู่คืนหนึ่งเรือหางยาวโดยสารมารอรับคนที่บ้านเราเป็นบ้านแรกพี่ๆเราก็แต่งตัวยังไม่เสร็จเตี่ยจึงเรียกคนขับเรือซึ่งเป็นคนคุ้นเคยกันขึ้นมาดื่มน้ำชารอจนกว่าพี่ๆเราจะแต่งตัวเสร็จจึงพากันลงเรือเพื่อเดินทางไปยังศาลเจ้าครั้นพอเรือแล่นมาถึงบริเวณจุดหมายปลายทางเราเองที่แอบลงเรือในขณะที่คนขับเรือขึ้นไปดื่มน้ำชากับเตี่ยบนบ้านแล้วเราก็แอบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณหัวเรือ บริเวณหัวเรือจะมีห้องเก็บสัมภาระต่างๆของเรือเราก็รีบเปิดประตูหัวเรือออกมาเมื่อเตี่ยเห็นเราเตี่ยรู้สึกตกใจเราจึงมีโอกาสเที่ยวงานศาลเจ้าได้ดูงิ้วกับพี่ๆอย่างสบายใจในคืนนั้น

 


 

บทที่ 5

          พูดถึงพี่ๆเราที่เป็นผู้หญิงนั้นลำบากมาก ไหนจะต้องมีหน้าที่ทำสวนเป็นหลักแล้วยังมีหน้าที่ช่วยแม่ทำงานบ้านอีก ไม่ว่าจะถูบ้าน ตักน้ำใส่ตุ่ม ซักผ้าและอื่นๆอีกมากมายจนไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวมาระยะหลังๆงานสังคมเตี่ยค่อนข้างมากพี่ๆต้องคอยทำงานทุกอย่างแทนเตี่ย พอตกกลางคืนเตี่ยก็เริ่มที่จะออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ้างตามประสาคนของสังคมมีอยู่คืนหนึ่งหลังจากเตี่ยไปงานสังสรรค์ที่โรงเจไถ่อิกตั้ว พี่ๆก็พาพวกเราออกไปที่สวนแตงโมที่เตี่ยปลูกไว้แตงโมก็ใกล้จะแก่บางลูกก็แก่ใช้ได้แล้วบางลูกก็ยังไม่แก่ แต่ที่แน่ๆคืนนั้นพวกเราได้ลิ้มรสแตงโมจากฝีมือการเพาะปลูกควบคุมดูแลเอาใจใส่ของเตี่ยก่อนใคร แตงโมที่พี่ๆเอามาให้พวกเรากินคืนนั้นหวานกรอบอร่อยทุกลูกเรายังจำรสชาตความอร่อยของแตงโมที่เตี่ยปลูกมาจนถึงทุกวันนี้ไม่เคยลืมเพราะหลังจากคืนนั้นผ่านไปเพียงสามวันเตี่ยก็เรียกพวกเราทุกคนไปพบที่หน้ากองแตงโมกองมหึมาที่เตี่ยเก็บมากองไว้ที่ลานข้างบ้าน คำแรกที่เตี่ยพูดออกมาคือ”ตี่เตี่ยงม๊วย”แปลเป็นไทยคือ”ใครเป็นคนทำ”เตี่ยถามพวกเราพร้อมกับชี้มือไปที่แตงโมกองนั้น หลังจากที่เตี่ยสอบถามพวกเราอยู่พักใหญ่พวกเราก็โดนเตี่ยตีด้วยไม้เรียวทุกคน เตี่ยตีพวกเราไปปากก็พร่ำสอนพวกเราไป เรามารู้ทีหลังว่าแตงโมคืนนั้นรสชาตอร่อยมากเพราะพี่สาวคนโตพกช้อนกินข้าวไปด้วย ช้อนกินข้าวบ้านเราสมัยก่อนเป็นช้อนสั้นไม่ใช่ข้อนส้อมเหมือนในปัจจุบันพี่สาวเราฉลาดมากที่พกช้อนเข้าสวนแตงโมเพื่อเอาหางช้อนทิ่มเข้าไปในลูกแตงโมหมุนป็นวงกลมเล็กๆแล้วดึงแตงโมที่เจาะด้วยหางช้อนออกมาชิม ลูกไหนยังแก่ไม่จัดไม่อร่อยก็เอาฝาที่ผ่านการชิมเนื้อแตงโมแล้วปิดไว้เหมือนเดิมกว่าพี่สาวจะเจอแตงโมที่แก่จัดรสชาตอร่อยก็ปาเข้าไปเป็นกองมหึมาตามที่เตี่ยเก็บมากองให้พวกเราดูเพราะว่าแตงโมที่โดนเจาะเริ่มจะเน่าเสียหายแล้ว

          จากซินตึ้งหนุ่มที่เดินทางหนีความลำบากจากจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาทำมาหากินในประเทศไทยจนกระทั่งสร้างฐานะมั่งคั่งมีหลักฐานมั่นคงก็เริ่มประสบปัญหาเนื่องจากเจ้าของที่ดินคือ”ลุงพัง”จะเอาที่ดินคืนเลิกให้เช่าในขณะที่เตี่ยมีลูกมากถึงแปดคนในขณะนั้นสร้างความวิตกกังวลให้เตี่ยเป็นอย่างมากแต่เมื่อลุงพังยืนยันจะเอาที่คืนไม่ให้เช่าอีกต่อไปโดยให้เวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตที่อยู่ในสวนอีกสามปีเตี่ยก็ต้องจำยอมตัดสินใจอำลาชีวิตชาวสวนที่ตัวเองรัก ก่อนครบกำหนดระยะเวลาสามปีที่จะต้องคืนที่ดินให้ลุงพังเตี่ยเริ่มคิดหาอาชีพใหม่โดยไปปรึกษากับ”โกวเหลียง”ซึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดาที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โกวเหลียงได้แนะนำให้ค้าขายเล็กๆน้อยๆไปพรางๆก่อนและยังเป็นธุระจัดหาบ้านเช่าให้ในเวลาต่อมาอีกด้วย

          ปี พ.ศ.2510 ก่อนครบกำหนดระยะเวลาที่ครอบครัวเราต้องย้ายจากสวนที่รักและผูกพันมานานเพราะเตี่ยสร้างมันมากับมือเตี่ยได้ส่งลูกสาวคนที่สองและคนที่สามมาทำงานที่ย่านพระประแดงโดยการแนะนำจากโกวเหลียงเพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้กับครอบครัวและเป็นการให้ลูกสาวทั้งสองคนได้มาศึกษาเรียนรู้การใช้ชีวิตในเมืองที่โรงงานทอผ้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในซอยทอผ้า ใกล้ๆกับวัดครุในและอาศัยหอพักของโรงงานเป็นที่ซุกหัวนอน ครั้นพอถึงวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2511 เวลาประมาณเก้าโมงเช้าโกวเหลียงได้ส่งรถหกล้อขนาดใหญ่มาขนย้ายของเพื่อย้ายครอบครัวเรามาอยู่พระประแดงในขณะที่รถหกล้อคันดังกล่าววิ่งออกจากบ้านแพ้วมุ่งหน้าสู่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการพวกเรารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะตั้งแต่เกิดมาพวกเราเพิ่งเคยนั่งรถยนต์เป็นครั้งแรกเมื่อยังทำสวนอยู่นั้นพวกเราต้องอาศัยการเดินทางด้วยเรือหรือเดินเท้าเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นบ้านแพ้วยังไม่มีถนนเหมือนในปัจจุบันพอรถบรรทุกหกล้อออกจากบ้านแพ้วสักพักพี่สาวคนโตก็เอาวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องเก่งของแม่มาเปิดฟัง ฟังไปได้สักพักก็มีข่าวด่วนรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 16 สิงหาคม 2511 เวลาประมาณห้าทุ่มเศษราชาเพลงลูกทุ่ง สุรพล สมบัติเจริญ ถูกคนร้ายยิงด้วยปืนขนาด 11 ม.ม.จำนวนสี่นัดเสียชีวิตในที่เกิดเหตุที่วิกแสงจันทร์ ตรงข้ามกับวัดหนองปลาไหลอำเภอกำแพงแสนจังหวัดนครปฐม เมื่อได้ฟังข่าวทางวิทยุเราสังเกตุเห็นพี่สาวรู้สึกเศร้าเสียใจ และเป็นข่าวที่พวกเราจำได้ไม่เคยลืมเพราะตรงกับวันที่ครอบครัวเราย้ายถิ่นที่อยู่จากบ้านแพ้วมาอยู่ที่พระประแดงเป็นวันแรก

