นนท์ พลางวัน

                                                                                     

ห อ ม ดิ น อี ส า น


ตอน...อีสานต้อง แ ล้ ง เข้าใจบ่?

อีสาน...ทำไมต้องแล้ง? (1)


ดิน...แยก แตกระแหง ต้นใบไม้เฉาแห้ง ...แรงไม่....มี
นี่คือ 1 ในร้อยๆ บทเพลงที่สะท้อนสภาพของผืนดินอันเป็นที่เกิดของไม่เฉพาะตัวเรา หากรวมถึงปู่ ย่า ตา ทวด โคตรเหง้าของเรา นี่เฉพาะในเพลงลูกทุ่ง หากนับรวมเพลงเพื่อชีวิต โดยเฉพาะเพลงของวงฅาราวาน ยิ่งสะท้อนภาพให้เห็นยิ่งกว่าความแห้งแล้ง เห็นขนาดความทุเรศทุรัง แร้นแค้นของชีวิตผู้คนในอีสาน
ด้วยภาพพจน์ ที่ทำให้เราเห็นแต่ด้านร้ายๆ ไม่พึงประสงค์ แถมยังพ่วงด้วยความยากจนเพราะแห้งแล้งเข้าไปอีก จึงทำให้ลูกหลาน เยาวชนของเราบางส่วน อายที่จะบอกกับใครๆ ว่า ตนเป็นคนอีสาน แถมกลับมาดูถูกพี่น้องของตนเสียอีก... คิดไปมันก็น่าเห็นใจ เพราะใครก็ไม่อยากต่ำต้อยน้อยหน้าคนอื่น นั่น... เพราะเขาไม่เข้าใจ ไม่รู้จักแผ่นดินอีสาน
อ่านบทความนี้ครบทั้งสี่วัน แล้วเขาอาจจะเห็นแง่มุมดีๆ ของแผ่นดินนี้บ้าง
ชาวอีสานได้พยายามแก้ไขสิ่งนี้ นักการเมืองต่างก็ทำหน้าที่ในสภาฯ เพื่อเรียกร้องให้รัฐจัดสรรงบประมาณเพื่อประทังความอดอยาก และเสนอให้แก้ปัญหาความแห้งแล้ง นัยว่า หากแก้ปัญหาความแห้งแล้งเพียงอย่างเดียว ก็จะแก้ปัญหาอื่นๆ ได้หมด
ส.ส.บางท่านถึงกับแถลงว่า ศัตรูของคนอีสานคือความแห้งแล้ง ถ้าแก้แล้งได้ ทุกอย่างที่ดีๆ ก็จะตามมา แล้วก็มีการสร้างเขื่อน สร้างฝายกันยกใหญ่
ไม่นับรวมที่ขวนขวายหาทางผันน้ำจากแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา บางโครงการก็ลงมือไปแล้ว ผลาญงบไปมหาศาลไปแล้ว บ้างก็อยู่ระหว่างการรณรงค์เพื่อให้มีการเติมน้ำเข้าสู่อีสาน ราวกับว่า ถ้าพูดเรื่องหาน้ำมาให้อีสานแล้ว จะถูกใจผู้คนในแผ่นดินอันแห้งผากนี้
ดูก่อน...ผู้ปรารถนาดีต่ออีสานทั้งหลาย โปรดฟังเสียงคนที่อยู่กับแผ่นดินนี้บ้าง
ผมเคยให้สัมภาษณ์กับทีวีไปอย่างน้อย 2 รอบ เมื่อ 2 ปีก่อน แต่ดูเหมือนไม่เกิดผลใดๆ วันนี้ ผมมีสื่อในมือ แม้มันจะเล็กเท่าฝ่ามือ และสื่อสารในวงแคบ ผมก็จะทำ ขอมีสักคนที่เงี่ยโสตสดับ ผมก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
อีสานต้องแล้ว ไม่แล้งไม่ได้!!!
อันแผ่นดินอีสานคือแผ่นดินที่ตั้งบนที่ราบสูง ลักษณะผิวดินเป็นลอนคลื่น และลาดเทลงสู่ที่ลุ่มคือแม่น้ำ ทั้งแอ่งสกลนครและแอ่งโคราช ด้วยลักษณะภูมิประเทศเป็นเช่นนี้ ทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาจึงรี่ไหลลงสู่ที่ลุ่มอย่างรวดเร็ว ...แล้วดินก็แห้ง เพราะน้ำไม่ขัง
ใช่... แล้วมันก็แล้ง
มีนี้ลองมุดลงไปดูที่ใต้พิภพ...ก็พบว่า ใต้แผ่นดินอีสานเป็นโดมเกลือ (salt dome) ก็ภูเขาเกลือนั่นแหละ พูดให้มันเท่ ให้ดูเหมือนคนมีความรู้กับเขามั่ง
เราไม่ต้องมุดลงไปจริงๆ ดอกดูผิวดินข้างบนนี้ก็ได้ จะเห็นว่า ดินส่วนใหญ่เป็นดินเค็ม ใครไม่เคยเห็นหรือไม่รู้จัก "ดินเอียด" ยกมือขึ้น
ดินเอียด ดินบ่อ หรือขี้ทา มีให้เห็นทุกหัวระแหง แม้แต่สนามฟุตบอลของ ม.ราชภัฏอุดร ปลูกหญ้าจนหมดอธิการไปหลายคนแล้วก็ยังไม่ขึ้น เพราะดินมันเค็ม ก็ใต้แผ่นดินบริเวณนั้นเป็นยอดโดม
ที่ใดที่ยอดภูเกลือทะลึ่งขึ้นมา ตรงนั้นก็จะใกล้ผิวดินมากที่สุด เกลือก็จะปะทุขึ้นมาให้เห็น แต่ที่ใดเป็นไหล่ เป็นตีนเขาก็จะอยู่ห่างหน้าผิวดิน ตรงนั้นจะไม่มีขี้ทา หรือขี้เกลือขึ้น
แต่.....ไม่ได้หมายความว่าบริเวณนั้น จะรอดพ้นไปได้ ต่อเมื่อใดที่มีปัจจัยให้น้ำเกลือใต้ดินเชื่อมกับหน้าดิน เมื่อนั้น ตรงนั้น ก็จะกลายเป็นดินเค็มในที่สุด
การที่จะทำให้น้ำเค็มใต้ดินกับหน้าดินมิให้เชื่อมกันได้ คือ ต้องทำให้หน้าดินแห้งอย่างน้อยก็เกือบครึ่งปีจึงจะกันได้ดี พูดง่ายๆ คือต้องตากหน้าดินอย่างน้อย 4-6 เดือน
ธรรมชาติจึงสร้างกลไกพิเศษที่แผ่นดินอื่นไม่มี คือ ประทานฤดูแล้งให้ภาคอีสาน ตั้งแต่ออกพรรษาถึงสงกรานต์ถือเป็นหน้าแล้ง
ข้าราชการหลายท่านมาภาคอีสานเห็นแล้วตกใจ แล้วเรียกปรากฏการณ์นี้เสียเพราะพรื้งว่า แล้งซ้ำซาก แล้วก็ระดมสมองแก้ปัญหา แน่นอน ... ปรากฏการณ์นี้เป็นอาหารอันโอชะของนักการเมืองที่จะอ้างเอางบฯ มาละเลงกันสนุกมือ
ธรรมชาติมิเคยลำเอียง มิมีสิ่งใดเที่ยงตรง สัตย์ซื่อเกินกว่าธรรมชาติ ธรรมชาติย่อมมีเหตุผล หากอีสานไม่แล้ง ป่านนี้ รับรองว่า จะไม่เหลือเผ่าพันธุ์นี้ค้างแผ่นดิน
ใครก็อย่าได้อุตริคิดเติมน้ำให้อีสาน ...
ข้อพิสูจน์ว่าอีสานมีน้ำมากไม่ได้ หรือการเพ้อฝันว่า ถ้ามีน้ำเสียอย่าง อีสานก็จะกลายเป็นแผ่นดินทอง ขอจงเลิกฝันได้
ข้อพิสูจน์คือ เขื่อนทุกเขื่อนในอีสานล้วนแล้วแต่พบปัญหาดินเค็มทั้งๆ ที่ก่อนมีเขื่อนไม่มีปัญหานี้
เท่านี้ก็น่าจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจแก่ผู้ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้ายได้ยับยั้งชั่งใจกันบ้าง
แล้วจะทำอย่างไร ...
ข้อเขียนนี้มี 4 ตอน ฟังเหตุผลให้ครบก่อนว่า ทำไมอีสานถึงต้องแล้ง

ห อ ม ดิ น อี ส า น


ตอน อีสานต้อง แ ล้ง เข้าใจบ่?

อีสานทำไมต้องแล้ง (2)
ื ในวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมา คือวันที่ผมรู้สึกงว่าอากาศร้อนที่สุด ไม่ทราบเป็นเพราะเป็นวันก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อสองร้อยกว่าปีหรือไม่ แต่มันร้อนเหมือนแม่ลูกอ่อนอยู่หน้าหม้อกรรม (อยู่ไฟ)
ท่ามกลางเหงื่อที่โซมกาย แม้นั่ง (นอน) อยู่ใต้ต้นไม้ใบหนาอย่างต้นสาเก ซ้ำยังมีผ้าใบบังแดดอีกชั้น ก็ยังรู้สึก
ผมยิ้ม ... ยิ้มให้กับแม่ธรณีของอีสาน ด้วยสิ่งที่ผมให้สัมภาษณ์เมื่อ 2 ปีก่อนมันเป็นจริง และเห็นกันกระจะตา
สิ่งที่ผมเคยพูดไป คือ ที่อีสานต้องแล้งเพราะธรรมชาติได้ประทานแล้งให้ผืนดินและคนอีสาน คำว่า ประทาน มิใช่ประชด
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ
รู้หรือไม่ หากแผ่นดินอีสานไม่แล้ง - ร้อนด้วยมีฤดูแล้ง ที่ยาวนานถึง 4-6 เดือนแล้ว ป่านนี้อาจไม่เหลือเผ่าพันธ์ุนี้อยู่บนโลกใบนี้ก็ได้ เพราะกาลเวลาที่หมุนเปลี่ยนในรอบปีจะมีช่วงที่อากาศสามารถถ่ายเทได้ดีในช่วงเดือนปลายกุมภาต่อมีนา และยาวไปถึงกลางพฤษภา ซึ่งก็คือหน้าแล้งของอีสาน
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงฟักตัวและแพร่ระบาดของเชื้อโรค ไม่ว่าเชื้อโรคนั้นจะเป็นจุลชีวัน (bacteria) หรือ ไวรัส (virus) ซึ่งเราเรียกพวกมันว่า โรคห่า หากแก่กว่าห่า คือ พาก ชึ่งไม่ว่าห่าหรือพากมันก็ทำให้มนุษยชาติด่าวดิ้น ระดับที่เรียกได้ว่า ตายเป็นเบือได้เหมือนๆ กัน
เราคงได้ยิน "แร้งวัดสระเกศ" คู่กับ "เปรตวัดสุทัศน์" เป็นเพราะชาวกรุงตายทับถมกันจนจี่เผากันไม่ทัน นั่นเป็นตำนานโรคระบาดของไทยที่เราเกิดไม่ทัน
แต่ที่เกิดทันคือเวลานี้ เราได้เห็น "แร้งฝรั่งเศส-เปรตอเมริกา" ที่ผู้คนล้มตายด้วยโรคห่าที่ยกระดับเป็นพาก COVID-19
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นห่าหรือพาก ก็ตาม เมื่อมันเจอกับแล้ง - ร้อนของอีสาน มีอันต้องแห้งตายแหงแก๋ ไม่เหลือซาก
ชาวอีสานที่อ่อนด้อยเรื่องการให้บริการด้านสาธารณสุขจากรัฐแต่ครั้งปู่ครั้งย่า หากไม่ได้แล้งช่วย ป่านนี้เราอาจไม่ได้มานั่งเล่น face เล่น line อยู่อย่างนี้ดอก ซิบอกให้

ห อ ม ดิ น อี ส า น


ตอน อีสานต้อง แ ล้ ง เข้าใจบ่?

อีสานทำไมต้องแล้ง (3)
"รู้ไหม... หน้าแล้งคือฤดูที่อีสานอุดมสมบูรณ์ที่สุด?"
ประโยคคำถามนี้ ผมไม่ได้ถามพวกท่าน แต่เป็นคำถามที่ผมเคยถูกถาม และผู้ตั้งคำถามเอากับผม คือ นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ผู้เป็นนักวิชาการโดยธรรมชาติ และกระหายในองค์ความรู้ที่อยู่ที่เห็นที่เป็นไปใกล้ตัว เขาเห็นว่า ท้องถิ่นของอีสาน คือ พื้นที่วิจัยที่น่าศึกษาค้นคว้าอย่างที่สุด และเมื่อไม่มีใครใส่ใจ เขาจึงยืดอก ...กูเอง
เขามิใช่อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ทำ proposal เสนอแล้วทุนวิจัยก็ไหลหลั่ง มีนักศึกษาพร้อมที่จะสมัครเป็นผู้ช่วยนักวิจัยมากมาย
เขาเป็นเพียง ผอ.โรงเรียนบ้านนอก บ้านเยี่ยม เสลภูมิ ร้อยเอ็ด ซึ่งไม่ได้ดำเนินชีวิตตามสูตร ผอ. คือ มีฟอร์จูนเนอร์ไว้ขี่ไปในเมือง รถเก๋ง ขี่ไปโรงเรียน มีปิกอัพ ขี่ไปดูนาข้าว
เขามีเพียงนิสสัน นาวารา เพื่อขนนักวิจัย อันได้แก่ นักการของโรงเรียนและพวกเด็กนักเรียนที่สมัครใจเป็นนักวิจัยฟันน้ำนม ตื่นเช้านึ่งข้าวเหนียวแล้วออกรถ ลงพื้นที่วิจัย อันเป็นพื้นที่ตกสำรวจของนักวิจัยเบอร์ใหญ่ คือ ลำน้ำยัง ห้วย กุด โนน โพนเถียงนา ภายใต้หัวข้อวิจัย "ตามรอยพระวอ-พระตา"
ครู อาชีพที่ได้ชื่อว่าเป็นนักกู้สิบทิศ กู้มันทุกช่องที่มีให้กู้ เขาไม่ให้กู้ก็ก่อม็อบ กู้แม้เงินในอนาคต เอาเงินหลังการตายมาใช้ก่อน แต่ส่วนใหญ่ เงินกู้ที่ได้กลับใช้ไปในทางที่ไม่เป็นประโยชน์หรืองอกเงย
เขาเป็นครู แน่นอนเขาก็กู้ แต่แทนที่จะกู้มาเพื่อซื้อฟอร์จูนเนอร์ ซื้อบิ๊กไบค์ให้ลูกชายขี่อวดสาว แต่เขายอมเป็นหนี้สหกรณ์ครูเพื่อนำเงินไปใช้ในการวิจัย
อาจารย์ ธงสิน ธนกัญญา คือครูคนนั้น และเป็นผู้ตั้งคำถามข้างต้นนั้นเอากับผม
ผมมันคนบ้านทุ่งจึงรู้สึกแปลกๆ กับคำถาม จริงหรือ... อีสานอุดมสมบูรณ์ที่สุดคือหน้าแล้ง ไม่ใช่หน้าฝนดอกหรือ?
ผอ.ธงสินยืนยันว่า หน้าแล้งคือหน้าที่ป่าอีสานบรรณาการเหล่าภักษาหารแก่นักเปิบ นักชิมและชาวบ้านมากที่สุด แต่มีเงื่อนไขว่า ระบบนิเวศต้องไม่ถูกทำลายจนย่อยยับ
แต่ขนาดถูกทำลายจนไม่มีชิ้นดีอย่างปัจจุบัน ชาวเฟซอีสานก็ยังโพสต์รูปของกินที่เก็บหาได้จากป่าอีสานมายั่วน้ำลายคนได้ทุกวี่ทุกวัน ทั้งผักป่า ทั้งสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย แมลง ทั้งบนดิน ใต้ดิน บนยอดไม้ ในน้ำ ในโพรงในรู
โปรดสังเกต ที่พวกท่านโพสต์ๆ กันน่ะ เกือบร้อยทั้งร้อย ล้วนเป็นพืชเป็นสัตว์ที่หาได้ในหน้าแล้งทั้งสิ้น
นักพัฒนาอาวุโสท่านหนึ่งเคยคุยกับผมเมื่อหลายปี บอกว่า ในการประชุมชาวบ้านครั้งหนึ่ง ที่ประชุมตั้งประเด็นให้ชาวบ้านระบุว่า ความสุขของแต่ละคนว่าคืออะไร มีลุงคนหนึ่งอธิยายความสุขของตนต่อที่ประชุมว่า ความสุขของผมคือ การได้หนู (น หนู ไม่ใช่ ม ม้า) ย่างไฟเกรียมๆ กับข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ (หนูย่างแห้มๆ กับปั้นเข้าฮ้อนๆ) นั่นแหละความสุขของข้อย
หน้าแล้ง สัตว์ตามธรรมชาติขาดแคลนอาหาร จึงต้องตุนไขมันไว้สำหรับการจำศีล จึงทำให้มีรสชาติดีกว่าหน้าอื่นๆ
อ.ธงสินยังบอกอีกว่า แม้แต่ผลไม้ ส่วนใหญ่จะผลิดอกออกผลในหน้าอื่น แต่ก็มาสุกหอมเอาในหน้าแล้ง
ครั้งหนึ่ง ผมได้มีโอกาสกึ่งนั่งกึ่งนอนระหว่างรอข้าวที่ผู้จัดเตรียมให้วิทยากร ผู้ขนาบข้างผม ข้างหนึ่งเป็นผู้ที่ผมยกย่องว่า มหาปราชญ์แห่งท้องทุ่งอีสาน ลุงพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา อีกข้างเป็นนักพังเขื่อน ยายไฮ ขันจันทา (ไม่ใช่ Hi แบบฝรั่ง ไม่ใช่ Hai แบบเวียดนาม และไม่ใช่ ฮาย แบบนักร้องลูกทุ่ง แต่เป็น ฮัย เพราะตอนเด็กๆ จุกจิกกวนใจให้รำคาญ พ่อจึงเรียก ไฮ คือ ไรริ้น ริ้นไร - ไฮฮี้น)
ผมถามผู้อาวุโสทั้งสองเพื่อคร่าเวลาว่า ในสมัยพวกท่านเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่มีโรงหนัง ไม่มีห้างสรรพสินค้า พวกท่านเที่ยวหาความสุขกันยังไง?
สองอาวุโสเมืองอุบลตอบพร้อมๆ กันว่า "เข้าป่า!!"
ลุงบอกว่า พอหันหน้าเข้าป่าเท่านั้น ความสุขก็พรั่งพรู ... มันมีเสียงนกอะไรก็ไม่รู้ ร้องเสียงไพเราะเหลือเกิน เพราะจนลืมข้าวลืมน้ำ (ลืมแลงลืมงาย)
ส่วนยายก็บอกว่า ป่าคือสวนสนุก ร่มเย็นไม่ร้อน ของกินก็มีอยู่อย่างดาดดื่น ทั้งกินเล่นตรงนั้น ทั้งเก็บกลับบ้านเป็นกับข้าว "เข้าป่าได้ยินเสียงนกแล้วใจวี่ใจวอน เทิงได้กินหมากไม้แซ่บๆ)
แน่นอนว่า ป่าที่พวกท่านว่าคือป่าอีสานหน้าแล้ง นอกจากให้ของกินแล้ว คำบอกเล่า ยังทำให้เห็นว่า ป่ายังเป็นแหล่งสันทนาการอีกด้วย
ป่าอีสานหน้าแล้งคือที่มาของบทเพลงอันแสนหวานจำนวนมากของ มหาปราชญ์แห่งท้องทุ่งอีสาน พูดถึงครูพงษ์ศักดิ์ ขาดไม่ได้คือ ต้องพูดถึงครูสุรินทร์ ภาคศิริ อัจฉริยะแห่ท้องทุ่งอีสาน ท่านประพันธ์ บทเพลงนับสิบนับร้อยที่กล่าวถึงป่าอีสานหน้าแล้ง ... ดอกผักติ้ว บานเป็นทิวสดสวยตระการ..
เพลงครูสุรินทร์ ได้ทำให้เราได้เห็นว่า ป่าอีสานนี่เองที่ปั้นนักแต่งเพลงนามอุโฆษทั้งสองท่าน
เพลงของครูให้ภาพอันสวยงามของป่าอีสาน แล้วก็พาลประหวัดไปถึงคนรักผู้จากไกล เสียงหวาน ที่ไม่ได้หวานแบบน้ำผึ้ง แต่เป็นหวานแบบผักหวานป่าของ สนธิ สมมาตร ก็ช่างเป็นใจ ร่วมมือกันโบยตีหัวใจเปลี่ยวให้ทุกข์ทรมานจนเกินทน หลายคนฟังแล้วสุดจะกลั้นน้ำตา
แต่สำหรับผม ผู้หยาบกร้าน มองดอกติ้วแล้วคิดถึงแต่ความอร่อย ... หรือใผจะปฏิเสธแกงปลาค่อใหญ่ใส่ดอกผักติ้ว?!
ด้วยอารมณ์สุนทรีของคนอีสานที่ได้จากป่าหน้าแล้ง จึงเกิดท่วงทำนองลำ เรียกว่า ลำเดินดง และฉากสำคัญที่ขาดเสียมิได้ คือ ฉากการออกไปชมสวนของราชธิดา ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องเกิดราวและกลายเป็นวรรณกรรมอันเลอค่าของแผ่นดินอันแห้งแล้งผืนนี้

ห อ ม ดิ น อี ส า น


ตอน อีสานต้องแล้ง (เข้าใจบ่?)

อีสานทำไมต้องแล้ว (4)
ถ้าเราถือเอาราคาน้ำมันเป็นเกจ์วัดวิวัฒนาการของโลกในช่วงที่เรามีชีวิตบนโลกใบนี้...
ผมซื้อรถครั้งแรกเมื่อปี 2538 ผมจำไม่ได้ว่าราคาน้ำมันมันเท่าไหร่ แต่ที่จดจำได้แม่นคือ นับแต่ปีนั้น น้ำมันไม่เคยลดเลย มีแต่ขึ้นๆๆๆ จนเมื่อวาน ราคาน้ำมันที่เมืองผมอยู่ ใกล้ๆ กับ... ด่านซ้ายชายแดนแคว้นเมืองหน้าด่าน...ลิตรละ 15 บ๊าท ซี้ซิบแป๊ดซะต๋างค์
และหากเราหมุนเข็มนาฬิกาไปที่เวลา ณ ราคาดีเซลเท่ากันนี้จะเป็น พ.ศ. เท่าไหร่ ผมไม่รู้ แต่คงไม่น้อยกว่า 30 ปีเป็นแน่
และวันนี้ ยังไม่มีวี่แววว่า "เจ้าพ่อโควิด" จะหยุดหมุนทวนเข็มนาฬิกาชีวิตของเราเลย ...ไม่รู้ชีวิตเราจะย้อนกลับไปอีกสักกี่ปี นี่แหละ Back to the Future ของจริง
ก่อนนี้ฝรั่งแหกตาให้เรากลัวว่า เราจะดำรงชีพอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร เพราะ AI, IoTs (internet of things) มันจะ disrupt พวกเรา ใครไม่เปลี่ยน ใครตามไม่ทันเทคโนโลยี ก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างเจ็บปวด
ทีนี้เป็นไงล่ะ 'พี่หวิด' นี่แหละตัว disruption ตัวจริง ใครไม่เปลี่ยนไปใช้ชีวิตแบบ New Normal จะถูกทิ้งให้เป็นศพไว้ข้างหลังอย่างน่าอนาถ!!
สมัยที่ยังเป็นหนุ่ม (เนื้อหอมด้วยนะ) ผมมีเพื่อนรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง คนเห็นภายนอกต้องบอกว่าสุดซกมก ผมเผ้ารกรุงรัง หนวดเคราโกนบ้าง สื่อสารพูดคุยกับมนุษย์รู้เรื่องเป็นบางคน คนในที่ทำงานมีเป็นร้อย แกเลือกคุยด้วยเพียงบางคน และบางคนที่คุยกันหนุงหนิงสนุกสนานบานใจมีผมรวมอยู่ด้วย
วันหนึ่งแกเดินหิ้วตะกร้า ในตะกร้ามีกระดาษ proof และดินสอ 6B อันเป็นเป็นปกติวิสัย ผลักบานกระจก เดินเข้ามาในห้องที่ผมทำงาน วางตะกร้าแล้วล้วงมือลงในกระเป๋าข้างของกางเกงทหาร มีชั้นปิ่นโตสแตนเลสติดมือขึ้นมา แล้วแกก็เปิดฝา ในนั้นมีใบตอง บนใบตองมีข้าวสีดำๆ แล้วยื่นมาตรงหน้าผม ...
นนท์ใช้มือควักมาคำนึง.. ผมทำตามแบบงงๆ กินซะ..แล้วก็จ้องหน้าผมเหมือนแม่ที่เฝ้าดูอาการเมื่อป้อนข้าวคำแรกในชีวิตให้ลูกน้อย
เอาซี้...
ผมกินข้าวคำนั้น
...เป็นไง...เอาความรู้สึกตามคำข้าวไป ... ถึงไหนแล้ว..
เออ... รู้สึกเหมือนได้ตามคำข้าวคำนั้นไปจริงๆ ..
เห็นไหม ... ข้าวนี้เป็นข้าวกล้อง พี่หุงด้วยฟืนในหม้อดิน ใส่โสม เกลือสินเธาว์และเกลือสมุทรนิดหน่อย นี่แหละ ร่างกายเรามันต้องการเท่านี้ ตับไตไส้พุง เครื่องในคนเรา เมื่อล้านปีเป็นยังไง วันนี้มันก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีเปลี่ยนแปลง ข้าวกล้อง คือ อาหารของร่างกาย แต่เราไม่ได้กิน ไม่ได้กินมานานปี เหมือนลูกเหมือนหลานที่จากหมู่บ้านไปนาน แล้ววันหนึ่งลูกหลานกลับสู่ชุมชน ลุงป้าน้าอาจึงไถ่ถามทุกข์สุขตลอดทาง เช่นกัน คำข้าวเราไปถึงไหน ชิ้นส่วนภายในจึงไถ่ถามด้วยความดีใจ จนเราสามารถตามคำข้าวได้
ผมลาออกและกลับบ้านเกิดหลายปี เข้า กทม. คิดถึงจึงโทรหาแก แกให้ผมไปพบที่มุมมืดใต้จานดาวเทียมใบเขื่องหลายใบ ในสวนลุมพินี ขณะที่จอมอนิเตอร์นัยร้อยเกลื่อนสวนลุมกำลังถ่ายทอดสดรายการ ที่มีคนนั่งฟังเรือนหมื่น
พี่เกาะสัญญาณยืมมันใช้ก่อน เขาพูดแทนคำทักทาย
เขาคืออดีตผู้ควบคุมด้านเทคนิคของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม Thai Sky TV และคืนนั้น กำลังดูแลระบบสัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมให้กับทีวีช่องหนึ่ง ผมขอเอ่ยนามด้วยความเคารพและคิดถึง พี่สายัณห์ เล็กอุทัย
ที่ผมยกเรื่องนี้มาก็เพื่อจะบอกว่า ต่อไปนี้.... โลกของเรา ชีวิตของเราจะไม่เหมือนเดิม เราต้องอยู่ท่ามกลางดงเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน เราต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบสังคมดั้งเดิม ... แม้ไม่ถึงกับสังคมบุพกาล แต่ก็ใกล้เคียง
น้ำมันโลกล้นเกิน ด้วย supply มากกว่า demand ไม่มีคลังเก็บ มีแต่จะลดราคาลงไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ 'พี่หวิด' ยังไม่ถูกถอนยวง เราอาจต้องกลับไปใช้กระบองขี้ไต้ หรือตะเกียงกัน
ในใจลึกๆ ผมยิ้มให้ตัวเองและเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นให้กับลมแล้งของอีสาน
โปรดตรึกตรองให้ดี... ในอดีตสมัยที่ยังใช้ไต้ใช้กระบอง แท้จริงมันคือยุคสมัยที่อีสานได้สร้างสรรค์บรรดาศิลปะประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามให้ลูกหลานอีสานได้ภูมิใจในเวลานี้ ยุคไต้กระบอง คือ ยุคที่คนอีสานได้สร้างอัตลักษณ์ของตนเอง
ศิลปะและวัฒนธรรมมันเกิดขึ้นง่ายๆ เกิดจากวิถีชีวิต มิได้เกิดจากเหล่าปวงปราชญ์เมธีมาประชุม brainstorming กำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย วาง year plan, action plan ให้วุ่นวาย
อาจารย์ผม ดร.เจริญชัย ชนไพโรจน์ เขียนไว้ว่า มันเกิดจากสมัยไม่มีไฟฟ้า ตกกลางคืนมืดเหมือนกำตา ไม่จำเป็นไม่มีใครอยากลงบ้าน คนที่ลงบ้านมีอยู่ 2 ประเภท คือ โจร ที่ออกปล้น/ลักขโมย ซึ่งเป็นการลงบ้านแบบร้าย และอีกประเภทหนึ่ง คือ หนุ่มๆ ที่หัวใจร่ำร้องหาความรัก จนยอมเสี่ยงอันตรายออกเดินท่อมๆ ตามบ้านผู้คน
และเพื่อให้ชาวบ้านรู้ว่าพวกตนไปดี มิใช่โจรขโมย คนที่มีศิลปะทางดนตรีก็เป่าแคนขึ้น คนที่มีศิลปะทางร้องทางลำก็เอ่ยลำ คนที่ไม่มีทักษะใดๆ ก็ฟ้อนใส่แคน หรือตบมือตบไม้ไปตามเรื่อง
จากวิถีอันเรียบง่าย ก็จึงกลายมาเป็นศิลปะและวัฒนธรรมอันเป็นปึกแผ่นแน่นหนา เพียงเท่านี้จริงๆ
ยุคสมัยต่อมา คือ ยุคเราๆ ท่านๆ นี่แหละ มันคือยุคกินบุญเก่า คนยุคนี้อย่างดี ทำได้ก็เพียงชื่นชมและโหยหา หรือเมาแล้วฟ้อนหน้าฮ้าน ก็เท่านั้น หาได้สร้างสรรค์สิ่งใดอันจะเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมแก่คนรุ่นหลังไม่!
และโปรดตรึกตรองอีกด้วยว่า ห้วงเวลาที่บรรพชนได้สร้างสรรค์สรรพศิลปะและวัฒนธรรม แท้จริงคือ ช่วงหน้าแล้ง นั่นเอง
ในช่วงอื่นเป็นช่วงที่ต้องกรำงานหนักในนา จนกระทั่ง แล้วข้าวแล้วน้ำ ข้าวขึ้นเล้า เข้าหน้าแล้ง จึงจะเป็นช่วงแห่งความสำราญอันแท้จริง เป็นช่วงเหมาะแก่การทำบุญสร้างกุศล จัดงานกฐิน ผ้าป่า งานบวช งานแจกข้าว แล้วก็จ้าง "แนวงัน" หรือมหรสพมาสมโภช
ในช่วงหน้านา ไม่มีทางสร้างสรรค์ศิลปะวิทยาการได้ดอก เพราะตัองเร่งให้ทันฟ้าทันฝน
ดูแต่สุพรรณบุรี ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของเพลงลูกทุ่งไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นบ้านนอกในหนังไทย เมื่อคมนาคมสะดวก ยิ่งสมัยต่อมามีถนนบรรหาร มีการปลูกพืชเศรษฐกิจและทำนาปรังถึง 3 ครั้งใน 1 ปี
หลังยุค... เพราะความจนยาก ผมจึงต้องจากบ้านมา...หลังยุคสายัณห์ สัญญา จะหานักร้องสุพรรณทำยาก็ทั้งยาก มิพักต้องพูดถึงปัจจุบัน
แล้งของอีสานจึงเป็นกลไกที่ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ศิลปะวัฒนธรรม หากไม่มีหน้าแล้ง ป่านนี้หมู่เฮาก็คงพากันตีกะโหลกเคาะกะลา แล้วซาวหม้ดซาวเม็น หรือทำมือทำไม้เหมือนเกาขี้หิดขี้กลาก
ไม่มีทางจะได้กรีดเรียวนิ้ว ...แอะแอ่นฟ้อน รำย้อนใส่แคน...