 


 

บทที่ 6

         รถบรรทุกหกล้อขนาดใหญ่ของ”เฮียฮก”ปกติจะเป็นรถบรรทุกน้ำแข็งส่งตามร้านค้าต่างๆในอำเภอพระประแดงวันนี้ได้ถูกโกวเหลียงว่าจ้างให้มาขนสัมภาระในการขนย้ายข้าวของเพื่อย้ายบ้านของครอบครัวเราจากบ้านแพ้วถึงซอยทอผ้าเวลาบ่ายคล้อย รถหกล้อค่อยๆถอยมาจอดบริเวณปลายซอยด้านซ้ายมือมีบ้านเช่าเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวเรียงรายอยู่ประมาณสามสี่หลังเรามองลงไปเห็นโกวเหลียงยืนชี้มือชี้ไม้คุยกับเตี่ยที่นั่งมาด้านหน้ารถหกล้อ สักพักหนึ่งพวกเราก็ช่วยกันขนของลงจากรถเข้าบ้านเช่าซึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวที่โกวเหลียงเป็นธุระจัดหาเช่าไว้ให้ ขณะกำลังขนของอยู่นั้นก็มีพี่สาวอีกสองคนที่ทำงานอยู่ที่โรงงานทอผ้าในซอยเดียวกันมาสมทบช่วยขนของ เราสังเกตุเห็นพี่สาวทั้งสองร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม พี่สาวบอกว่ารู้สึกใจหายที่จะไม่มีสวน ไม่มีบ้านของพวกเราที่บ้านแพ้วอีกแล้ว วันนั้นพวกเราช่วยกันขนของทุกลักทุเลของส่วนใหญ่จะเป็นข้าวสาร ข้าวโพด พริก หอม กระเทียมตากแห้งและมีปลาช่อนเค็มฝีมือแม่อัดใส่ตุ่มมังกรมาเกือบเต็มตุ่ม ของส่วนใหญ่จะเป็นอาหารมากกว่าเพราะแม่กลัวย้ายบ้านมาแล้วลูกๆจะไม่มีอาหารกิน

         ซอยทอผ้าสมัยก่อนจะเป็นซอยไม่ยาวมากนักเป็นซอยตันฝั่งขวาจะเป็นโรงงานทอผ้าทั้งหมดจำนวนแปดโรงส่วนฝั่งซ้ายเป็นบ้านอยู่อาศัย ครอบครัวเราก็เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนี้ เมื่อมาอยู่ที่นี่

เราก็เริ่มเข้าเรียนซ้ำชั้นประถมปีที่สองอีกครั้งที่โรงเรียนวัดครุในหลังจากที่หยุดเรียนมาระยะหนึ่งเพราะย้ายบ้านจากบ้านแพ้วมาที่พระประแดงกลางเทอมจึงต้องหยุดเรียนรอปีการศึกษาถัดไปถึงได้เรียนใหม่อีกครั้ง เตี่ยก็เริ่มต้นอาชีพใหม่โดยไปซื้อรถสามล้อแดงหรือที่เรียกกันว่ารถซาเล้งพร้อมด้วยอุปกรณ์สำหรับขายขนมจีบซาลาเปาเตี่ยจะถีบรถซาเล้งขายขนมจีบซาลาเปาตั้งแต่เช้ากว่าจะกลับเข้าบ้านก็เย็นย่ำค่ำมืดทุกวัน

         ทุกเช้าเราต้องเดินไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดครุในทุกวันเพราะโรงเรียอยู่ไม่ไกลบ้านมากนักขณะที่เราเดินไปโรงเรียนสายตาก็คอยจ้องมองรถซาเล้งขายซาลาเปาที่เตี่ยจะต้องถีบสวนมาทุกวันเหมือนนัดเวลากันไว้พอถึงจุดนัดพบเตี่ยจะหยุดรถซาเล้งแล้วหยิบสตางค์จำนวนห้าสิบสตางค์โยนข้ามถนนมาให้เราเป็นค่าขนมไปโรงเรียนทุกวัน ส่วนแม่ก็กำลังตั้งท้องไม่ได้ทำอะไรนอกจากงานบ้านเล็กๆน้อยๆพี่สานคนโตกับพี่สาวคนที่สี่ก็ออกไปทำงานที่โรงงานทอผ้ากับพี่สาวคนที่สองและที่สามที่ทำอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว บ้านเช่าที่เราอยู่ในชุมชนซอยทอผ้าก็เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังเล็กๆยกพื้น ใต้ถุนเป็นน้ำคลำมีลูกน้ำเต็มไปหมด เวลาเย็นๆก็จะมีเด็กผู้ชายตัวดำๆคนหนึ่งชื่อ”ไอ้โด่ง”มาช้อนลูกน้ำเป็นประจำทุกวันสร้างความรำคาญให้แม่ที่กำลังแพ้ท้องแม่รู้สึกไม่ถูกชะตาเกลียดไอ้โด่งแบบไม่มีเหตุผลเห็นไอ้โด่งมาช้อนลูกน้ำทีไรต้องคอยต่อว่าขับไล่ไอ้โด่งทุกครั้ง อยู่มาไม่นานแม่ก็คลอดลูกชายเป็นลูกลำดับที่เก้าของครอบครัวหลังจากแม่คลอดลูกได้ไม่นานพวกเราก็มีโอกาสเห็นน้องที่เพิ่งคลอดตัวดำมากลักษณะคล้ายไอ้โด่ง สร้างความแปลกประหลาดใจให้พวกเราเอามาพูดคุยกันถึงเวรกรรมว่ามันน่าจะมีจริงดังสุภาษิตที่ว่า”เกลียดอะไรได้อย่างนั้น”