ห อ ม ดิ น อื ส า น


ตอน อีสานต้อง แ ล้ ง (เข้าใจบ่?)

อีสานทำไมต้องแล้ง (สรุป-จบ)
อีสานต้องแล้ง เพราะ
1) ใต้พื้นดินอีสานเป็นภูเขาเกลือ จำเป็นต้องตากหน้าดินให้แห้งสนิท เพื่อมิให้น้ำเค็มใต้ดินเชื่อมกับน้ำบนดิน
2) ช่วยตัดวงจรการระบาดของเชื้อไข้ระบาด
3) หน้าแล้งเป็นฤดูที่อีสานอุดมสมบูรณ์มากที่สุด
4) หน้าแล้งเป็นจุดกำเนิดและส่งเสริมให้ศิลปวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรือง
เท่าที่สมองอันน้อยๆ ประมวลได้ มีเท่านี้ หวังว่า คงทำให้ผู้ที่เคยดูถูก ก่นด่าแผ่นดินอันแสนฮักแพงผืนนี้ได้ฉุกคิดบ้าง ก็เท่านั้น
อันแผ่นดินถิ่นกำเนิดนั้น ต่างก็มีคุณและมีบุญคุณต่อผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ดังนั้น ผู้เกิดบนแผ่นดินใดควรรัก หวงแหน และเทอดทูนแผ่นดินนั้น ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนติดสมมุติอยู่
ที่สำคัญ ควรระลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษของตนที่ได้ลงหลักปักฐาน เป็นบ้านเป็นเมืองให้อนุชนได้มีที่อยู่ที่ยืน และดำรงชีพบนโลก
แผ่นดินทุกแผ่นดินต่างมีคุณ แม้กระบวนวิวัฒน์ เอ้ย... วิวัฒนาการของมนุษย์ได้หมุนไปตามยุคตามสมัย แผ่นดินก็ยังให้คุณไม่เลือกกาล
บางยุค แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธัญญาหาร น้ำท่ามากมี ก็ถือกันว่าเป็นสวรรค์บนดิน ส่วนผืนดินที่แห้งแล้ง เพาะปลูกพืชใดๆ ไม่ขึ้น ไม่งอกงาม ถือกันว่า นั่นคือ...นรกบนดิน
แต่พอโลกวิวัฒน์มาถึงยุคขุดฟอสซิลใต้ดินขึ้นมาใช้ประโยชน์ นรกบนดิน ที่แห้งแล้ง มองไปทางใดก็มีแต่ทะเลทราย กลับแปรเปลี่ยนเป็นสวรรค์บนดินในพริบตา
ผู้คนที่อยู่บนแผ่นดินที่ว่าอุดมสมบูรณ์กลับต้องซมซานขายไร่ขายนา ทิ้งลูกทิ้งเมียไปรับจ้างเขา ก็เห็นมาแล้ว
พวกที่ไปทำงานซาอุ เล่าว่า รถสปอร์ตคันเป็นสิบๆ ล้าน เสียนิดเสียหน่อยถูกแขกสะบัดก้นทิ้งจนเกลื่อนทะเลทราย แม้แต่เครื่องบินส่วนตัวก็เช่นกัน ฟังแล้วให้แป้วใจ มองอีแก่ (อีซูซุ) อายุร่วม 30 ปีที่ตะบอยซ่อมแล้วซ่อมอีก แล้วน้ำตาพาลจะไหล
มันบ่แน่ดอกนาย... คำนี้ไม่ใช่แค่เป็นเพลงที่ จำนงค์ เป็นสุข หรือ สรวง สันติ ร้องเล่นๆ หากเป็นสัจธรรม
การตีค่าหรือประเมินราคาที่ดิน ทำได้ แต่จะตีค่าประเมินราคาผืนแผ่นดินเกิด เป็นเรื่องที่ไม่ควร มันต้องดูกันยาวๆ
อดีต... เมื่อไม่นาน มีการค้นพบว่า ใต้แผ่นดินอีสานมีน้ำมัน ว่ากันว่า มีน้ำมันแบบก้าวเว้นก้าวเลยทีเดียว นั่นมันข้อมูล บางคนอาจไม่เชื่อ
ปัจจุบัน... เอาที่เห็นกันอยู่ตำตา คือ ใต้ดินอีสานมีแร่โปแตช ซึ่งมีประโยชน์ทางอุตสาหกรรมนับไม่ถ้วน พวกต่างชาติจ้องตาเป็นมัน แล้วยื้อยุดกับชาวบ้านที่ตื่นรู้จำนวนกระหยิบมือ
พวกเขาต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว เพื่อรักษามูลมังไว้ให้คนอีสาน ขณะที่คนส่วนใหญ่ทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ เล่นเฟซเล่นไลน์สบายใจ ซ้ำบางคนยังช่วยต่างชาติทุบถองชาวบ้านเอาเสียอีก
มันบ่แน่ดอกนาย...
สภาพการณ์ช่วงนี้ ฝึกท่องคำๆ นี้ให้ขึ้นใจ
อนาคต... อีกไม่นาน
รู้หรือไม่ว่า เวลานี้ คนไทยค่อนประเทศกำลังอิจฉาคนอีสาน เห็นแผ่นดินอีสานเป็นสรวงสวรรค์ พยายามจะขอเจียดขอซื้อผืนดินที่เคยก่นด่าว่าแห้งแล้ง ผู้คนยากจน กินกระทั่งดิน เพราะอีกไม่กี่ปี แผ่นดินกว่าครึ่งประเทศจะถูกทะเลเอาคืน ถูกลบออกจากแผนที่ประเทศไทย
ผืนดินอีสานจะกลายเป็นเรือโนอาห์!!!
แล้ว... พวกท่านมองแผ่นอีสานกันแบบไหน?
ส่วนผมมองเห็นแต่ความดี ความงามของแผ่นดินนี้ และประกาศต่อผู้คนมานับสิบๆ ปีมาแล้วว่า... หอมดินอีสาน.

        
                                                        
 
 

คลิกเม้าส์ขวาที่วีดีโอแล้วเลือก"วนซ้ำ"

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (1)

 

ลำ หมายถึง การขับร้องอย่างหนึ่งมีดนตรีคือแคนเป็นเครื่องประกอบ
นิยามหรือคำจำกัดความนี้ ผมลอกจากสารานุกรมภาษาอีสาน-ไทย-อังกฤษ ของ พ่อปรีชา พิณทอง
ไหนๆ ท่านก็อธิบายเป็นภาษาอังกฤษเอาไว้ด้วย จึงขอถ่ายทอดเพื่อลูกหลานของเรา บักจอห์นนี บักเจสซี อีมาดอนนา ซุมลูกพ่อฝรั่ง-แม่อีสาน ผู้ซึ่งจะเป็นอนาคตของชาติ อนาคตของอีสานสืบไปในภายภาคหน้าจะได้เข้าใจ (คนแก่ในยุคนี้ต้องคิดเผื่อ)
ลำซิ่ง ความหมายในพากย์อังกฤษบอกไว้ว่า stylized singing of verse or ballad with Isan reed organ accompaniment.
แล้ว 'ซิ่ง' ล่ะ คืออะไร
สารานุกรมของพ่อปรีชา ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 2532 ก็ไม่ได้ใส่ไว้เสียด้วย คำนี้อาจมาทีหลัง
อนึ่ง ผมสนิทใจที่จะเรียก พ่อปรีชามากกว่าจะเรียก ดร.ปรีชา เพราะภูมิรู้ของท่านเหนือกว่าดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ที่ท่านได้รับ และรู้สึกดูมันห่างเหินพิกล ภาพปราชญ์อีสานเหมบเขียนหนังสือ ยังประทับตรึงใจผมจนบัดนี้ ผมจึงของดคำเรียกขาน ดอกเตอร์ ด้วยประการฉะนี้
เมื่อท่านไม่ได้บรรจุคำว่า ซิ่ง หรือ ลำซิ่ง ไว้ ดังนั้นจึงเสร็จโจร ...มั่วนิ่มได้ ...
ซิ่ง มาจากคำภาษาอังกฤษคือคำว่า "race"
ในพจนานุกรมของ ดร.กมล เภาพิจิตร บอกว่า ถ้าเป็นกริยา หมายถึง วิ่งแข่ง รีบวิ่ง แต่ถ้าเป็นคำนาม หมายถึง ร่องบังคับน้ำไหล เชื้อชาติ ชาติวงศ์
เมื่อเป็นกริยาก็จึงเติม ing ได้ จึงเป็น "racing" (เรซซิ่ง) แปลว่า กำลังแข่งขัน เป็นคำนามแปลว่า การแข่งขัน
นี่ไม่ใช่ชั่วโมงภาษาอังกฤษ จึงขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้
ด้วยการเห่อฝรั่งของคนไทยและสื่อไทย การใช้คำฝรั่งปนศัพท์ไทยแล้ว ดูมันเท่ เก๋ ที่สำคัญ มันขายโฆษณาง่ายรายการแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะประเภทกีฬาที่มีสินค้าของพวกเถ้าแก่ เจ้าสัวมีส่วนได้รับประโยชน์ เช่น มอเตอร ์ไซค์ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เครื่องกีฬา เป็นต้น จึงใช้ชื่อรายการที่ปนคำฝรั่ง
คือจะเป็นแข่งอะไรก็แล้วแต่ ต้องมีคำว่า "เรซซิ่ง" รวมอยู่ด้วย จน เรซซิ่ง เป็นคำที่เราเข้าใจไปโดยปริยาย
คำนี้กล่อมประสาทพวกเรามานานปี และรายการกีฬาก็เป็นรายการที่นิยมของหมู่เฮา เพราะมันดูแล้วเพลิน ลืมทุกข์ลืมยาก ย่อยง่าย ไม่ปวดหมอง แถมยังมีสาวๆ พริตตี้ ซึ่งจงใจเลือกเอาแต่คนที่หน้าอกหน้าใจเย้ายวน เรียกกันว่า เซ็กซี่ (sexy) ชึ่งแปลตามตัวอักษรแล้วอุจาด แต่ถ้าถามพี่วินมอ'ไซค์ชาวอีสาน จะแปลได้รื่นหูกว่า ว่า "เป็นตาฆ่า"
เรซซิ่ง จึงมีความหมาย หรือส่อนัย ว่า ความเร็ว ถ้าสิ่งใดที่เร็ว แรง จะนึกถึงคำว่า เรซซิ่ง
แล้วคนไทยที่เป็นนักดัดแปลง ก็แปลงคำว่า เรซซิ่ง ให้เหลือเพียง "ซิ่ง"
และคำว่า "ซิ่ง" ก็มีความหมายกว้างขวางกว่า "เรซซิ่ง" ที่แปลว่าการแข่งขัน
ซิ่ง หมายถึงอะไรที่เร็ว แรง โฉบเฉี่ยว ล้ำสมัย อวดกล้า ท้าทาย ดัดแปลงของเดิมที่เก่าแก่ ให้เป็นของที่มีรูปร่างแปลกไปจากเดิม หรือทำด้วยวัสดุใหม่ที่มีใช้ในชีวิตประจำวันแทนที่วัสดุเดิม เป็นต้น
เราจึงมีอะไรที่ซิ่งๆ เต็มไปหมด เช่น รถซิ่ง คือ รถที่ดัดแปลงให้มีรูปลักษณ์แปลกใหม่ ผมซิ่ง คือ ทรงผมแปลกๆ เฒ่าซิ่ง คือ คนแก่ที่แต่งตัวโฉบเฉี่ยวไม่สมวัย สาวซิ่ง สาวทันสมัย
แม้แต่ หมอซิ่ง แบบหมอ คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ หรือ ลอบซิ่ง คือ ลอบที่ทำจากมุ้งเขียว (มุ้งพลาสติก) แทนไม้ไผ่ บักจกซิ่ง คือ จอบที่ทำจากผาลรถไถ
แล้วก็ถึงคิว....ลำซิ่ง!!!

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (2)


ลำซิ่ง หรือ lam cing ถ้าให้ถูกต้อง ต้องเขียนว่า racing lam หรือลำเรซซิ่ง เพราะ ซิ่ง (cing) โดดๆ ไม่มีความหมาย และถ้าแปลตามตัว ก็จะแปลได้ว่า การขับร้องอย่างหนึ่งที่กำลังแข่งขันอยู่ ซึ่งไม่ตรงกับความหมายตามปริบท
โอ๊ย... กะอีลำซิ่ง จะอะไรกันนักหนาต้องปริบ่งปริบท... พวก "ผู้กอง (หน้าฮ้าน)" อาจแซว เพราะเคอก (cirk แปลว่า สะดุด หรือเสียเวลาที่กำลังทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่) เสียเวลาฟ้อนหน้าฮ้าน
เอาใหม่... ลำซิ่ง ไม่ได้หมายถึงลำแข่งขัน หรือลำไปวิ่งไป แบบที่ เพชรพิณทอง เคยกระแหนะกระแหนไว้ แต่ลำซิ่ง หมายถึงการปรับ (คนละคำกับคำว่า ปรับปรุง ปรับปรุง คือ ทำให้ดีขึ้นสูงขึ้น) ปรับรูปแบบการแสดงลำให้กระชับเข้า โดยเลือกเอาเฉพาะทำนองลำที่คึกคักสนุกสนานมาลำเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็คือ ลำเต้ย นั่นเอง
ลำเต้ย เป็นทำนองลำทำนองหนึ่ง ที่หมอลำนำมาลำสลับกับการลำที่ให้เนื้อหาสาระ (ในลำกลอน) หรือลำบอกเรื่องราวตามท้องเรื่อง (หมอลำหมู่)
ลำเต้ย พ่อปรีชา พิณทอง ให้ความหมายเอาไว้ว่า การลำทำนองยาว เอื้อนเสียงยาว แต่ใช้กลอนสั้น ส่วนทำนองลำมาจากที่ใดก็ใส่ชื่อสถานที่ที่ให้กำเนิดลำกำกับ เช่น เต้ยอุบล เต้ยชัยภูมิ เต้ยหัวดอนตาล เต้ยสีทันดอน เต้ยสาละวัน เป็นต้น
การนำลำเต้ยมาสลับ ก็เพื่อนเปลี่ยนบรรยากาศ เป็นเทคนิกในการตรึงคนดูให้ถ่างตาชมการแสดงจนจบรายการ ซึ่งการแสดงของหมอลำในสมัยก่อน ไม่ว่าลำกลอนหรือลำหมู่ ต้องแสดงตั้งแต่หัววันยันฟ้าแจ้งจางปาง การตรึงให้ผู้ชมอยู่ชมจนจบจึงต้องใช้ทุกวิธีการ
ลำเต้ยไม่เกี่ยว หรือไม่ทำให้เนื้อหาหรือเนื้อเรื่องที่ลำอยู่กระทบ และไม่มีกำหนดตายตัวว่าจะต้องลำน้อย-ลำมาก แต่อยากหยุดลำเต้ยเมื่อใด ก็หยุด แล้ววกเข้าเรื่องราวที่แสดงได้เลย
ตัวอย่างกลอนลำเต้ย เช่น จบๆ กะละแม่นจั๋งน้อง งามๆ กะละแม่นจั่งน้อง สังบ่ไปกินข้าวหัวมองนำไก่ ครั้นผู้ฮ้ายจั่งอ้ายกินได้กะละแม่นบ่คือ... ตอหลอหล่อง กินดองให้ส่งข่าว บ่าวชายลำซิมานั่งใกล้ๆๆๆๆๆ พอให้แม่นคิดนำ ... กินแกงกบมันนบจ้อก้อ กินแกงเขียดมันเหยียดคิ้งนิ้ง ใส่เสื้ออิ้งฮัดนมอ้อนต้อน อยากสองมือซอนกำเด้...
ในกลอนลำเต้ยมักมีเนื้อเพลง ซึ่งร้องเหมือนร้องเพลงทุกประการแทรกอยู่ เช่น ...จะให้ผมเชื่อคุณหรือ ก็โลกเขาลือว่าคุณมีผัว คุณเป็นพาร์ทเนอร์เต็มตัว ผมกลั๊วผมกลัวโรคหนองใน ไม่ไหวไม่ไหวมันเปลืองยา (กลอนของหมอลำ เดชา นิติอินทร์)
อย่างไรก็ตาม การสลับ ก็คือ การสลับ คือเป็นการคั่นรายการหลัก เป็นเพียงแต่สอดแทรกเมื่อรู้สึกว่าคนฟังทำท่าเบื่อหน่าย เช่น อ้าปากหาว ก็คั่นเสียทีหนึ่ง
และลำซิ่ง คือ การลำที่ใช้ลำเต้ย ที่เป็นของคั่นรายการ หรือของกินเล่น มาเป็นอาหารจานหลัก หรือ เมนคอร์ส (main course) ดังนั้น การคาดหวังว่าจะเอาเนื้อหาสาระ หรือเอานิยมนิยายจากลำซิ่ง จึงมิใช่สิ่งที่พึงทำ
ลำซิ่งเป็นเพียงลำกันเล่นๆ สนุกๆ ขำๆ ถึงขนาดเรียกว่า ไร้สาระ ก็ยังได้
ลำซิ่งมิใช่ประเภท หรือชนิดของลำ เพราะเปฺ็นการนำเอากลอนลำเต้ย (ของเก่า) มาลำต่อๆ กัน ไม่ได้เป็นลำทำนองใหม่แต่อย่างใด
และ...ลำซิ่งเป็นเพียงกับแกล้มของขี้เมาหน้าฮ้าน

หมายเหตุ ฮ้าน ในที่นี้ คือ เวทีหมอลำ

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (3)


ห้วงปี พ.ศ. 2526 ต่อกับ พ.ศ. 2527 ถือเป็นห้วงเวลาสำคัญต่อหน้าประวัติศาสตร์ ของคนเล็กคนน้อยในประเทศนี้!
ปี 2526 ปลายปี รัฐมีคำสั่งให้เลิกเล่นรำวง รำวงที่ว่านี้คือรำวงที่เรียกกันว่า "รำวงคาลิโซ่"
ตามศัพท์ คือ คาลิปโซ่ (Calypso) คำนี้เป็นได้ทั้งชื่อจังหวะรำ แนวดนตรี และประเภทของเพลง
ว่ากันว่า เพลงคาลิปโซ่ มีต้นกำเนิดมาจากเกาะทางตอนใต้ของทะเลแคริเบียน ก่อนจะแพร่หลายในประเทศสาธารณรัฐตรินิแดดและโตเบโก ซึ่งเป็นประเทศหมู่เกาะ แรกทีเดียววงดนตรีแนวนี้ใช้กลองเหล็กบรรเลง
ต่อมา ได้ทวีอิทธิพลต่อวงการเพลงมากขึ้น ได้รับความนิยมจนถือเป็นยุคของเพลงแนวนี้ ขนาดมีผู้นิยามว่า เพลงคาลิปโซอาจหมายถึงเพลงใดก็ตามที่ร้องในเทศกาลคาร์นิวัล ในตรินิแดด หลังปี ค.ศ.1898
และชื่อนี้ ยังเป็นชื่อเทพธิดาในกรีกปกรณัมอีกด้วย
รำวงคาลิโซ ถือว่าเป็นรำวงยุคสุดท้าย อยู่ปลายสาแหรกของวงศ์รำวงบ้านเรา โดยต้นสาแหรก เริ่มจาก รำโทน ซึ่งเป็นรำวงที่เกิดในภาคอีสาน บางแห่งเรียกรำวง-รำโทน เนื่องจากรำกันเป็นวง และใช้กลองโทนบรรเลง
แล้วรัฐไทยในยุคจอมพล ป. โดยท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ก็นำเพลงรำโทนไปปรับปรุง จนกลายมาเป็น รำวงสร้างชาติ หรือ รำวงมาตรฐาน ที่กุลบุตรกุลธิดาไทย รวมทั้งเราๆ ท่านๆ เรียน-สอบเอาคะแนนในชั้นเรียน นั่นแหละ
ต่อมา มีการนำเอาจังหวะจากละตินจำนวนมากมาประกอบการรำวง เช่น รุมบ้า บีกิน กัวระช่า ช่าช่าช่า (3 ช่า) เป็นต้น
เมื่อประเทศไทยยอมให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพในไทย บรรดาเพลง และจังหวะรำจากอเมริกาจึงไหลบ่าเข้าไทย เช่น สวิง ทวิสต์ ร็อค แอนด์ โรล โซล ฮาร์ด ร็อค จนถึงจังหวะสุดท้ายคือ วาตูซี
ขณะเดียวกัน เพลงไทย ทั้งลูกทุ่ง-ลูกกรุง ก็นำเอาจังหวะจากต่างชาติเหล่านี้ มาประยุกต์เป็นจังหวะเพลง แล้วกองเชียร์รำวงก็นำเอาเพลงเหล่านั้นมาเป็นเพลงเชียร์รำวง โดยการทำให้จังหวะกระชับเข้าเพื่อให้เข้ากับการรำวง
ดังนั้น เพลงลูกทุ่งกับเพลงเชียร์รำวง แม้เป็นเพลงเดียวกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งเพลงนั้นๆ "เพราะ" และ "เหมาะ" กันคนละแบบ
รำวงคาลิโซจึงเป็นการรำวงที่เจริญถึงขีดสุดในบรรดารำวงทั้งหมด รำวงคาลิโซ ยิ่งใหญ่กว่า กว้างขวางมากกว่า นับแต่ชาวไทยรู้จักการรำวง
รำวงคาลิโซ มีโครงสร้าง การบริหารจัดการ และองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบที่สุด อลังการที่สุด
และรำวงคาลิโซถือเป็นกิจกรรมที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ สังคม การเมือง แม้แต่การทหารของประเทศ
องค์ประกอบอันสมบูรณ์ ของรำวงคาลิโซ ได้แก่
1) กองเชียร์ แต่เดิมรำโทน และรำวงมาตรฐาน ไม่มีกองเชียร์เป็นการเฉพาะ ผู้รำต่างคนต่างก็ร้องช่วยกัน
ระยะต่อ เมื่อรำโทนเป็นที่นิยม ตามงานวัดใน กทม. ได้จัดประกวดรำโทน ก็จึงมีกองเชียร์ และนางรำขึ้น คณะรำโทนด้งๆ ได้แก่ คณะชาวสามย่าน เป็นต้น
กองเชียร์รำวงคาลิโซ ถือเป็นช่วงที่พัฒนาก้าวหน้าถึงขีดสุด สะท้อนจาก เครื่องให้จังหวะที่สำคัญในการรำวง คือ กลอง
จากรำโทน ที่มีกลองโทน กลองหนังงูเหลือม ยืนพื้น ได้ปรับเปลี่ยนเป็นกลองชุด ส่วนเครื่องดนตรีอื่นๆ ก็เพียบพร้อม วงดนตรีมีอย่างไร กองเชียร์รำวงก็มีอย่างนั้น
กองเชียร์รำวง เป็นจุดเริ่มและสร้างบุคลากรด้านดนตรีประดับวงการดนตรีเป็นอันมาก ทั้งนักร้องและนักดนตรี
นักร้อง นักดนตรีดังๆ ล้วนแล้วแต่ก้าวลงจากเวทีรำวงแทบทั้งสิ้น โปรดอย่าถามว่า ใครบ้างที่มาจากเวทีรำวง แต่จงถามว่า นักร้อง นักดนตรีคนใดที่ไม่ได้มาจากรำวง ....จะตอบได้ง่ายกว่า
และรู้หรือไม่ว่า อธิการบดี อาจารย์ในมหาวิทยาลัยจำนวนมากก็มีที่มาจากกองเชียร์รำวง
บางท่าน... ถ้ารถรำวงไม่คว่ำทำให้บาดเจ็บ ไปกับรำวงไม่ได้ จึงต้องกลับมาเรียนหนังสือ ป่านนี้คงเป็นเพียงอดึตหัวหน้าคณะรำวงแก่ๆ
คงไม่เสียหายถ้าผมจะกล่าวถึง ดร.สังคม ภูมิพันธ์ อดีตรักษาการอธิบดี มหาวิทยาลัยนครพนม ผู้พี่ และ ดร.เฉลย ภูมิพันธ์ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ผู้น้อง เป็นต้น
2) นางรำ นางรำของรำวงคาลิโซถือว่าเป็นคู่รำที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะเป็นสาวบริสุทธิ์ ไม่เคยห่างสายตาพ่อแม่อยู่ในวัยแรกผลิ สะพรั่งที่สุด และเป็นวัยที่สวยที่สุดในชีวิตมนุษย์ เพราะส่วนใหญ่ได้แก่ ช้างเผือกจากพงไพร เพราะที่มาของนางรำส่วนใหญ่มาจากการเฟ้นสาวงามตามหมู่บ้าน บางแห่ง เรียกว่าเป็นสาวรำวงกันยกหมู่บ้าน เลยทีเดียว โดยหัวหน้าคณะยอมเอาหัวเป็นประกันกับพ่อแม่ ว่าจะดูแลให้ดีที่สุด
ผู้หญิงในวัยนี้ ไม่เติมไม่แต่งก็สวยงามตามธรรมชาติ และสังคมในยุคนั้นมาตรฐานของกิริยามารยาทของผู้หญิง ก็งดงามยิ่ง จะเอื้อนจะเอ่ยก็มีจริตแต่พองาม แล้วเมื่อได้รับการฝึกสเต็ปการรำจังหวะต่างๆ เสริมเข้าไป จึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัว เป็นสาวบ้านนาผู้ไร้เดียงสาในเสื้อผ้าแบบคลุมนิดปิดหน่อย ...ปล่อยตัวได้สมดุลกับการหวงตัว ... ยามที่พวกเธอวาดลวดลายร่ายรำก็อัดแน่นด้วยพลังสาว
ไม่เกินเลยนัก หากจะบอกว่า ไม่มีชายใด (ที่ยังไม่หมดสมรรถภาพทางเพศ) จะไม่หลงใหลสาวรำวงคาลิโซ
ไม่เช่นนั้น คงไม่มีคำกล่าวและบทเพลงเตือนใจชายหนุ่ม ที่ว่า ...จีบแม่ค้า บ้ารำวง ... ล้วนแต่เป็นหนทางแห่งหายนะ เพราะต้องทุ่มเงินทองสู้กัน
3) หัวหน้าคณะ ผู้กุมบังเหียนและกำหนดทิศทางของชาวคณะ ได้แก่ผู้ผ่านโลกมามาก แต่มีจิตใจรักการรำวงเป็นชีวิตจิตใจ ต้องรับผิดชอบต่อชีวิต ความปลอดภัย และรายได้ของลูกวง
ต้องเป็นผู้รู้จักเส้นแบ่งระหว่างความเข้มงวดกับความอะลุ้มอล่วย
สำหรับ คำมา จันทานี หัวหน้าคณะรำวง คำมา รุ่งนิรันดร์ คณะรำวงจากดงรำวง คือ อำเภอกุมภวาปี เขาจะท่องสโลแกนให้เจ้าภาพที่จ้างทุกครั้งฟัง ว่า "จ้างคำมา เขาคุมเอง" เขาเชื่อว่าเขาเอาอยู่ในทุกสถานการณ์
4) แม่เฒ่า แรกๆ ก็เป็นเพียงแม่ของนางรำที่ห่วงลูกสาว จึงขอตามชาวคณะไปดูแลลูกสาวของตัวเอง แต่นานเข้า ความเป็นแม่และความเป็นผู้หญิง ทำให้ต้องดูแลเอาใส่นางรำทุกคน ชาวคณะจึงเห็นความสำคัญ จึงได้เกิดตำแหน่งนี้ขึ้นในคณะรำวงที่ได้มาตรฐาน
5) มีค่าการแสดง รำวงคาลิโซ เป็นประเภทรำวงเดียวที่สามารถเรียกร้องค่าแสดงได้ เช่นเดียวกับวงดนตรี
6) มีเพลงไหว้ครู คนไทยนั้น เป็นคนที่รู้จักกตัญญูรู้คุณ รองจากศาสนาและพ่อแม่แล้ว บุคคลที่ควรเคารพนับถือ ก็คือครู
ไม่มีการรำวงในยุคใด จะดำรงความเป็นปึกแผ่นแน่นหนาเท่ารำวงคาลิโซ ด้วยรำวงประเภทนี้พากันสร้างเพลงไหว้ครูที่เป็นหนึ่งอันเดียวกัน มีเนื้อร้องอย่างเดียวกันทั่วประเทศ
เนื้อร้องเพลงไหว้ครูมีว่า....สิบนิ้วพนมก้มเหนือศีรษะ ลูกจะขอไหว้พระ คุณพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม อีกทั้งพระสงฆ์ ลูกจะขอจำนง จดจำเอาไว้ ขอให้...(การรำวง) ...ของเรานี้ จงอยู่ด้วยดี ชั่วกาลนานเทอญ
อนึ่ง ในวงเล็บบางคณะก็ใส่ชื่อคณะแทน
ด้วยความเป็นปึกแผ่นของการรำวงยิ่งกว่ายุคใดสมัยใด รำวงคาลิโซ จึงเป็นการเต้นรำที่ผู้คนได้มีประสบการณ์ร่วมมากที่สุด
ดังนั้น รำวงย้อนยุคในระยะหลัง ที่ย้อนๆ กันในเวลานี้ คือการโหยหาอดีต หลังจากยุติการรำวงนับ 30 ปี ก็คือ ย้อนยุครำวงคาลิโซ นี่เอง
สาเหตุที่รำวงคาลิโซ ถูกสั่งห้าม มิให้รำวง ก็เนื่องจากเกิดเหตุทะเลาะวิวาทในวงรำวง ถึงขั้นบาดเจ็บ ล้มตายเป็นอันมาก
เหตุร้ายที่อยู่คู่เวทีรำวง ขนาดที่ว่ากันว่า เวทีไหนไม่ตีกัน รู้สึกมันขาดอะไรไปอย่าง
ประสบการณ์ของนางรำ ว่าใครรำวงมานานหรือไม่ เขาดูกันที่ขาทั้งคู่ของนางรำ มิใช่ดูว่าใครขาเรียวกว่าสวยกว่า แต่ดูว่า ขาใครขันน็อตมากกว่ากัน
ขันน็อต คือ รอยแผลเป็นอันเกิดจากลูกกระสุนปืนและสะเก็ดระเบิด ใครมีมากกว่าถือว่าผ่านงานมากกว่า
เวทีรำวงจึงต่างจากเวทีมวย ตรงที่ไม่มีมุมแดง-มุมน้ำเงิน และต่างจากสมรภูมิสู้รบ ตรงที่ไม่มีการประกาศสงคราม
รายรอบเวทีรำวงประกอบด้วย ขี้เมาขาดสติ วัยรุ่นอ่อนหัด นักเลง เจ้าพ่อ อาชญากร ที่พร้อมจะระเบิดศึกกันทุกเสี้ยววินาที
สาเหตุก็ไมมีอะไรมาก ไม่แย่ง หรือหึงนางรำ ก็เหมารอบจนคนอื่นทนไม่ไหว