         หลังจากแม่คลอดน้องชายได้ไม่นานเตี่ยก็ย้ายบ้านอีกครั้งโดยครั้งนี้ได้บ้านเช่าสองชั้นหลังใหญ่กว่าเก่าเยอะอยู่ที่บริเวณหน้าท่าเรือ”บริษัท บางกอก อบพืชและไซโล จำกัด”อยู่ไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก ที่บ้านเช่าหลังใหม่นี้สะดวกสบายเพราะเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ติดถนนสุขสวัสดิ์เจ้าของบ้านชื่อ”ลุงชั้น บัวน่วม”ต้องขออนุญาตเอ่ยนามท่านเพราะพวกเราเคารพท่านมากท่านเป็นผู้ใหญ่ใจดีอัธยาศัยดีคอยให้การช่วยเหลือให้คำแนะนำต่างๆมากมาย ส่วนราคาค่าเช่าบ้านครั้งแรกสมัยปี พ.ศ.2513 เดือนละ 450 บาท ที่นี่เตี่ยได้เริ่มอาชีพใหม่จากขายซาลาเปามาเป็นขายไอศครีมกะทิ แต่ยังใช้ซาเล้งคันเดิมเป็นพาหนะบรรทุกถังไอศครีมไปขายตามสถานที่ต่างๆส่วนตัวเราก็ย้ายมาเรียนต่อชั้นประถมปีที่สามที่โรงเรียนบ้านบางจากที่อยู่ใกล้บ้าน หลังเลิกเรียนก็ต้องรีบกลับบ้านเพื่อปลอกมะพร้าวเตรียมไว้ทำไอศครีมในวันรุ่งขึ้นเตี่ยจะซื้อมะพร้าวทั้งเปลือกที่มีราคาถูกเพื่อลดต้นทุนในการทำไอศครีมการปลอกมะพร้าวเราต้องใช้มีดอีโต้เฉาะเปลือกนอกแล้วออกแรงงัดซึ่งต้องใช้แรงมากเมื่องัดเปลือกนอกออกแล้วก็ต้องใช้มือดึงเปลือกในก่อนที่จะเอามีดอีโต้ขูดกะลามะพร้าวให้เกลี้ยงจนกะลาเป็นมันเพราะถ้าไม่ขูดกะลาเวลาที่เราผ่ามะพร้าวแล้วเอามาขูดเนื้อมะพร้าวจะมีเศษผงจากเปลือกกะลาหล่นลงไปผสมกับเนื้อมะพร้าวที่ขูดแล้วเวลาคั้นเอากระทิมาทำไอศครีมเนื้อไอศครีมจะออกเป็นสีดำไม่สวย เรามีหน้าที่ปลอกมะพร้าววันละสิบห้าลูกโดยประมาณเมื่อปลอกมะพร้าวเสร็จแล้วต้องเอามะพร้าวมาแช่น้ำค้างคืนเพื่อเวลาผ่าในตอนเช้ามะพร้าวจะได้ไม่แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจะแตกออกเป็นสองซีกง่ายต่อการขูดด้วยกระต่ายขูดมะพร้าวซึ่งเป็นหน้าที่เราต้องขูดในตอนเช้าเวลาประมาณตีห้า ส่วนพี่ชายเรามีหน้าที่ปั่นไอศครีมหลังจากเตี่ยปรุงเครื่องปรุงต่างๆใส่ในถังปั่นเรียบร้อยแล้ว พี่ชายเราปั่นไอศครีมด้วยมือเสร็จแล้วก็ต้องมาเตรียมหั่นขนมปังไว้ใส่ไอศครีมเสร็จแล้วจึงไปโรงเรียนได้ตอนนั้นพวกเราได้สตางค์ไปกินขนมที่โรงเรียนวันละหนึ่งบาทพร้อมด้วยปิ่นโตใส่ข้าวและกับข้าวฝีมือแม่ทุกวันจนจบชั้นประถมสี่ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนนี้ก็ย้ายมาเรียต่อที่โรงเรียนสุขสวัสดิ์

         เตี่ยเราถีบรถซาเล้งขายไอศครีมส่งลูกเรียนหนังสืออยู่สักพักก็เริ่มคิดหาวิธีเพิ่มรายได้ด้วยการขายผลไม้ไปด้วยโดยเตี่ยจะวางถังไอศครีมชิดด้านในสุดของรถซาเล้งส่วนด้านหน้าเตี่ยไปสั่งทำตู้กระจกให้พอดีกับพื้นที่ส่วนที่เหลือเพื่อวางผลไม้ต่างๆไม่ว่าจะเป็นสับปะรด แตงโม มันแกว ฝรั่ง มะม่วงมีทั้งสดและดองและผลไม้ต่างๆแล้วแต่จะหาซื้อได้

 


 

บทที่ 7

          เตี่ยขายไอศครีมและผลไม้อยู่นานก็เริ่มมองเห็นช่องทางเพิ่มรายได้อีกช่องทางหนึ่งเมื่อท่าเรือบางกอกไซโลที่อยู่ในซอยตรงข้ามบ้านที่เราอยู่เริ่มรับซื้อข้าวโพดแห้งสำหรับเลี้ยงสัตว์แล้วนำมาอบน้ำยากันมอดบรรจุกระสอบส่งไปขายยังต่างประเทศโดยมีเรือสินค้าขนาดใหญ่จากต่างประเทศมารอรับสินค้าคราวละหลายๆวันบางทีก็เป็นเดือน โดยทางบริษัทบางกอกไซโลรับซื้อข้าวโพดจากตัวแทนเกษตรกรทั่วประเทศส่วนใหญ่จะเป็นภาคกลางและภาคอีสานการขนส่งข้าวโพดต้องขนส่งโดยรถบรรทุกสิบล้อเพียงอย่างเดียวเมื่อรถบรรทุกมาถึงหน้าบริษัทบางกอกไซโลต้องจอดรอคิวเพื่อลงสินค้าแรกๆก็มีไม่มากนักแต่ยิ่งนานวันรถบรรทุกสิบล้อที่มาจอดรอลงข้าวโพดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจอดต่อกันไปยาวหลายกิโลเตี่ยเริ่มมองเห็นช่องทางเพิ่มรายได้ด้วยการขายข้าวต้มเครื่องหลากหลายชนิดมีทั้งข้าวต้มกระเพาะหมู ข้าวต้มกุ้ง ปลาหมึก ปลากะพงและอีกสารพัด เตี่ยคิดวิธีทำข้าวต้มเป็นสูตรเฉพาะโดยเตรียมหุงข้าวสวยหม้อใหญ่จากนั้นก็ต้มน้ำซุปกระดูกหมูแยกไว้ต่างหากเวลาลูกค้าอยากกินข้าวต้มอะไรเตี่ยก็จะเอาตะกร้อแบบที่ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวมาลวกข้าวสวยเสร็จแล้วก็เอาใส่ชามและใส่เครื่องตามแต่ลูกค้าต้องการว่าจะกินข้าวต้มอะไรแล้วเติมน้ำซุปหม้อใหญ่ที่เตรียมไว้ เตี่ยตระเวณซาเล้งคู่ชีพขายข้าวต้มเครื่องให้กับคนขับรถบรรทุกที่จอดรอคิวลงข้าวโพดในเวลากลางคืนปรากฎว่าขายดิบขายดีเกินคาดหลังจากนั้นไม่นานฐานะทางการเงินบ้านเราก็ดีขึ้นเป็นลำดับ เตี่ยยังคงขายไอศครีมกับผลไม้ในเวลากลางวันเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือขายข้าวต้มเครื่องในเวลากลางคืนแต่หลังจากนั้นอีกไม่นานเตี่ยก็ยุติการขายไอศครีมกับผลไม้ในเวลากลางวันคงขายเฉพาะข้าวต้มเครื่องเวลากลางคืนเพียงอย่างเดียวเนื่องจากเวลากลางวันเตี่ยต้องไปตลาดเพื่อเลือกซื้อของมาเตรียมทำข้าวต้มขายในเวลากลางคืนช่วงนี้เตี่ยเพิ่มปริมาณการขายข้าวต้มเพิ่มเป็นสองเท่า ในช่วงนี้เราก็สบายไม่ต้องปลอกมะพร้าวเพื่อทำไอศครีมอีกต่อไปมีเวลาวิ่งเล่นกับเพื่อนๆหลังเลิกเรียนทุกวัน

          เตี่ยเริ่มขยายกิจการเปิดร้านขายของชำที่บ้านแรกๆก็ขายของชำควบคู่กับขายข้าวต้มเครื่องเวลากลางคืนแต่ก็ขายได้อีกไม่นานก็เลิกขายข้าวต้มเครื่องเวลากลางคืนเปลี่ยนมาขายข้าวแกงและอาหารตามสั่ง ควบคู่กับการขายของชำเพราะทำเลที่ตั้งบ้านเราอยู่ปากทางเข้าท่าเรือบางกอกไซโลเป็นแหล่งรวมบรรดาคนขับและเด็กท้ายรถบรรทุกข้าวโพดที่มาจอดรอคิวลงสินค้าร้านเราอยู่ทำเลที่เหมาะมากทำให้ประสบความสำเร็จในการขายของเป็นอย่างดี อีกสาเหตุหนึ่งที่ร้านเราประสบความสำเร็จเพราะเตี่ยเอาใจใส่ทุกขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อวัตถุดิบมาปรุงอาหารเตี่ยจะพิถีพิถันมากและที่สำคัญอีกอย่างก็คือเตี่ยจะลงมือผัดกับข้าวอาหารตามสั่งด้วยตัวเองส่วนแม่มีหน้าที่ทำแกงแบบไทยๆ

          อย่างที่บอกไว้แล้วว่าเตี่ยจะเป็นคนเลือกซื้อวัตถุดิบมาปรุงอาหารด้วยตัวเองทุกเช้าเวลาประมานตีสามครึ่งเตี่ยจะปลุกเราให้ตื่นขึ้นทำธุระส่วนตัวได้ไม่เกินสิบนาทีแล้วต้องไปตลาดพระประแดงเพื่อช่วยเตี่ยซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร ในแต่ละวันต้องเดินทางด้วยรถโดยสารที่เรียกว่า”รถแท็กซี่คนละบาท”ที่เรียกแบบนี้เพราะว่าสมัยนั้นถนนสุขสวัสดิ์ยังไม่เจริญเป็นถนนลาดยางแคบๆแค่รถวิ่งสวนกันได้ไม่มีเกาะกลางถนน จะมีรถเมลล์สาย 1141 เป็นรถบัสหกล้อเก่าๆสีเขียววิ่งรับผู้โดยสารจากท่าเรือพระสมุทรเจดีย์ถึงที่ว่าการอำเภอพระประแดงโดยเริ่มบริการเที่ยวแรกแปดโมงเช้าเที่ยวสุดท้ายห้าโมงเย็นเว้นระยะประมาณหนึ่งชั่วโมงจะมีบริการหนึ่งเที่ยวเก็บค่าโดยสารคนละห้าสิบสตางค์นี่คือสาเหตุที่มีการรวมตัวกันตั้งเป็นชมรมนำรถเก๋งมาวิ่งบริการจากหน้าโรงงานผลิตสายไฟฟ้าไทยยาซากิถึงที่ว่าการอำเภอพระประแดงเก็บค่าโดยสารคนละหนึ่งบาทตลอดสาย(ที่มาของชื่อแท็กซี่คนละบาท)สาเหตุที่รถแท็กซี่คนละบาทวิ่งไม่ถึงท่าเรือพระสมุทรเจดีย์นั้นเพราะว่าเป็นการข้ามเขตกันเขตอำเภอพระประแดงจะมาสิ้นสุดที่บริเวณโรงงานไทยยาซากิ รถแท็กซี่คนละบาทจึงวิ่งบริการสุดเขตได้เท่านั้น รถที่ใช้บริการจะเป็นรถเก๋งสมัยนั้นรถยังไม่มีแอร์ต้องเปิดกระจกวิ่ง  รถแท็กซี่คนละบาทนี้เบาะข้างหน้าสามารถรับผู้โดยสารได้สามคนส่วนเบาะหลังนั่งได้สี่คนรถส่วนใหญ่จะเป็นรถเก๋งยี่ห้ออีซูซุและรถเก๋งยี่ห้อ”Toyopet”ไม่ผิดหรอกครับอ่านว่า โต-โย-เป็ต สมัยนี้ไม่มีซากให้เห็นแล้ว

          ที่ตลาดพระประแดงเตี่ยจะรูจักพ่อค้า-แม่ค้าแทบทุกคนเพราะเตี่ยเป็นคนคบหาสมาคมกับผู้คนต่างๆได้ง่ายพอซื้อของเป็นประจำไม่นานก็สนิทกันและจะได้รับบริการเป็นพิเศษในการเลือกซื้อของเจ้าของร้านจะคัดแต่ของดีๆให้ หลังจากซื้อวัตถุดิบผ่านการคัดสรรค์เป็นอย่างดีแล้วเราก็จะลำเลียงวัตถุดิบลงเข่งไม่ไผ่ที่เตรียมไปจากบ้านโดยใส่ท้ายรถแท็กซี่คนละบาทมาฟรีไม่เสียค่าวางเพราะเป็นเข่งเปล่าไม่มีน้ำหนัก ส่วนขากลับใส่ของเต็มเข่งใหญ่จะต้องเสียค่าวางตามขนาดของเข่ง เข่งของเราเสียค่าวางห้าบาทรวมเตี่ยกับเราด้วยเป็นเจ็ดบาท เมื่อซื้อของและลำเลียงของลงเข่งเรียบร้อยแล้วก่อนเดินทางกลับเตี่ยจะพาเราไปกินก๋วยจั๊บร้าน”ป้าอ้วน”ซึ่งเป็นร้านก๋วยจั๊บเจ้าอร่อย เตี่ยพาเราไปกินทุกวันและแถมด้วยโอเลี้ยงอีกหนึ่งแก้ว เตี่ยกับเราจะกลับถึงบ้านเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้าหลังจากนั้นเราก็ต้องรีบอาบน้ำเตรียมตัวไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนสุขสวัสดิ์เป็นประจำทุกวัน

 


 

บทที่ 8

         จากร้านขายข้าวแกงควบคู่กับการขายของชำทำให้กิจการร้านเรารุ่งเรืองอย่างรวดเร็วเตี่ยเริ่มขยับขยายอีกครั้งโดยยุบแผนกขายของชำเอาตู้กระจกและชั้นวางของชำออกแล้วปรับเปลี่ยนเป็นร้านขายกาแฟไข่ลวกแทนในช่วงเช้ามีปลาท่องโก๋ไว้บริการด้วย บรรดารถบรรทุกที่มาจอดรอคิวลงข้าวโพดจะต้องมาตรวจสอบคิวของตัวเองว่าจะถึงคิวลงของประมาณกี่โมงโดยต้องมาตรวจสอบที่ป้อมยามรักษาการณ์ของท่าเรือบางกอกไซโลซึ่งอยู่ใกล้กับร้านเราทำให้ร้านเรากลายเป็นศูนย์รวมบรรดาเด็กท้ายและคนขับรถบรรทุกไปโดยปริยายทุกคนจะรู้จักร้านเราเป็นอย่างดีในนาม”ร้านอาแปะ”