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (4)


การสั่งเลิกรำวงของทางการ มิได้ทำให้รำวงล้มตายสูญหายไปในทันที
แน่นอนว่า การเลิกรำวงกระทบต่อเวทีรำวงที่เคยเห็นตามงานวัด แต่... ไม่ใช่สำหรับคนที่เคยรำวงและอารมณ์ค้างเพราะไม่ได้รำวง
เมื่อมี demand นักลงทุนก็มองเห็นช่องทางรวย จึงตอบสนองด้วย supply โดยหาห้องเช่าห้องใหญ่ๆ ในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเมืองที่เคยเป็นที่ตั้งฐานทัพสหรัฐฯ มาก่อน
ภายในห้องจัดให้มีเวทีรำวง หรือฟลอร์แบบฟลอร์เต้นรำ มีไฟแสงสีทึม ด้วยไฟสีดำ (black light) ตรงช่องกระจกก็กรุหรือบังด้วยผ้ากำมะหยี่ ซึ่งช่วยบดบังสายตาและยังดูดีคล้ายม่าน แล้วก็ติดป้ายชื่อร้านป้ายเล็กๆ พอรู้กัน
ตกกลางคืน อันเป็นช่วงเวลาแห่งความสำราญก็เปิดขายอาหาร เครื่องดื่ม เหมือนคลับบาร์ทั่วไป
และที่ขาดไม่ได้ คือ รำวง!!
บาร์แบบนี้เรียกกันว่า "บาร์ผี"
มีการจัดให้รำวงเหมือนเดิมแต่หนักไปทางเพลงฝรั่ง จังหวะโซล ฮาร์ด ร็อค แถมมีเด็กนั่งดริงค์ให้คลึงเล่นแกล้มเหล้า ... ก็ยกระดับเวทีรำวงไปอีกแบบ
สิ่งที่ตอกฝาโลงให้รำวงคาลิโซต้องล้มตายไปไม่กลับหลับไม่ตื่น กลับมิใช่การบังคับใช้กฎหมาย แต่เป็น...
ดิสโก้!
ดิสโก้ (disco) คือ การเต้นรำรูปแบบใหม่ที่มาจากตะวันตก คือ สหรัฐฯ เป็นการเต้นรำโดยใช้ดนตรีจากแผ่นเสียง และเต้นรำกันโดยไม่ต้องอาศัยนางรำ คือ สามารถรำกันเองในหมู่นักเที่ยว จะรำเป็นคู่ รำเป็นหมู่ แม้แต่จะรำคนเดียว ก็ไม่ผิดกติกา เพราะไม่มีกติกาใดๆ จะรำกี่รอบ กี่เพลง ก็ได้ทั้งนั้น มีแรงเต้นมีแรงรำเท่าใดก็ทำได้ตามใจ
ที่สำคัญ คือ ดิสโก้เป็นความแปลกใหม่ที่มาจากฝรั่ง อะไรที่ฝรั่งคลั่งไคล้ พี่ไทยเป็นเห็นดีเห็นงามตามไปด้วย
สิ่งที่ควบคู่มากับจังหวะและการเต้นรำแนวใหม่นี้ คือ เพลงดิสโก้ ที่มีจังหวะกระแทกกระทั้นแต่พองาม ไม่เถื่อนดิบแบบฮาร์ด ร็อค หรือเฮฟวี่ ร็อค เป็นท่วงทำนองสบายๆ ออกทางสุภาพ เหมาะสำหรับคนเต้นรำประเภทมีการมีงานทำ ตลอดไปจนถึงนิสิตนักศึกษา แม้แต่ประเภทคุณหนูที่เพิ่งริหนีคุณพ่อคุณแม่ออกเที่ยวเป็นครั้งแรก
เพลงที่ถือกันว่าเป็นเพลงประทับตรารับประกันความเป็นดิสโก้ คือ Lady Bump (1975) ขับร้องโดย เพ็นนี แม็คลีน (Penny McLean) นักร้องชาวออสเตรีย อีกเพลงคือ Go (1977) ขับร้องโดยนักร้องอังกฤษชื่อ ทีนา ชาร์ลส์ (Tina Charles) ซึ่งเป็นนักร้องหญิงทั้งคู่
ด้วยจังหวะ ด้วยเพลงสองเพลงนี้ ทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั้งวงการเพลงของไทย มีการหันมา เล่น-ร้อง-สร้าง เพลงแนวนี้กันทั้งบ้านทั้งเมือง
จะเห็นได้ว่า เพลงทั้งสองเผยแพร่ก่อนที่รำวงคาลิโซจะล่มสลายเกือบทศวรรษ แสดงว่าฐานของรำวงถูกบ่อนเซาะอยู่ถึงสิบปีถึงถูกโค่นลงได้
ความล่าช้าของกระแสนิยม อาจเนื่องมาจากความพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนามของสหรัฐฯ ในช่วงนั้นยังปรับตัวไม่ได้ กระแสจึงล่าช้ากว่าที่ควร
ช่วงนั้นแม้ดิสโก้ดูยังแผ่ว แต่การโหมกระแสก็ยังมีเป็นระลอก โดยระลอกแรกเป็นหนังไทยที่เป็นมิติใหม่ที่แหกขนบ มิตร ชัยบัญชา เพชรา เชาวราษฎร์ สมบัติ เมทะนี คือ วัยอลวน (2519) เป็นหนังวัยรุ่นที่จงใจโปรโมทดิสโก้ ภายใต้การบั๊มพ์ของพระเอก-นางเอก
แม้กระนั้น การบัมพ์ก็ยังฮิตเฉพาะในหมู่นักเรียนนักศึกษา (ที่ไม่ได้หนีเข้าป่าจับปืนขึ้นสู้กับรัฐบาล) จึงตามมาด้วยระลอกที่สอง ด้วย "แก้ว" (2523) นัยว่าเที่ยวนี้ เปี๊ยก โปสเตอร์ ผู้สร้าง-ผู้กำกับ ถึงกับจำลอง ดิสโก้เธค (disco thegue) ที่เคยเห็นในญี่ปุ่นมาใส่ไว้ในหนัง แม้แต่ชื่อหนังก็เขียนแบบตัวอักษรดิสโก้
คราวนี้กระแสแรงจนฉุดไม่อยู่ มีคนบั๊มพ์และเต้นดิสโก้กันทั้งบ้านทั้งเมือง จนรากแก้วรากฝอยของรำวงคาลิโซถูกถอนยวงจนสิ้นซาก
ที่สำคัญ กระแสความรุนแรงของพายุวัฒนธรรมลูกนี้ มันมิได้ถอนแต่รากและโคนของรำวงเท่านั้น
หากมันยังกระแทกเอาหมอลำ ศิลปะคู่บ้านคู่เมือง และอยู่ยั้งยืนยงมาตราบนานเท่านาน ให้พลอยล้มระเนนไปด้วย

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (5)


การได้เห็นผู้คนแห่กันเดินผ่านเวทีหมอลำ ไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองหมอลำที่กำลังว่ากลอนกันบนเวที ... มันคือความเจ็บปวดในหัวใจของหมอลำ!!
คนเหล่านั้น มีทั้งคนหนุ่มคนสาว คนแก่คนเฒ่า ทั้งหญิงและชาย พวกเขาไปไหนกัน??!
โดยสายตาที่เชี่ยวชาญการอ่านใจอ่านความรู้สึกของผู้คน อันเป็นสัญชาตญาณ ที่สร้างกันมาแต่ชั้นครู เพื่อประโยชน์ เพื่อนำมาปรับปรุงการแสดง ให้ตอบสนองต่อความต้องการของ 'มิตรหมอแคนแฟนหมอลำ'
บนที่สูง คือ เวทีลำกลอน หมอลำราตรี ศรีวิไล ชะเง้อมองตามคลื่นมนุษย์ที่ไหลผ่านหน้าไปขณะที่ปากยังลำ มือ-เท้ายังขยับตามจังหวะแคน
แล้วก็พบว่า จุดหมายของผู้คนที่ควรจะเป็นมิตรหมอแคนแฟนของตัวเอง คือ ลานดิสโก้
ลานดิสโก้ (disco thegue) ลานที่ประดับไฟแสงสีวูบวาบ เสียงดนตรีตะวันตก ...ต๊ะ.... ตู้วววววว
หลังคืนนั้น คืนอันหนาวเหน็บด้วยน้ำหมอกน้ำค้างแห่งเหมันตฤดู หน้าเทศกาลงานประจำปี ราตรี ศรีวิไล ได้พกคำตอบอันเจ็บปวดไปบอกเล่า-ปรับทุกข์กับพี่ชาย หมอลำสุนทร ชัยรุ่งเรือง คนเดียวกับนายสุนทร ไชยรัตนโชติ อมรศิลปินมรดกอีสาน สาขาการแสดง (ลำกลอน) ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี พ.ศ. 2557
หมอลำสุนทรบอกกับน้องสาวว่า เรามันเลือดหมอลำมาแต่ครั้งพ่อแม่ และพี่ๆ น้องๆ ก็ล้วนเป็นหมอลำ มีอยู่มีกินก็ด้วยการร้องการลำ การที่ศิลปะการแสดงอันเป็นมรดกนี้ ตกต่ำขนาดคนเมินหน้าหนีในยุคเรา มันเป็นเรื่องน่าละอายยิ่ง
ถ้าไม่สู้ เราก็ตาย แต่ก่อนตายขอไว้ลายให้โลกจำ หากจะตายก็ขอสู้จนตัวตาย ไม่ใช่ตายด้วยงอมืองอตีน...
แล้วสองพี่น้องก็คิดหาวิธีสู้กู้ศรัทธา ด้วยการฝืนกฎฝืนขนบและฝืนความรู้สึกของคนที่เป็นหมอลำกลอน คือ ยอมยก "กลองชุด" ขึ้นฮ้านหมอลำ เวทีที่อนุญาตให้ก็แต่หมอลำฝ่ายหญิง-ฝ่ายชาย และหมอแคนเท่านั้นที่เหยียบเวทียามทำการแสดง
กลองชุด มิใช่เพียงเครื่องดนตรีที่ทำหน้าที่ให้จังหวะเท่านั้น หากมันยังเป็นเครื่องหมายของความทันสมัย เป็นความแปลกใหม่ และเป็นที่ตื่นตาตื่นใจอย่างที่สุด เมื่อมันปรากฏโฉมบนฮ้านลำกลอน
มันแหกกฎ แหวกขนบการลำกลอน แหวกความรู้สึกต่อผู้พบเห็น โดยเฉพาะ มิตรที่แกว่นแฟนที่รักของลำกลอน
งานนี้ เรียกว่ายอมเทหมดหน้าตัก... หากไม่มีช่อดอกไม้ พี่น้องคู่นี้ก็พร้อมแล้วที่จะค้อมหัวรองรับก้อนอิฐจากชาวอีสาน!!
อนึ่ง หมอลำราตรี ศรีวิไล เป็นหมอลำกลอนโดยสายเลือด เรียกว่าเป็นหมอลำกลอนกันทั้งโคตร และเป็น "ดอกเตอร์ลำ" เพียงคนเดียวที่เป็นดอกเตอร์ ด้วยความพากเพียร
"แม่บ่อยากให้คนดูถูกหมอลำ เป็นดอกเตอร์ก็ขอให้ได้เป็นดอกเตอร์ด้วยฝีมือเจ้าของ"
กว่าสองปี สำหรับศิลปกรรมมหาบัณฑิต และอีกสองปีสำหรับดุษฎีบัณฑิตสาขาเดียวกัน กว่า 4-5 ปีที่ทนหัวหมุนกับวิชาสถิติ ภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์ อันเป็นพื้นฐานสำหรับการวิจัย ขนาดล้มเจ็บเพราะกลัดกลุ้มเรื่องเรียน
"กลอนลำแฮ่งท่องยากกว่านี้ตัวะ"
เธอให้กำลังใจตัวเอง... แล้วเธอก็คว้าปริญญาสูงสุดของระบบการศึกษา ได้เป็น ดอกเตอร์ลำ ที่เป็นดอกเตอร์จริงๆ
สองศรีพี่น้อง สุนทร-ราตรี ใช้กลองชุดบรรเลงประกอบการลำกลอน โดยเลือกเอากลอนที่ให้ความสนุก คือ ลำเต้ย มาลำใส่กลอง
แต่ไม่เด็ดขาด...
ไม่ยอมให้เครื่องตะวันตกนี้ หงำหรือบดบัง หรือข่มรัศมีเครื่องดนตรีอันเป็นมรดกที่ยืนระยะคู่กับลำกลอน คือ แคน อย่างแน่นอน
เธอและพี่ชายตกลงกัน เรียกรูปแบบการแสดงนี้ว่า "ลำกลอนประยุกต์"
ทุกเวทีของลำกลอนประยุกต์ มิตรหมอแคนแฟนหมอลำจึงได้เห็น กลองชุดและแคน ยืนซดหมัดกันชนิดใครดีใครอยู่ตราบกระทั่งปัจจุบัน