         จากร้านขายข้าวแกงธรรมดาๆกลายมาเป็นร้านขายข้าวแกงไม่ธรรมดาอีกต่อไปเมื่อมี”บริษัท ไทยไซโล จำกัด”มาเปิดดำเนินกิจการท่าเรือ”ไทยไซโล”ดำเนินกิจการคล้ายกับท่าเรือบางกอกไซโล ท่าเรือไทยไซโลตั้งอยู่ห่างจากร้านเราประมาณห้าร้อยเมตร ขณะกำลังก่อสร้างท่าเรือไทยไซโลอยู่นั้นเตี่ยได้ไปติดต่อขอเช่าที่ทำร้านขายข้าวแกงบริเวณใกล้ๆป้อมยามหน้าบริษัท หลังจากท่าเรือไทยไซโลเปิดดำเนินกิจการร้านขายข้าวแกง”อาแปะ”สาขา2 ก็เริ่มดำเนินกิจการเช่นกันเตี่ยให้พีสาวที่ทำงานโรงงานทอผ้าลาออกหมดทุกคนเพื่อมาช่วยงานที่ร้านขายข้าวแกง

         กิจการร้านขายข้าวแกง”อาแปะ”ขายดิบขายดีทั้งสองสาขาเตี่ยต้องจ้างลูกจ้างเพิ่มอีกนับสิบคน ส่วนแม่เรามีหน้าที่เป็นแม่ครัวดูแลคนงานทำแกงป้อนทั้งสองสาขา ที่ยุ่งยากมากคือการหุงข้าวซึ่งวันหนึ่งต้องใช้ข้าวสารปะมาณ 100 กิโลกรัมเพื่อหุงเป็นข้าวสวยเสร็จแล้วพี่สาวคนที่สองและที่สามมีหน้าที่ลำเลียงแกงและข้าวสวยที่แม่ทำเสร็จแล้วจากครัวสาขาแรกใส่ซาเล้งถีบไปส่งสาขาที่สองเป็นประจำทุกวันวันละหลายเที่ยวมีอยู่วันหนึ่งที่สาขาสองนั้นเร่งมาว่าแกงเหลือน้อยบางอย่างก็หมดให้รีบส่งมาด่วนเพราะใกล้เที่ยงแล้วเกรงว่าจะไม่มีอาหารบริการลูกค้าเตี่ยจึงสั่งให้พี่สาวที่มีหน้าที่ส่งแกงให้รีบส่งไปก่อนเท่าที่มีพี่สาวคนที่สองและที่สามจึงช่วยกันยกหม้อแกงใส่รถจำนวนสี่หม้อเพราะเพิ่งเสร็จแค่นั้นพี่สาวคนที่สองทำหน้าที่ปั่นซาเล้งอย่างชำนาญส่วนพี่สาวคนที่สามนั่งคุมหม้อแกงไปได้แค่ครึ่งทางด้วยความรีบร้อนพี่สาวเราขี่อย่างไม่ระมัดระวังขี่ยกล้อหม้อแกงคว่ำแกงหกไม่มีเหลือพอเตี่ยรู้พี่สาวทั้งสองโดนดุด่าพอสมควรภาพเหตุการ์ณแบบนี้ยังอยู่ในความทรงจำเรามิลืมเลือน

         ปี พ.ศ.2518 หลังจากเราเรียนจบชั้นประถมปีที่เจ็ดจากโรงเรียนสุขสวัสดิ์ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนนี้แล้วเราจะต้องหาที่เรียนต่อ ม.ศ.1 ที่ใหม่แต่แม่ไม่ยอมให้เราเรียนต่อบอกว่าให้ออกมาช่วยเตี่ยและแม่ค้าขายดีกว่าเราก็ไม่ยอมร้องไห้ไม่ยอมช่วยงานบ้านอะไรทั้งสิ้นแม่ใช้ให้ทำอะไรก็ไม่ยอมทำ แม่ก็เอาไม้เรียวมาตีเราจำได้ว่าเราโดนตีอยู่ที่บริเวณที่พักบันไดขึ้นชั้นบน เราเสียใจมากร้องไห้จนหลับไปที่บริเวณที่พักบันไดนั่นเองพอตกกลางคืนเราก็เก็บเสื้อผ้าหนีออกจากบ้านมาอาศัยอยู่กับญาตเตี่ยที่ตรอกจันทร์สะพานสองครึ่งหลังธนาคารไทยพานิชย์ และได้งานทำที่ร้านแอร์แห่งหนึ่งใกล้ๆบ้านญาตเตี่ยนั่นเอง มาอยู่แรกๆเจ้าของร้านให้เราทำงานเป็นเด็กฝึกงานติดตั้งแอร์ทำได้ประมาณปีกว่าๆก็ให้เราแยกออกมาเป็นช่างติดตั้งแอร์เสียเอง จนกระทั่งปี พ.ศ.2524 เราก็กลับบ้านไปกราบลาเตี่ยกับแม่ไปเป็นทหารเกณฑ์ เพราะเราโดนเกณฑ์ไปเป็นทหารเรือผลัดที่สาม

         ครั้งแรกของชีวิตของการเป็นทหารเรือเราต้องไปขึ้นรถบัส ขส.ทร ที่หน้าศาลากลางปากน้ำ สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2524 เข้าสังกัดโรงเรียนชุมพลทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี หลังจากเดินทางถึงที่นี่แล้วพวกเราจะถูกวัดตัว วัดขนาดเท้า หลังจากนั้นไปเข้าแถวเพื่อรับการตัดผมเมื่อตัดผมเสร็จแล้วไปรับชุดนอน เสื้อชุดฝึก กางเกงฝึกขาสั้น ผ้าพันคอสีดำรองเท้าผ้าใบ รองเท้าหนังหุ้มส้น(ยาร์ดโฟว์)และอาหารกล่องอร่อยๆอีกหนึ่งกล่อง เมื่อกินอาหารเสร็จสักครู่ก็ได้ยินเสียงนกหวีดังขึ้นเป็นสัญญานเรียกให้เข้าแถวเพื่อแยกกองร้อย เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันเข้าประจำกองร้อย ทำธุระส่วนตัวอาบน้ำนอนพักผ่อนในขณะพักผ่อนต้องใส่ชุดทหารใหม่ใส่เสื้อน๊อต กางเกงข้าสั้นสีกากี คาดเอวด้วยผ้าพันคอสีดำและใส่รองเท้าหุ้มส้น(ยาร์ดโฟว์)ที่ได้รับแจกมารอสัญญานนกหวีดเรียกแถวเพื่อฟังการอบรมจากจ่าเวรเสร็จแล้วเดินแถวไปโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารมื้อเย็น อาหารมื้อแรกของชีวิตพลทหารใหม่อย่างพวกเราเริ่มขึ้นด้วยการเดินแถวไปรับถาดหลุมจากนั้นก็เดินเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งไปรับข้าวสวยสีแดงคล้ำๆจากพลทหารรุ่นพี่ที่คอยตักให้เรา จากนั้นก็เดินต่อไปรับกับข้าว กับข้าวมื้อแรกเป็นผัดหนวดมังกรกับวิญญาณหมู(ผัดถั่วงอกกับหมูสามชั้นที่เหนียวมากจนเคี้ยวไม่เข้าเพียงชิ้นเดียว)จากฝีมือการปรุงของทหารจุมโพ่ประจำที่นี่ ตบท้ายด้วยกล้วยหอมและส้มเขียวหวานอย่างละหนึ่งลูก ก่อนกินอาหารมื้อเย็นต้องเอามือประสานยกขึ้นเสมอไหล่แล้วจ่าเวรจะพูดนำให้ทหารใหม่พูดตามถึงบุญคุณเมล็ดข้าวต่างๆนาๆอีกหลายนาทีกว่าจะได้กิน ก่อนจะเอามือลงมาหยิบช้อนตักข้าวกินจะต้องได้รับคำสั่งว่า”เอามือลง”หลังจากเอามือลงแล้วจ่าเวรถึงจะสั่งให้กินข้าวได้ หลังอาหารมื้อเย็นพวกเราต้องเดินแถวกลับกองร้อยหลังจากนั้นจ่าเวรจะตรวจสอบว่าทหารใหม่ยังอยู่ครบไหมมีใครหนีหายหรือเปล่าแล้วฟังโอวาทจากผู้บังคับกองร้อยเสร็จแล้วจ่าเวรจะนำสวดมนต์ก่อนแยกย้ายขึ้นกองร้อยเตรียมตัวนอนในเวลาสามทุ่ม ครั้นพอถึงเวลานอนเสียงแตรนอนจากพลแตรจะเป่าเพลงนอน จ่าเวรจะปิดไฟในหอนอนยกเว้นไฟทางเดิน คืนแรกเรานอนไม่หลับสารพัดที่จะคิดจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปเมือไหร่มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงแตรปลุกตอนตีห้า