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (6)


ขอย้อนไปถึงสิ่งที่เขียนเอาไว้ในบทก่อนๆ ผมบอกว่า ในห้วงปี 2526-2527 ถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์อันสำคัญของ "คนเล็กคนน้อย"
คำว่า ประวัติศาสตร์ เป็นคำใหญ่ เพราะสิ่งที่จะเรียกว่าประวัติศาสตร์ได้ ต้องกอปรด้วยเหตุการณ์หลายมิติ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วรวมเป็นเรื่ิองใหญ่ และเรื่องจากสิ่งละอันพรรค์ละน้อยนั้นกลายเป็นเรื่องสำคัญ
สำค้ญต่อใคร ก็สำคัญต่อคนเล็กคนน้อยและประเทศชาติ นั่นจึงจะเรียก ประวัติศาสตร์
และประวัติศาสตร์ที่ผมกล่าวถึง ก็เป็นเช่นนั้น...
ปี พ.ศ. 2524 เป็นปีที่รัฐบาลไทยได้ริเริ่มโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard Development Project) เราเรียกสั้นๆ ว่า โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด เป็นโครงการพัฒนาเขตอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นับแต่มีประเทศไทย
เป็นโครงการที่รวบรวมเอาโรงงานอุตสาหกรรมมาไว้ในที่เดียวกัน เราเคยเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่ๆ หรือเห็นใครทำอะไรที่ใหญ่เกินตัว เรามักค่อนขอดว่า...นี่จะสร้างโรงงานกันหรือไร?
นั่นแหละ โรงงานที่ว่าใหญ่ แล้วเอามาจำนวนร้อยจำนวนพันมาตั้งต่อๆ กัน ในที่เดียวกัน จะยิ่งใหญ่มโหฬารขนาดไหน เขาก็จึงเรียกมันว่า นิคมอุตสาหกรรม
เมื่อมีโรงงานมารวมกันจนเป็นนิคมโรงงาน เรามามองในแง่ของคนเล็กคนน้อย... เมื่อมีโรงงาน สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ แรงงาน หรือผู้ที่จะมาคุมเครื่องจักรให้เดินเครื่อง
เมื่อโรงงานมีมากขนาดนั้น จะเอาคนคุมเครื่องมาจากไหน?
คำตอบก็คือ ก็มาจากคนทุกภาคในประเทศ โดยเฉพาะแหล่งแรงงานสำคัญ คือ ภาคอีสาน!!!
แล้วก็เกิดการเคลื่อนย้ายประชากรครั้งยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งตั้งแต่เกิดมีประเทศไทย และก่อนมีประเทศนี้เสียอีก
ในยุคที่เรียกกันว่า "ยุคเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" คือเรียกง่ายๆ รวมๆ เร็วๆ เอาเป็นว่า ยุคไทยรบพม่า ก็แล้วกัน นั่นแหละ ยุคนั้น ฝ่ายไหนชนะ ก็กวาดต้อนผู้คนไปเป็นข้าทาสในบ้านในเมืองของตน
โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ได้กวาดต้อนแรงงานจากทั่วประเทศมากกว่ายุคไทยเสียกรุงให้พม่าทั้งสองครั้ง และที่ไทยเผาเวียงจันทน์ แล้วกวาดต้อนคนลาวมาไว้ในไทยรวมกัน!!!!
แล้วเกิดอะไรขึ้น!!
โครงการฯ ริเริ่มปี 2524 สำเร็จเสร็จสิ้น และเดินเครื่องได้ในปี 2527 ระหว่างนั้น พวกแม่ทัพนายกองจากโรงงานต่างๆ ได้นำไพร่ราบพลเลวออกกวาดแรงงานเข้ามาส้องสุมเตรียมการไว้ เห็นคนหนุ่มคนสาวที่ไหนก็ควบม้า ขับทหารออกกวาดต้อน ไม่ต้องเลือกเชื้อแถวพงศ์พันธุ์ ขอเพียง อย่าให้มันมือกุดเท้าขาดเป็นใช้ได้
ทั้งนี้ เพราะรัฐไทยได้กดค่าตัวแรงงานพวกนี้เอาไว้ให้แล้ว เพราะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่เชิญชวนให้เข้าลงทุนในนิคมฯ
ถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งเดา หรือตั้งข้อรังเกียจว่า ผมใส่เสื้อสีไหน ... เพราะผมมันขี้ร้อน ชอบถอดเสื้อ (โชว์ซิกซ์แพ็ค)
เมื่อผู้คนถูกกวาดต้อนขนาดมหึมาเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พวกแรงงานจากมา??
ผมมันลูกทุ่ง ผมจึงมองเห็นแต่แง่ของคนชอบเพลง-ชอบลำ ผมเห็นความสั่นไหวระดับ 9.57 ริคเตอร์ ก็ไม่รู้จะเปรียบอย่างไรจึงจะเห็นภาพ เอาแบบคนที่เป็นมิตรหมอแคน แฟนนางเอกหมอลำก็แล้วกัน คือ ระดับเมืองบ้านหล่มหลวง ปวงวัดวังงัวควายจ่อมจมลงพื้น พุ้นแล้วขะน้อย
เกิดความเปลี่ยนแปลงในตลาดเพลงลูกทุ่งขนานใหญ่ พูดแบบนักวิชาการก็ว่า อย่างมีนัยสำคัญ เพราะผู้บริโภคเพลงลูกทุ่ง หรือตลาดผู้บริโภคเพลงลูกทุ่งที่ใหญ่ที่สุด คือ คนในชนบท ว่ากันตรงๆ ก็คือ คนอีสานและภาคอีสาน ซึ่งเป็นแรงงาน กลุ่มใหญ่ที่สุด นั่นเอง
ในช่วงโกลาหล ช่วงที่แรงงานยังแปลกถิ่น แปลกที่ จิตใจว้าวุ่นด้วยห่างบ้าน ห่างเพื่อนมิตรพี่น้อง ห่างสิ่งคุ้นเคย
ห้วงเวลานั้น เพลงลูกทุ่งพะงาบๆ หายใจรวยริน ส่วนเพลงลูกกรุงตายสนิท มิพักต้องพูดถึงลิเก รวมถึงหมอลำด้วย
ท่ามกลางซากปรักหักพัง ได้เกิดอุตสาหกรรมเพลง ที่เรียกว่า "ค่ายเพลง" ค่ายหนึ่งขึ้น
ค่ายเพลงนี้ประกาศอย่างองอาจก๋ากั่นว่า พวกเขาจะสร้างมิติใหม่ให้กับวงการเพลงของไทย แล้วบรรยายว่า....
อันเพลงไทยนั้น (ทั้งลูกทุ่งลูกกรุง) ทำเพลงกันแบบ "เอาเนื้อหุ้มดนตรี" หมายถึง ให้ความสำคัญกับเนื้อร้องมากกว่าจะเน้นการทำดนตรีให้โดดเด่น ดังนั้น พวกเขาจะทำเพลงไทยแนวใหม่ ที่เน้นดนตรีมากกว่าเนื้อร้อง...
ไอ้กระพ้มมันลูกทุ่งก็จริง แต่สูดดมกลิ่นผายลมของฝรั่ง-นิโกรมาตั้งแต่หัวยังไม่พ้นขอบโต๊ะสนุ้ก และฟัง Highway Star แกล้มกับแตงสังหารสาว และจูบมัดจำ มาแต่เล็กแต่น้อย ฟังแล้วก็พูดกับตัวเองว่า....นี่มัน เพลงฝรั่งนี่หว่า!!
แล้วก็เฝ้าฟังเพลงในมิติใหม่ของค่ายนี้ จนที่สุดก็สรุปกับตัวเองว่า.. ฮี่โธ่ มันก็ลอกฝรั่ง ไม่เห็นมันจะมิติหม่งมิติใหม่ขี้หมาอะไรเลย
แล้วเช้าวันหนึ่ง... ที่คุนหมิง มณฑลหยุนหนาน ผมฝ่าลมหนาวออกไปสังเกตพฤติกรรมของอาตี๋อาหมวยในตลาดสด ตามทฤษฎีที่ว่า อยากรู้จักคนเมืองไหน ก็ให้ตื่นแต่เช้าไปดูผู้คนในตลาดสด
เพียงก้าวแรกที่เหยียบตลาด เสียงเพลงบรรเลงจากเสียงตามสายก็ทักทายมาก่อน
ผมมันอ่อนเรื่องอ่าน-เขียนโน้ตดนตรี จึงขอถ่ายทอดด้วยวิธีโบราณ ดนตรีที่ผมได้ยินคือ...แล้แลแหล่แลแลแหล่แลแล...
เฮ้ย... เพลงฟักเขียว เพลงบังโพนนอนตื่นสวาย ของไทยนี่หว่า...โอ้โฮ้ดังถึงเมืองจีนเลยวุ้ย!
แต่ฟังไปฟังมา มันไม่มีเนื้อร้อง มันเป็นเพลงบรรเลงทั้งชุด
นั่นก็แสดงว่า เพลงมิติใหม่ของค่ายนี้ คือ การเอาดนตรีต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง แขก จีน จาม มาหุ้มเนื้อไทย ...นี่คือมิติใหม่
ครั้งหนึ่ง... ใครก็ไม่รู้หลับหูหลับตาเชิญผมไปพูด โดยสำคัญผิดว่าการมั่วๆ ของผมเป็นภูมิรู้ ... เห็นผิดเป็นชอบ ว่า ผมเป็นผู้รู้
ขึ้นเวทีได้ผมก็ฝอยฉอดๆ ว่า... ค่ายเพลงที่ยิ่งใหญ่ แท้จริงมันก็ฉวยเอาเพลงฝรั่งมาทำเป็นเพลงของตัว ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว ก็ ... 90% เลยทีเดียว
เท่านั้นแหละท่านสารวัตรเอ๊ย...
มีชายหัวโหล่นผู้หนึ่งยกมือพรึ่บ แล้วก็ตะโตนจากที่นั่งว่า... ไม่จริง วิทยากรพูดอย่างคนไม่รู้จริง ผมนี่ของแท้... ผมเป็นศิษย์เก่าของ.... ผมเพิ่งลาออกแล้วกลับมาอยู่บ้าน..... ผมขอคัดค้านที่วิทยากรพูด...
ถึงตรงนี้ ผมแบกหน้าที่เหลือสองนิ้ว ค่อยๆ ทรุดลงบังโต๊ะวิทยากรแล้ว
หมอนั่นยังไม่หยุด เขาดำเนินการฉีกหน้าผมต่อหน้าธารกำนัลต่อไปว่า
ที่ว่า ค่ายเพลงของผมลอกเพลงฝรั่ง เพลงต่างชาติมา 90% นั้นน่ะ ผิด....
ที่จริง... มันเอามาร้อยเปอร์เซนต์เลยครับ!!

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (7)


ความสุขในการฟังเพลงของผมอย่างหนึ่ง คือ ความสุขที่ได้ยินได้ฟังความนอกลู่นอกรอย
กล่าวคือ เพลงที่ไพเราะ ที่ชอบ เมื่อมีผู้นำไปแปลงหรือพลิกแพลงไปให้ผิดแผกไปจากที่เคยเป็น ฟังแล้วมันดูสนุก แล้วก็มองเห็น 'เจตนาน่าสนุก' และความขี้เล่นของคนแปลงสาร
ในอดีต เรามีนักแปลงสารชั้นครูอย่าง นคร มงคลายน มีศักดิ์ นาครัตน์ เป็นต้น ท่านเหล่านี้แปลงเพลงฝรั่งที่มีเนื้อหาสื่อถึงความรัก การมองโลก หรือความเห็นของมนุษย์ที่มีต่อโลกธรรม หรือที่เรียกว่า โลกทรรศน์ จัดการแปลงให้เห็นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในอีกแง่มุมหนึ่ง จึงกลายเป็นเรื่องขำขัน ตลก หากนำเพลงที่แปลงไปเปรียบเทียบกับเพลงดั้งเดิมก็ยิ่งขำหนักขึ้นไปอีก
การแปลงต้องให้เห็นเค้าเดิมจึงจะขำ หรือแสดงให้เห็นอารมณ์ และคุณภาพของคนแปลง เช่น จังหวะ-ทำนอง ดนตรี ต้องอิงของเดิม
คนมีอารมณ์ขันของไทยเรามีอยู่เป็นอันมาก การแปลงไม่มีแต่เฉพาะเพลงฝรั่งแปลงเป็นไทย ยังมีไทยแปลงเป็นไทย เช่น เพลงเดิมเขาเป็นเพลงรักหวานซึ้ง พวกก็แปลงเป็นอีกเรื่อง บางครั้งก็แปลงจากลูกกรุงแปลงเป็นลูกทุ่ง และลูกทุ่งแปลงเป็นลูกทุ่ง แต่เป็นคนละมุม เช่น หยิบเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า... ก็เป็น หยิบเสื้อผ้ายัดใส่ถุงปุ๋ย...
หรือแม้แต่เอาเพลงหนึ่ง ทำนองหนึ่ง แปลงเป็นทำนองของอีกเพลง เช่น ก่อนจากกัน คืนนั้นสองเรา.... ของครูเอื้อ สุนทรสนาน ก็เอาทำนอง เอาลีลาการร้อง เลียนเอาเสียงของครูมา แล้วสวมทับด้วยเนื้อเพลงอีสาน เป็น... แดงจ่ายหว่าย ถูกใจนะหล่อน ...ของจำเนียร มิตรประชา
จากการแปลงเพื่อเห็นขำ กลายมาเป็นงานเป็นการมากขึ้น เมื่อเกิด "เพลงแก้" หรือเพลงที่ร้องโต้ตอบกัน ส่วนใหญ่เป็นชายกับหญิง หญิงกับชาย ตัดพ้อต่อว่ากันเรื่องความรักความใคร่ เรื่องผัว-เมีย ลามถึงเรื่องชวนหย่า แม้แต่เรื่องแบ่งสมบัติกันหลังหย่า
หรือชายต่อชาย ก็มี เช่น กรณีที่ครูเบญจมินทร์ ราชาเพลงรำวง กับ สุรพล สมบัติเจริญ ราชาเพลงลูกทุ่ง
จำได้ว่า ความสนุกสนานกับการแปลง การโต้ตอบในเพลงของผมสะดุดลง ภายหลังปี 2527 หลังการก่อตั้งค่ายเพลง
ความเจริญรุ่งเรืองของเพลงที่เรียกกันว่า เพลงสตริง มันมาพร้อมกับปัญหาลิขสิทธิ์เพลง
เพลงแปลงจากทำนอง-ดนตรีฝรั่ง สิ้นสุดลงหลัง เก้าล้านหยดน้ำตา ของ ดอน สอนระเบียบ (PM5) เจงกีสข่าน ของสุนทร สุจริตฉันท์ (Royal Sprite) และ ...โอ้แม่คุณเอ๋ย น้องเห็นวัวตัวเมียหรือเปล่า.. (จำชื่อเพลงไม่ได้) ของเศรษฐา ศิระฉายา (The Impossible)
แล้วลิขสิทธิ์เพลงก็ลามถึงเพลงไทยต่อเพลงไทยด้วยกัน เพลงแก้ ที่ผมชื่นชอบ พลอยปิดฉากลงด้วยปัญหาลิขสิทธิ์
มีหลงเหลือก็แต่การฉวยและการซื้อ (บ้าง) ของค่ายยักษ์ ที่ว่า ฉวย คือ การลอกโน้ตมาบางชุด พอไม่ให้เกินที่กฎหมายกำหนด หรือแปลงจากเพลงเร็ว ยืดให้ช้าลง หรือจิ๊กจากตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย เพื่อเลี่ยงปัญหา
ส่วนการซื้อ เกิดมาก็เพิ่งได้ยิน มีการซื้อทำนองเพลง ก็ค่ายนี้แหละทำเป็นตัวอย่าง
แต่อย่างไรก็ตาม การแปลงก็ยังทิ้งร่องรอยให้เห็นว่า ต้นตอมาจากไหน
เมื่อมีสิ่งเร้า หรือ ภัยคุกคาม (threathen) จากภายนอกที่ไม่อาจต้านทานได้ ศิลปินจำต้องโต้ตอบ ต้านทาน ไม่อย่างนั้นก็ไม่เหลือที่ยืน หรืออาจไม่มีลมหายใจ
ศิลปินอื่นโต้ตอบ ต้านทานแบบ "เมื่อคิดไม่ออกก็ลอกเขาไป" หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ลู่ตามลม ไม่ใช่การต้านทานโต้ตอบ
เอาทำนอง เอาดนตรี เขามา แล้วแต่งเนื้อร้องใส่ให้พอดี เหมือนเอาเสื้อเอากางเกงฝรั่งมาสวมใส่ แล้วพยายามทำตัวให้เข้ากับเสื้อผ้า
แต่หมอลำ สุนทร ชัยรุ่งเรือง ไม่ได้ทำแบบนั้น เขาทำในสิ่งที่แหวกแนวกว่านั้น
เพลง เลดี้ บั๊มพ์ (Lady Bump) มันฮิต มันดังนักรึ?...คนคลั่งไคล้เป็นบ้าเป็นหลังกันนักใช่มั้ย มันเป็นตัวแทนของดิสโก้ ที่ทำให้คนเมินหมอลำใช่มั้ย?
ว่าแล้วก็จัดการถลกฮ็อตแพนท์ของเลดี้ บั๊มพ์ - แหม่มเพ็นนี (Penny McLean) เปล่า... ไม่ใช่ถอดมาแล้วให้น้องสาว-หมอลำราตรีใส่ แต่เขาบรรจงสวมโล้งหยี่ (โสร่งพม่า) ใส่ให้เลดี้ บั๊มพ์
หลังจากคัดสรรกลอนลำเต้ยที่มันๆ มาลำใส่กลองชุดและแคน จนเกิดมีหมอลำกลอนประยุกต ์ระบาดไปทั่วอีสาน หมอลำคนไหน คู่ไหน ไม่อยากให้ดิสโก้เหยียบตาย ต้องลุกขึ้นมาประยุกต์ จนหมอลำกลอนพอลุกยืนได้มั่นคงท่ามกลางสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปดีแล้ว
เพื่อส่งสัญญาณว่า ถึงคราวที่หมอลำจะปักหลักสู้กับดิสโก้แล้วนะ หมอลำสุนทรจึงแต่งกลอน "เต้ยบั๊ม" ขึ้น โดยใช้ทำนองลำเต้ยยอดฮิต คือ เต้ยพม่า ...เต้ยพม่ารำขวานพี่ชักชวนน้องยา... ที่คุ้นหูนั่นแหละ แล้วเมื่อผสานกับบั๊มพ์ดิสโก้ก็จึงกลายเป็น "บั๊มพม่า"
เนื้อกลอน "เต้ยบั๊ม" ที่หมอลำสุนทรขับลำร่วมกับหมอลำมณีรัตน์ แก้วเสด็จ นั้นน่าสนใจ หากพิจารณาดีๆ จะเห็นอะไรหลายๆ อย่างซ่อนอยู่ ดังนั้น จึงขอใส่เนื้อกลอนให้พิจารณากัน ดังนื้
กลอนเต้ยบั๊ม
(มณีรัตน์)
มาบั๊มกันเถิดคุณขา เอ้าถึงเวลาบั๊มแล้ว บั๊มของฉันหลายแนว จงบั๊มให้แจ๋วไปเลย พี่เจ้าเคยหรือไม่ เพลงบั๊มมันหลายเหลือพรรณนา บั๊มพม่าเถิดหนา สนุกนะจ๊ะพ่อคุณคนดี
ฟรีนะจ๊ะบั๊มฟรี มาเถิดคนดีของฟรีชอบไหม เต้ยบั๊มสนุกถึงใจ พี่เคยบ้างไหมจงมาช่วยตอบ
มาลองมาบั๊ม ขอเชิญมาตำมาบั๊มให้ม่วน อย่ารำรวนหลายเด้อข้างนั้น คุณเมาเหล้าจงระวัง จงฟังเสียงกลองเขาไว้ อย่าตำแฮงหลายยามบั๊มบ่าไหล่ ตำแฮงหลายน้องกะซิช้ำ เวลาบั๊มให้ค่อยตำ
บั๊มหนาคุณพี่สองทีนา โอ๊ยตามตำราบั๊มแหน่ อย่าหลงอย่าแวพอสองซ้ำ
(สุนทร)
เพลงบั๊มถนัดนักหนา ขยับเข้ามาสินวลอนงค์ พี่จะขยายเป็นวง ตามจุดประสงค์น้องยา ให้สนุกหนักหนา ไปตามตำราโอ๊ยเต้ยบั๊ม พี่จะไม่ให้ช้ำ จังหวะพี่ตำจะทำเบาเบา
พี่เมานะจ๊ะคนดี แหมตำสองทีน้องเซถลา ไม่ใช่พี่แกล้งมารยา น้องเซถลาพี่คอยประคอง พี่จะรับน้องไปตำเบาเบา
สองเฮามาบั๊ม มาลองมาตำมาบั๊มค่อยค่อย ยิ้มหวานหวานเด้อแม่บักน้อย ทางข้อยซิค่อยตำ ขอซูนจักคำ ขอตำจักครั้ง ขอตำทางหลังทางข้างอีกบ่อน พี่สุนทรซิบ่ให้ช้ำ ยามบั๊มซิค่อยซูน
พุ้นหนาบ่าไหล่นวลในนา โอหันคืนมาให้ตำใหม่ โอ้หันไวไวขอตำท้าย

 

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (8)


ต้องขอบพระคุณทุกท่าน ที่กรุณาส่งชื่อเพลงที่ผมนึกไม่ออก มาให้เป็นความรู้ ช่วยเสริมหางอึ่งให้ยาวขึ้นอีกนิด
ปัญหาคงเป็นเพราะผมมิใช่ 'คอป็อป'
พวกฮาร์ด ร็อคเขามีวินัยบัญญัติว่า ใครที่เรียกตัวเองว่าเป็นฮาร์ด ร็อคแล้ว ยังแอบฟัง Lobo, Carpenters, Simon & Garfungel ถือว่าเป็นอาบัติ ระดับปราชิก ขาดจากความเป็นร็อคโดยทันที แม้จะบวชใหม่ก็ไม่ได้
ผมนั้น แม้อยู่ปลายแถว จะเป็นเณรก็ยังมิได้ เป็นได้แค่สังฆ์การีร็อค มิอาจนับเป็นร็อคเป็นแร็คกับเขาได้ เอาแต่ฟังเขาโม้ๆ กัน ก็ไม่กล้าผิดวินัย ก็จึงไม่มีความรู้เพลงประเภทอื่น
ก็อาศัยพวกท่านจะคอยอุ้มชู ขอฝากตัวฝากใจไว้ในอ้อมใจท่านด้วย รักสายัณห์ไม่ต้องมาก....แต่รักผมมากๆ ผมไม่ถือ
ว่าเรื่องของเราต่อ...
ลิขสิทธิ์ (copyright) และ สิทธิบัตร (petent) เป็นกฎหมายหวงก้างที่ฝรั่งที่ยกตัวว่าเป็นคนใจกว้าง เป็น gentleman เป็นผู้ดี ออกมาคุ้มครองสิทธิ์ในสิ่งที่พวกเขาเป็นคนคิดเป็นคนทำ ห้ามมิให้ใครลอกเลียน
ต่างจากสังคมตะวันออกอย่างเราๆ
พวกเรานั้น ใครทำ-คิดอะไรได้ ก็อกจะแตกตาย อยากพูด อยากบอกให้คนอื่นรู้
เห็นไหม.... ปล่อยคลิปกันจนล้นยูทูบ เพราะพวกเราถือว่า เมื่อรู้สิ่งใดแล้ว ก็อยากให้คนอื่นได้รู้ด้วย เราถือว่าเป็นวิทยาทาน ควรแบ่งปัน
แต่ฝรั่งไม่....
และก็ด้วยการหวงก้างไว้กินเอง นี่แหละ จากที่เคยลอกเลียน ล้อเลียน แปลงสารกันได้ ซึ่งทำให้เพลงนั้นๆ แพร่หลายในวงกว้างโด่งดังโดยไม่ต้องเสียเงินโฆษณาอย่างเคยเป็นในสมัยก่อน จึงกลายเป็นคมดาบคมที่สอง ที่บาดคอตัวเอง
จะเห็นได้ว่า นับแต่ที่มีการเข้มงวดเรื่องลิขสิทธิ์เพลง คนไทยไม่ได้รู้เรื่องเพลงฝรั่งเลย จะให้ยกมาสักเพลงพอเป็นกระษัยยา ก็ทั้งยาก ที่ยกได้ก็เป็นเพลงสมัยก่อนการเข้มงวด ยกเว้นบางกลุ่มที่สนใจจริงๆ
สมัยที่ผมเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ๆ คิดถึงบ้าน เข้าเพิงกินลาบกินส้มตำ หน้าร้านมีตู้เพลง มีคนหยอดเหรียญฟัง Yesterday Once More ของ The Carpenters เพลงจบ ได้ยินเสียงเด็กสาวคุยกันที่หลังร้าน
"อีห่ามึง ... กูได้ยินเพลงนี้แล้ว จั่งแม่นคิดฮอดบ้านซะ"
"มึงฮู้บ่ นั่นมันแม่นเพลงอีหยัง"
"อ้าว...บ้านสูบ่มีบ่ เยสสะเต้อเด่ วันสะมอ"
ผมลุกไปสอบถามจึงรู้ว่า สาวอุดรกับสาวยโสเขาล้างจานคุยกัน
จากปีนั้น ...ปีที่ดิสโก้ที่ทำเอาหมอลำกระอักเลือด ถึงปีนี้ หากใครยังขืนเอาสะโพกเอาไหล่กระแทกกันเป็นท่าเต้นรำอยู่ เป็นต้องเชยสุดๆ ...เรียกว่าเอ๊าท์โคตรๆ
หาก ไพโรจน์-ลลนา ยังขืนยักแย่ยักยันลุกขื้นมาบั๊มพ์กัน เสียงกระดูกที่ขาดน้ำมันไขข้อ คงเสียดสีกันจนเสียงระงมเธค
แล้วลำกลอนประยุกต์ล่ะ เป็นไง....
วันนั้น ถ้า "สุนทร-ราตรี" คนคิดค้นลำกลอนประยุกต์ เกิดบ้าเลือด ไปขอจดลิขสิทธิ์ห้ามหมอลำเลียนแบบ เพราะถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ตัวเองคิดค้น ป่านนี้ ลำกลอนประยุกต์ ก็คงไป "ค้าถ่าน" พร้อมกับหมอลำสุนทรแล้ว
นับแต่ปี พ.ศ. 2529 ที่หมอลำสองพี่น้องยกกลองชุดขึ้นฮ้านหมอลำกลอน จะ 40 ปีเข้าไปแล้ว... สาวลำซิ่งยังเด้งยังฮ่อนกันอยู่เลย
แต่...
การกลายพันธุ์จาก 'ลำกลอนประยุกต์' มาเป็น 'ลำซิ่ง' มันมีเรื่องมีราวให้ต้องคุยกัน!!
และเป็นวัตถุประสงค์หลักให้ผมต้องหลังขดหลังแข็ง เพราะก้มจิ้มโทรศัพท์ฝอยน้ำท่วมทุ่งอยู่เวลานี้
..

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (9)