 


 

 บทที่ 9

 

ภาพถ่ายที่กองพันสารวัตรทหารเรือ กองพันสารวัตร กรมนาวิกโยธิน พ.ศ.2526

 

         “หนึ่งพันห้าร้อยไมล์ทะเลไทยมีนาวีนี้เฝ้า”เสียงเพลงประจำกองทัพเรือดังกระหึ่มทั่วเขาช้างสถานที่ตั้งของโรงเรียนชุมพลทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นเสียงเพลงที่ยังก้องอยู่ในใจเราจนเท่าทุกวันนี้ เป็นเวลาสองเดือนพอดีที่เราได้รับการฝึกให้เป็นทหาร ต้องตื่นมาวิ่งออกกำลังกายแต่เช้าพร้อมกับร้องเพลงตามแต่ครูฝึกผู้นำวิ่งจะร้องเพลงอะไรให้เราร้องตาม หลังวิ่งออกกำลังกายต้องรีบอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้าแถวฟังโอวาทจากจ่าเวรก่อนรับประทานอาหารเช้า และเข้าห้องเรียนเพื่อเรียนรู้กฎ ระเบียบต่างๆของทหารเรือ พอสายๆก็ออกมาที่สนามฝึก ฝึกทำความเคารพ ฝึกซ้าย-ขวาหัน ฝึกอาวุธ อาวุธประจำกายสมัยนั้นคือปืน ปล.ยบ 88 (ย่อมาจากปืนเล็กยาวแบบ 88)ทหารใหม่ทุกนายต้องฝึกอาวุธปืนชนิดนี้ไม่ว่าจะเป็นการแบกปืน(หนักมาก)การยิงปืน การทำความเคารพขณะถือปืน การวางปืนและอีกสารพัดที่เกี่ยวข้องกับปืนชนิดนี้ มีเหตุการณ์ที่เราจำฝังใจไม่เคยลืมเลือนเมื่อครั้งฝึกยิงปืนที่สนามฝึกยิงปืนในโรงเรียนชุมพลทหารเรือ ทหารใหม่ทุกนายต้องผ่านการฝึกยิงปืนเราเองก็เหมือนกันเกิดมาไม่เคยสนใจปืนมาก่อนเลยพอถึงเวลา ครูฝึกเอากระสุนปืนบรรจุเข้ากับปืนประจำกายของเราเสร็จแล้วก็สั่งให้เรานอนลักษณะนอนคว่ำหน้ากับพื้นยืดเท้าทั้งสองข้างเอาปืนประทับบ่าขวาแล้วเล็งปืนไปที่เป้ายิงข้างหน้าที่อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยเมตรครูฝึกสั่ง”ยิง”สิ้นสุดคำสั่งร่างเรากระเด็นถอยร่นออกมาเนื่องจากแรงถีบของปืนแบบไม่เป็นท่าต้องยอมรับว่าปืนชนิดนี้ถีบรุนแรงจริงๆหลังจากนั้นต่อมาก็มีการฝึกความพร้อมต่างๆฝึกการทรมานจิตใจให้ทนได้ทุกสภาวะเพื่อเป็นทหารที่ดีมีระเบียบวินัยต่อไป

         ครบกำหนดสองเดือนที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือแล้วก็ต้องจับสลากเพื่อแยกย้ายไปหน่วยต่างๆของกองทัพเรือ ตัวเราจับสลากได้ไปสังกัดหน่วย”กองพันสารวัตรกรมนาวิกโยธิน”สมัยนั้นยังเป็นกองพันไม่ได้เป็นกรมเหมือนในปัจจุบัน ที่พิเศษคือใครจับสลากได้หน่วยนี้ต้องไปรับการฝึกที่หน่วยฝึกทหารนาวิกโยธิน(น.ย)ก่อนอีกสองเดือนถึงจะแยกไปประจำที่กองพันสารวัตรทหารเรือได้ ที่หน่วยฝึก น.ย.นี้ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกว่าฝึกโหดมากเมื่อเรารู้ว่าต้องไปฝึกที่ น.ย.ต่ออีกสองเดือน เรารู้สึกเสียวสันหลังอยู่เหมือนกันในที่สุดเราก็ผ่านการฝึก น.ย.มาได้แต่กว่าจะผ่านพ้นมาได้แทบเอาชีวิตไม่รอด ที่ว่าเอาชีวิตไม่รอดเพราะมีเหตุการณ์สำคัญๆเกิดกับตัวเราหลายครั้งเช่นมีอยู่วันหนึ่งเป็นวันพฤหัสบดี ทุกวันพฤหัสจะเป็นวันตรวจความเรียบร้อยของร่างกายใครแต่งตัวหรือร่างกายไม่เรียบร้อยจะถูกทำโทษซึ่งทุกคนรู้ดีอยู่แล้วโดยเฉพาะตัวเราแต่งตัวถูกระเบียบทุกอย่างอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายมาอย่างดีครั้นพอถึงเวลาครูฝึกเดินตรวจร่างกายมาถึงตัวเราสั่งให้เรายกมือแล้วคว่ำมือลงตรวจเล็บมีอว่ายาวไหมสกปรกไหมเราเตรียมความพร้อมอยู่แล้วครูฝึกตรวจร่างกายเราทุกกระเบียดนิ้วแล้วครูฝึกก็ออกคำสั่งว่า”ยึดพื้นยี่สิบ”เราก็ถามเหตุผลว่าเราผิดระเบียบตรงไหนครูฝึกไม่ฟังเราเลยกลับสั่งเพิ่มว่า”สามสิบ”เราก็สงสัยว่าผิดอะไรยืนทำหน้างงๆครูฝึกสั่งเพิ่มเติม”สี่สิบ”คราวนี้เราต้องจำใจยึดพื้นสี่สิบครั้งพอเรายึดพื้นเสร็จครูฝึกอมยิ้มแล้วบอกกับเราว่าที่เราถูกลงโทษนั้นเนื่องจากเล็บเท้ายาว สร้างความงุนงงให้ทหารทั้งกองร้อยเพราะเราใส่รองเท้าชุดฝึกของ น.ย.(รองเท้าโอ๊บ)ลักษณะเป็นรองเท้าหนังสีดำสูงถึงหน้าแข้งครูฝึกจะเห็นได้อย่างไรว่าเล็บเท้าเรายาวปล่อยให้เป็นปริศนาให้ทหารทั้งกองร้อยคิดต่อไป หลังเหตุการณ์วันนั้นผ่านไปเรารู้สีกไม่ขอบขี้หน้าครูฝึกคนนั้นเอาเสียเลย ต่อมาอีกไม่นานเราก็ถูกสั่งขังสิบวันผิดข้อหาไม่ทำความเคารพผู้บังคับบัญชาเราไม่ปริปากถามว่าเมื่อไหร่ที่ไหนเพราะเรารู้มาก่อนหน้านี้จากทหารรุ่นพี่ว่าถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้ห้ามถามเหตุผลโดยเด็ดขาดไม่งั้นโดนขังยาวแน่ๆ ขณะอยู่ในเรือนจำทหารบอกได้เลยว่าลำบากมากทำงานทุกอย่างแต่พอถูกขังได้สามวันก็มีหนังสือจาก ผู้บังคับบัญชาให้ปล่อยตัวเราแบบไม่มีเหตุผลเราเก็บความสงสัยไว้ในใจไม่เคยแสดงอาการอะไรไม่เคยถามอะไรสั่งอะไรมาก็ทำตามทุกอย่างไม่ว่าจะผิดหรือถูกจนกระทั่งครบกำหนดสองเดือนที่เราได้รับการฝึกที่หน่วยฝึกทหารกรมนาวิกโยธิน ก่อนแยกย้ายขึ้นกองร้อยส่วนใหญ่จะเป็นทหารในหน่วยนาวิกโยธินเองยกเว้นทหารใหม่ไม่กี่ร้อยนายที่เป็นทหารฝากฝึกจากหน่วยอื่นเราก็เช่นกันเป็นทหารฝากฝึกจากกองพันสารวัตรทหารเรือ

         ก่อนที่ต้นสังกัดจะมารับตัวพวกเราผู้บังคับบัญชาในกองร้อยฝึกกรมนาวิกโยธินกับคณะครูฝึกได้ร่วมกันจัดงานเลี้ยงอำลาให้พวกเรามีการร้องเพลงกล่อมพวกเราในขณะกินเลี้ยงจากนักร้องในหน่วยงานดุริยางค์ มีอาหารอร่อยๆจากฝ่ายจัดเลี้ยงของกองทัพเรือ ก่อนที่จะจบงานเลี้ยงผู้บังคับบัญชาพร้อมคณะครูฝึกเดินขึ้นเวทีแล้วเล่าถึงวิธีการฝึกต่างๆพูดถึงการสั่งทำโทษทั้งที่ไม่มีความผิดนั้นเป็นแผนการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งเพราะในสนามรบไม่ใช่ผู้ที่ร่างกายแข็งแรงเท่านั้นที่จะผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆไปได้จะต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งอดทนทุกสถานการณ์ถึงจะผ่านพ้นเหตุการณ์เหล่านั้นไปได้ พวกเราได้รับฟังถึงเข้าใจได้ในทันทีเล่นเอาทหารทั้งกองร้อยต่างน้ำตาซึมโดยไม่รู้ตัวโผไปกราบขอบคุณคณะครูฝึกก่อนแยกย้ายไปประจำหน่วยต้นสังกัดฃองตน เราแอบไปถามครูฝึกว่าทำไมเราถึงได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำก่อนครบกำหนดครูฝึกไม่ยอมบอกเหตุผลได้แต่บอกกับเราว่าทหารมีระเบียบวินัยที่เคร่งครัดมีคำสั่งที่เด็ดขาด แต่ไม่แน่นอน บอกเราเพียงเท่านี้จริงๆ

         หลังจบการฝึกจากกรมนาวิกโยธินแล้วกองพันสารวัตรทหารเรือก็มารับตัวทหารในสังกัดที่ผ่านการฝากฝึกไปทีกองพันสารวัตรทหารเรือตั้งอยู่ภายในบริเวณ สถานีทหารเรือกรุงเทพฯติดกับวัดอรุณราชวรารามเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯพอเรามาถึงที่นี่ทางกองพันสารวัตรก็คัดเราออกไปทำหน้าที่ทหารลูกมือหมวดสื่อสารขึ้นตรงต่อกองร้อยบังคับการและบริการ(ร้อย บก.)ในแต่ละรุ่นจะมีพลทหารเพียงสองนายเท่านั้นที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้บังคับบัญชาให้ไปปฏิบัติหน้าที่รับ-ส่ง โต้ตอบวิทยุสื่อสารเพราะหน่วยงานนี้ต้องทำงานร่วมกับสถานีตำรวจ เรารู้สึกภูมิใจที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในจำนวนสองคนที่ถูกเลือกในรุ่นนั้น

         ในขณะที่เป็นทหารลูกมือหมวดสือสารอยู่นั้นตัวเราเองค่อนข้างทำงานสบายเข้าเวรวันเว้นวันมีเวลาว่างมากวันไหนไม่ได้เข้าเวรก็จะออกไปเที่ยวบริเวณใกล้ๆกองพันแต่ต้องเข้ากรมก่อนหกโมงเย็น อยู่มาวันหนึ่งเราก็ออกไปเที่ยวที่สถานีสิทยุ ปชส.7ใต้สะพานพุทธและก็มีโอกาสพบกับนักจัดรายการวิทยุคนหนึ่งชื่อ”เสกสรรค์ โสภาพรรณ”เป็นนักจัดรายการวิทยุเพลงลูกทุ่งพอรู้ว่าเราเป็นทหารเรือมีหน้าที่พูดรับ-ส่ง ข่าวสารของทางราขการก็ออกปากชวนเรามาร่วมจัดรายการด้วย หลังจากนั้นเราก็มีโอกาสไปร่วมจัดรายการกับพี่เสกสรรค์ โสภาพรรณ ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ.2525 จนกระทั่งปลดเกณฑ์ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2526 โดยได้รับพระราชทานเงินเดือนครั้งสุดท้ายจำนวน 450 บาท

         หลังปลดเกณฑ์แล้วเราก็กลับบ้านที่พระปะแดง บ้านเราเปลี่ยนไปมากเตี่ยเลิกขายข้าวแกงแล้วปรับปรุงเป็นร้านอาหารกึ่งภัตตาคารชื่อร้าน”โชคขัยโภชนา”ชื่อร้านเป็นชื่อน้องชายคนสุดท้อง(คนที่สิบ)เราเองก็เที่ยวเตร่ไปเรื่อยๆตั้งใจจะเป็นนักจัดรายการอาชีพแต่ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจเมื่อพี่เสกสรรค์ โสภาพรรณ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ฝึกเราจัดรายการขับรถจักรยานยต์ประสบอุบัตติเหตุเสียขีวิต เราก็เลยไปสมัครเรียนต่อในภาคค่ำ(นักศึกษาผู้ใหญ่)แล้วสอบเข้าเรียนช่างไฟฟ้าที่ช่างกลแห่งหนึ่งจนจบระดับ ปวช.ในขณะที่เรียนช่างไฟฟ้าก็ไปสมัครทำงานที่โรงภาพยนตร์”เฉลิมศรี”อยู่ที่สามแยกพระประแดง ทำหน้าที่เด็กเดินตั๋ว มีหน้าที่คอยถือไฟฉายส่องนำทางพาคนดูหนังไปนั่งตามลำดับ ที่ระบุในตั๋วหนัง สมัยนั้นวงดนตรีลูกทุ่งนิยมจัดคอนเสิร์ตตามโรงหนังต่างๆ

 


 

 

 

บทที่ 10

 

 

 

              และในโอกาสนี้เองที่เราได้รู้จักดารานักร้องจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นนักร้องลูกทุ่ง หลายครั้งเรามีโอกาสเดินสายไปกับวงดนตรีต่างๆมีโอกาสขึ้นเวทีได้พูดได้แสดงออกหน้าเวทีเป็นพิธีการร่วมแต่ยังทำงานที่โรงหนัง"เฉลิมศรี"เหมือนเดิมต่อมาก็ไปจัดรายการตามสถานีวิทยุต่างๆ ช่วงจัดรายการวิทยุก็จะลาออกจากเด็กเดินตั๋วในโรงภาพยนตร์แล้ว แต่มาเปิดร้านซ่อมเครื่องไฟฟ้าบริเวณตึกแถวหน้าปากซอยทอผ้า บนถนนสุขสวัสดิ์ ชื่อร้าน"วิศนุการไฟฟ้า" และช่วงนี้เป็นนักจัดรายการวิทยุเต็มตัว ส่วนใหญ่เพลงที่จัดรายการจะเป็นรายการเพลงลูกทุ่ง ช่วงนี้เราก็แต่งงานแล้วพอปี 2527 เราก็มีลูกชายหนึ่งคนหลังจากนั้นไม่นานก็เลิกกับภรรยาและตัวเราก็อยู่ดูแลลูกแต่เพียงผู้เดียว ปี 2528 ก็ไปสอบบรจุเป็นลูกจ้างประจำที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง ได้ลำดับที่หนึ่งก็เลยงดการจัดรายการวิทยุย้ายถิ่นฐานไปกับลูกเพื่อทำงานที่จังหวัดอ่างทองในฐานะลูกจ้างประจำสอนแผนกช่างไฟฟ้า และที่นี่เราก็มีโอกาสศึกษาต่อจนจบปริญญา ต่อมาไม่นานก็ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการประจำ ที่นี่เราได้ตั้งวงดนตรีอีเล็คโทนชื่อวง"บางเสด็จสัมพันธ์ " โดยมีนักเรียนที่โรงเรียนเป็นนักร้อง รับงานทั่วไป  งานละ 8,000 - 10,000 บาท ช่วงนี้เหนื่อยมากแต่ก็สนุกได้รับเงินดีมาก ช่วงนี้เตี่ยเลิกขายของแล้วและย้ายบ้านไปที่หมู่บ้านสุขสวัสดิ์นิเวศน์ เป็นบ้านที่เตี่ยเก็บเงินสร้างเองในที่ดินจัดสรรที่ดิน 50 ตารางวา ที่นี่เตี่ยมีความสุขมาก ส่วนตัวเรานานๆครั้งที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านแต่ยังส่งเงินให้เตี่ยให้แม่เดือนละ 5,000 บาทเป็นประจำในขณะที่รับราชการพร้อมทำวงดนตรีอยู่นั้นเราก็เริ่มกิจการใหม่ควบคู่ไปด้วยโดยการซื้อรถสิบล้อบบรทุกน้ำมันตามคลังน้ำมันต่างๆในกรุงเทพฯไปส่งตามปั้๊มน้ำมันทั่วประเทศ โดยเป็นรถร่วมกับ บริษัท วินออยส์ จำกัด สำนักงานตั้งอยู่ถนนเชื้อเพลิง หน้าคลังน้ำมันเชลล์ งานดนตรีก็กำลังไปได้ดี งานรับจ้างบบรทุกน้ำมันก็ไปได้ด้วยดี ช่วงนี้เงินเข้ามากมายจนฐานะทางการเงินดีขึ้น

          วันที่  20 พฤศจิกายน 2539 พี่สาวทีอยู่จังหวัดสมุทรปราการ โทรศัพท์แจ้งข่าวให้ทราบว่าเตี่ยป่วยต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ โรงพพยาบาลสมเด็จพระปินเกล้า(ร.พ.ทหารเรือ)อยู่แถวสำเหร่ โดยใชัสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาลจากต้นสังกัดของน้องชายคนสุดท้องที่รับราชการทการเรือ พี่สาวเล่าให้ฟังว่าเตี่ยไปเยี่ยมญาติที่ ซัวเถา ประเทศจีน กำหนด 15 วัน แต่เตี่ยไปได้แค่ 5 วันก็ถูกส่งตัวกลับเนื่องจากเข่าเดินไม่ได้ โรคเก๊าท์กำเริบ ไปเจออากาศหนาวเย็นที่เมืองจีนทำให้ไม่สบาย เมื่อทราบข่าวเราก็รีบกลับมาเยี่ยมเตี่ยพร้อมกับพี่สาวอีกสองคน ครั้งแรกที่พบเตี่ยในห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลเราเห็นเตี่ยแล้วน้ำตาซึมต้องออกมาร้องไห้นอกห้องกับพี่สาวอีกคน หลังจากนั้นไม่นานเราก็ย้ายเตี่ยมารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนโดยมีพี่สาวคอยดูแลอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งสายๆของวันที่ 24 มกราคม 2540เวลาประมาณบ่ายสามโมงขณะที่เรากำลังไปราชการที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาพี่สาวโทรศัพท์มาแจ้งข่าวว่า เตี่ยเสียชีวิตเราเองพอทราบข่าวถึงกับเข่าทรุดทำอะไรไม่ถูก สมองไม่สั่งงานชั่วขณะจนเพื่อนๆต้องมาประคองเราออกจากห้องประชุม และมีเพื่อนครูคนหนึ่งอาสาขับรถเรามาส่งเราถึงบ้านเพราะเราขับรถกลับไม่ไหว

          เย็นวันที่ 24 มกราคม 2540 พวกเราจัดงานศพให้เตี่ยสมฐานะ สวดพระอภิธรรม 7 คืน สลับกับการทำกงเต็กแบบพิกรรมจีน งานศพเตี่ยเรามีแขกนับร้อยร่วงานแทบทุกคืนคืนแรกคืนวันที่ 25 มกราคม 2540 คณะครูจากจังหวัดอ่างทองเหมารถบัสมาร่วมงาน 3 คันรถบัส สร้างความประทับใจให้กับเราไม่มีวันลืม แต่ละคืนพวกเราจัดโต๊ะจีนรับรองแขกทุกคืน เป็นโต๊ะจีนจาก"สมพงษ์โต๊ะจีน"บ้านแพ้ว สมุทรสาคร ถิ่นเก่าที่เตี่ยเคยทำสวน ปัจจุบันเตี่ยฝังอยู่ที่ เม่งชวงเสี่ยงตึ้ง จังหวัดราชบุรี เพราะเตี่ยเลือกซื้อที่ที่สุสานแห่งนี้ล่วงหน้าไว้แล้ว หลังจากเตี่ยเสียชีวิตไม่นานเราก็ถูกเชิญออกจากราชการเพราะเรื่องชู้สาว เราก็ย้ายมาอยู่ที่พระประแดง กับแม่ มาดูแลแม่อย่างใกล้ชิด ช่วงนี้เลิกกิจการวงดนตรี เลิกกิจการรถบรรทุก มาตั้งร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ชื่อร้าน"สุขสวัสดิ์คอมพิวเตอร์"เป็นร้านเล็กๆในหมู่บ้านสุขสวัสด์นิเวศน์ พร้อมกับจัดรายการวิทยุที่สถานีวิทยุชุมชนใกล้บ้าน รายได้จจากการซ่อมคอมพิวเตอร์อยูได้สบายมากเพราะเราซ่อมเองไม่ได้จ้างช่างช่วงนั้นคอมพิวเตอร์กำลังบูมใหม่ๆรายได้ต่อวันนับพันบาททำอยู่แบบนี้นานหลายปีจนลูกชายเรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยหอการค้า เรารู้สึกเหนื่อยก็เลิกร้านซ่อมคอม อยู่บ้านดูแลแม่เพราะช่วงนี้ลูกชายเริ่มทำงานแล้วมีรายได้เดือนละหลายหมื่นบาท

 

 


                      

 



 

Visitors: 5,201