Rock 'n' Roll Can Never Die.
ประโยคนี้เป็นทั้งชื่อเพลง และคำปล อบโยน เป็นการให้กำลังใจชาวร็อคด้วยกัน
เช่นกัน พวกทหารก็ปลุกปลอบพวกเดียวกันว่า The Old Soldiers Can Never Die. ทหารแก่ไม่มีวันตาย
ประโยคนี้ฮิตและเท่เอามากๆ จนบริษัทกางเกงยีนส์ยี่ห้อดัง ถึงกับเอาไปทำโฆษณาสินค้าของตัวเอง ผมอ่านแล้วยิ้มให้เจ้าเข่าขาด และผมจำได้จนทุกวันนี้ ... Blue Jeans Can Never Die, It Just Faded Away. (ยิ่งซีดก็ยิ่งสวย)
หมอลำ ศิลปะชิ้นเอกของอีสาน ยังไม่มีใครสืบค้นว่า เริ่มมึกันมาตั้งแต่เมื่อใด จนปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต ก็เชื่อว่ายังจะมีหมอลำตลอดไป ตราบใดที่คนอีสานยังสื่อสารกันด้วยภาษาพ่อภาษาแม่นี้เข้าใจกันอยู่
ดังนั้น ทมอลำก็มีสืทธิ์จะ
Never Die กับเขาเหมียนกัน!!
ความยั่งยืน อมตะของหมอลำอยู่ตรงไหน?
อยู่ตรงพื้นฐานการก่อเกิด พัฒนาการ และการรับใช้คนอีสานในการดำเนินชีวิต หากผมจำไม่ผิด อาจารย์สนอง คลังพระศรี นักวิชาการด้านดนตรีคนเก่งของอีสานและชาวคณะ ระบุว่า หมอลำเกิดขึ้นจาก 3 สาเหตุ คือ 1) จากพิธีกรรมการบูชาพญาแถน 2) พิธีกรรมทางพุทธศาสนา และ 3) การเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว
หากผมจำไม่ผิด ...ประโยคนี้ไพเราะเหลือเกินสำหรับผมในเวลานี้ เพราะไม่มีอะไรอยู่ในมือที่จะใช้อ้างอิงได้เลย หากจำขี้ปากท่านผู้รู้มาผิดๆ ถูกๆ ก็อย่าว่ากัน ผมจะพยายามระลึกชาติ มิให้คลาดเคลื่อนมากนัก
หมอลำ ผมหมายเอาเฉพาะ หมอลำกลอน ที่เจริญงอกงามมาจากลำพื้น (ลำโบราณ พื้น แปลว่า ตำนาน หรือเรื่องราว) ที่มีรูปแบบ เนื้อหาและโครงสร้างการแสดง อันเปรียบเสมือนการวางรากฐานที่มั่นคงยิ่ง
รูปแบบ
หมอลำกลอนแต่งตัวสุภาพและทันสมัยอย่างยิ่ง ทั้งหมอลำหญิงและหมอลำชาย โดยหมอลำฝ่ายหญิงจะแต่งตัวสุภาพเรียบร้อย ด้วยกระโปรงและเสื้อเข้ารูป แบบเดียวกับครูผู้หญิง
ผมไม่รู้จะอธิบายการแต่งเนื้อแต่งตัวของผู้หญิงยังไง เอาเป็นว่า แต่งตัวดี มีรสนิยม เรียกว่าสาวหมอลำกับสาวครูเดินคู่กันมา ชาวบ้านไม่มีใครทายถูกว่า...ใผเป็นใผ
เผลอๆ สาวครูสู้ไม่ได้ เช่น กรณีหมอลำคำปุ่น ฟุ้งสุข สาวงามเมืองวาริน อุบลราชธานี
อย่าได้เอาสาวครูมาเทียบเด็ดขาด เพราะเธองามสง่ากว่าคุณนายท่านผู้ว่าฯ และคุณนายนายอำเภอทุกอำเภอรวมกัน
ข้างฝ่ายชาย นุ่งกางเกงสแล็คสีดำ หรือสีเข้ม เสื้อขาวแขนยาว รองเท้าคัทชู ที่ขาดมิได้ คือ เน็คไท
ด้วยภาพลักษณ์เช่นนี้ หากไม่ใช่ครู หรือข้าราชการ ก็ท่าน ส.ส. ระดับนั้นเลย
ไม่ทราบว่าผู้ใด ที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายคอสตูม (costume) คนออกแบบเสื้อผ้า ที่วางบุคลิก (charactor) ได้เลอเลิศขนาดนี้ เพราะชุดนี้ทั้งสุภาพ มีรสนิยม และไม่เคยล้าสมัยเลย
นัยว่า การสร้างบุคลิกให้หมอลำต่างจากชาวบ้านเช่นนี้ ถือเป็นการให้เกียรติผู้ว่าจ้าง และผู้ชม ที่น่าแปลก คือ ระหว่างชาวบ้านที่เป็นผู้ชมกับหมอลำ ไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องความแตกต่าง แปลกแยก ไม่มีแม้คำเล็กคำน้อย ที่จะค่อนขอดว่า หมอลำหัวสูง ทำตัวไม่ติดดิน ห่างเหินชาวบ้าน ข่มผู้ชมที่เป็นชาวบ้านธรรมดา
ตรงกันข้าม ชาวบ้านกลับรักใคร่ และให้ความสนิมสนมกับหมอลำยิ่งกว่าคนในอาชีพอื่นที่แต่งตัวเท่แบบเดียวกับหมอลำ ทั้งนี้ เป็นเพราะชาวบ้าน หรือผู้ชมหมอลำ คือ ผู้เสพที่เข้าถึงงานศิลป์ คือ การแสดงหมอลำ
เป็นผู้มีสมาธิ พร้อมดื่มด่ำดำดิ่งสู่มิติแห่งศิลป์ เป็นผู้ที่มีจิตใจรักและเทอดทูนศิลปะการแสดงนี้อย่างแท้จริง
ชาวบ้านมิได้ฟังหมอลำ เพราะเห็นเป็นเพียงการแสดงที่ให้ความสำราญบานใจ พอให้ลืมทุกข์ลืมโศก เท่านั้น
แต่หมอลำคือ ข่าวสาร ความรู้ในศาสตร์ต่างๆ หมอลำคือการอบรมสั่งสอนให้รู้จักผิด-ชอบชั่ว-ดี หมอลำคือกระบวนการถ่ายทอดภูมิปัญญา
และสูงสุดที่อยู่เหนือภูมิรู้ทั้งมวล คือองค์ธรรม ที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน หมอลำก็ย่อยจนเรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย แถมยังสนุกเสียอีกด้วย
หมอลำคือผู้ถ่ายทอดมวลสรรพวิทยา และผู้ยกระดับจิตใจแก่ประชาชน ที่ไม่มีหน่วยงานรัฐใดๆ ทำได้ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ที่ชนบทไทยขาดแคลนมันไปเสียทุกด้าน
และพรุ่งนี้ เราจะมาดูกันว่า เนื้อหาสารัตถะ ที่หมอลำนำไปบรรณาการแด่ชาวชนบทมีอย่างใดบ้าง มันเลิศเลอเปอร์เฟ็คท์ อย่างที่ว่าฉอดๆๆ นี้หรือไม่?
เพื่อจะได้รู้ว่า ... หมอลำซิ่ง ได้สร้างวีรกรรมวีรเวร และสร้างภาระให้แก่สังคมอีสานอย่างไร

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

 

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (10)

 

 

 


โครงสร้างการแสดงของหมอลำกลอน ถ้าผมจำไม่ผิด ในคืนหนึ่งๆ หมอลำเขามีรูปแบบโครงสร้างในการทำการแสดงอยู่ 5 อย่างหรือ 5 ช่วง คือ
ช่วงที่ 1 ไหว้ครู หรือ ช่วงยกอ้อยอครู
ก่อนอื่นใด ต้องยกครูไว้เหนือหัว ครูก็ได้แก่ครูหมอลำ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาลำ เพื่อเป็นขวัญเป็นกำลังใจแก่ตัวเอง
และครูที่สูงกว่านั้นคือ พระพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครู และมิใช่พระพุทธเจ้าเพียงองค์เดียว หรือ พระโคดม หากยกมาทั้ง 5 พระองค์ในภัทรกัปป์ ... กุกุสันโท โกนาคมโน กัสสโป โคตโม พระศรีอาริยเมตไตโย จงมาปกมาบัง จงมากั้งมาเลี่ยมขะน้อยไว้... ก็ที่เราได้ยินจนท่องได้ นั่นแหละ
อนึ่ง ควรจำไว้ด้วยว่า คำว่า "บรมครู" คำๆ นี้ โปรดอย่าใช้พร่ำเพรื่อ บรมครูเพลงลูกทุ่ง บรมครูดนตรีไทย และอีกหลายบรมครู คำนี้ปราชญ์ท่านสงวนไว้สำหรับพระพุทธเจ้า ผู้เป็นครูมนุษย์ เทวดา พรหม เพียงพระองค์เดียว
ช่วงที่ 2 ช่วงบอกอานิสงส์ คือ ยกย่องชมเชยศรัทธา หรือเจ้าภาพ ว่าที่ทำบุญสร้างกุศล (และที่ว่าจ้างหมอลำมาแสดง) นั้น มีผลบุญอย่างใดบ้าง ส่วนใหญ่มักอ้าง บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ในคัมภีร์พุทธ เป็นกุศโลบายที่ทำให้เจ้าภาพหัวใจพองโตที่ได้ทำบุญ เวลาลำ ก็เจ้าภาพอีกน่ะแหละที่ประเดิมควักเงิน "แถมสมภาร" หรือ ติ๊ป (tip) เป็นคนแรก
ช่วงที่ 3 ช่วงกล่าวถึงพระคุณของพ่อ-แม่ เป็นการบรรยายถึงพระคุณผู้ให้กำเนิด ว่าคุณพ่อมีเท่าใด คุณแม่มีเท่าใด ใครมากกว่า เพราะเหตุใด
ช่วง 1-3 มักเป็นช่วงวอร์ม หรืออุ่นเครื่อง (warm-up) เพื่อให้เครื่องร้อน และใช้เวลาไม่มาก ไม่เกิน 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด คือตั้งแต่หัววันยันรุ่งสาง
ช่วงที่ 4 ช่วงสาด-ท้า-ประชัน ช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญที่สุดของรายการแสดง และใช้เวลากว่า 80-90% ของเวลาทั้งหมด
เป็นช่วงชิงไหวชิงพริบจากการถาม-ตอบ หรือ โจทย์-แก้ บรรดาคำถามที่ถามให้อีกฝ่ายตอบ ล้วนสะท้อนให้เห็นสารัตถะของการลำ เพราะมีการประมวลคำถามจากศาสตร์มากมี ตั้งแต่เรื่องทางโลก เหตุการณ์บ้านเมือง เหตุการณ์สำคัญของโลก เรื่องประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ กระทั่ง ศาสนธรรมในพุทธศาสนา
ธรรมะที่ใช้สาด ท้า ประชันกันนั้น มิใช่เพียงเรื่องพื้นๆ เรื่องศีลเรื่องทาน แต่เป็นการขุดและกลั่นเอาจากพระไตรปิฎก ทั้งพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม เรียกว่า มาทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เรื่องนรก-สวรรค์ ชาดก ตำนานพื้นบ้าน นิทาน แถมเรื่องแต่งเติมที่เรียกว่า นิทม เข้าไปอีก
เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี หรือ ฮึต ๑๒ คอง ๑๔ กระทั่งเรื่องภายในครอบครัว พ่อตา-ลูกเขย พี่เขย-น้องเมีย สารพัดสารพันที่จะนำมา
อนึ่ง ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ถือเป็นหัวใจของอีสาน อีสานเป็นบ้านเป็นเมืองอยู่ทุกวันนี้ได้ ก็ด้วยสิ่งนี้ และฮีต-คอง มิใช่ของคร่ำครึอย่างที่เข้าใจ ฮีต แท้จริงคือรัฐศาสตร์ เป็นเรื่องการเมือง ซึ่งใช้ได้ไม่จำกัดกาล เพราะการเมืองเป็นเรื่องของคน เรื่องของกิเลส มันก็วนๆ เวียนๆ ไม่มีอะไรใหม่ ส่วนคอง คือ ระบบกฎหมาย ที่สังคมอีสานมีมาก่อนกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ บิดาแห่งวิชากฎหมายไทยจะทรงประสูตินับร้อยนับพันปี คนเฒ่าอีสาน หรือคนหนุ่มอีสาน โดยเฉพาะนักกฎหมาย ไม่รู้เรื่องนี้ดอก... รับรอง มีแต่คนบวมๆ แบบผมนี่แหละที่ตะโกนโหวกเหวกเป็นบ้าอยู่คนเดียวมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว (ไว้วันหน้าจะฝอยให้ฟัง เผื่อท่านๆ จะได้กราบไหว้บรรพบุรุษของตัวเองได้อย่างสนิทใจ จะได้รู้ว่าบรรพบุรุษคนอีสานไม่ได้โง่แม้แต่นิด)
กล่าวเฉพาะเรื่องธรรมะ เป็นการบรรยายธรรมแก่ผู้ฟังในรูปของการถาม-ตอบ ระหว่างหมอลำ ฝ่ายหญิงกับฝ่ายชาย พลอยทำให้คนดูได้ความรู้ไปด้วย
การถาม-ตอบ ก็มิใช่ถาม-ตอบกันแบบถามเอาดื้อๆ ด้านๆ หากต้องมีการปูพื้น และประดิษฐ์เป็นคำกลอน แล้วใส่ทำนองลำหลากทำนอง แถมยังแทรกเรื่อง "เพอะ" (โป๊เปลือย) เพื่อความสนุกเพลิดเพลิน นับว่าเป็นการสอนที่สนุกอย่างที่สุด เพลินจนลืมว่ากำลังเรียนวิชาการอยู่ โดยเฉพาะการเรียนช่วงดึก ยิ่งดึกก็ยิ่งเพอะ เพราะหมอลำเขารู้จิตวิทยามนุษย์ว่า ถ้าพูดเรื่องใต้สะดือแล้วเป็นหูตาสว่าง
ไม่งั้นสื่อสารมวลชนจะได้รับความนิยมจนมียอดจำหน่ายมากที่สุดของประเทศหรือ? ก็เพราะเขายืนนโบายทำสื่อแบบโป๊เปลือยสลับกับเรื่องฆ่าเรื่องแกงกัน ฟังที่ฝรั่งเรียกสื่อแบบนี้แล้วเห็นภาพ "blood and leg media" สื่ออาชญากรรมและขาอ่อน
บางครั้งก็จำลองการเทศน์สามธรรมาสน์ของพระ บ้างก็ได้จากการสูตร (สวด) หรือสาธยายมนตร์ของพราหมณ์ บ้างก็เป็นเพลง หลากทำนอง-ภาษา ฯลฯ
ที่สำคัญไปกว่านั้น หมอลำยังนำเอาวิชาที่สอนในชั้นเรียนของสมัยนั้นมาสาธยายกันบนเวทีหมอลำด้วย และวิชาพวกนี้ ทำให้รู้ว่า คนอีสานมีการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ มาก่อนที่ไทยจะมี พรบ. การศึกษา (ร.6) นับร้อยๆ ปี
เราจะได้ยินหมอลำ มักลำถึงการถาม-ตอบ ในทำนองว่า ..."เรื่องสนเรื่องนาม" สน คือ สนธิ นาม ก็คือ คำนาม เป็นการสอนเรื่องไวยากรณ์ภาษา ซึ่งมีระดับชั้นเรียนไล่จาก ก ข จนถึงการแจกรูปประโยคในภาษาบาลี
การเรียนต้องอาศัยการท่องจำเป็นหลัก จนปราชญ์ผู้คงแก่เรียนเหล่านี้มาเขียนกลอนลำ ก็เอาวิชาเดิมที่เชี่ยวชาญมาสอบมาถามเอากับฝ่ายตรงข้าม หวังจะฉีกหน้าประจาน
ส่วนฝ่ายตรงข้ามเองก็รู้ทัน ก็เขียนกลอนแก้ไว้ ซ้ำยังถามกลับด้วยเรื่องลึกล้ำกว่า
แท้จริง การถาม-ตอบของหมอลำ ก็คือ สงครามตัวแทน (proxy war) ระหว่างปราชญ์ 2 ฝ่ายที่ประลองกำลังวิชากัน ถ้าเรียกแบบศิลปินใหญ่ ถวัลย์ ดัชนี ก็ต้อองเรียกว่า การต่อสู้ด้วยปากเปล่า โดยอาศัปากของหมอลำปะทะกันบนเวที ให้ชาวบ้านได้ลุ้นได้ถือหางและพลอยได้รับการศึกษาที่ไม่มีโอกาสได้เรียนไปในตัว
ที่ว่าคนอีสานมีการศึกษาก่อนไทยนั้น ผมไม่ได้มั่ว เพราะมีการเรียนการสอบบาลีไวยากรณ์กันในสมัย ร.4 และแบบเรียนภาษาไทยที่พิมพ์โดยโรงพิมพ์หลวงก็มีขึ้นในรัชกาลที่ 5 พ.ศ.2414 โดยใช้ตำราของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) มีเพียงการสอน มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์วิจารณ์ พิศาลการันต์
เพียงแต่การสอนบาลีไวยากรณ์ของอีสานใช้ตัวธรรมเขียน และถูกเผาแทบเกลี้ยงแผ่นดินก่อนสมัย ร.5
สารัตถะเกี่ยวแก่เนื้อหาของหมอลำมีมากกว่ามาก มิอาจจาระไนได้หมด
ช่วงที่ 5 ช่วงอำลาอาลัย เป็นการสรุป ด้วยการขอขมาผู้ชมที่อาจแสดง "เพอะ" คือสองแง่สองง่าม หรือใส่กันตรงๆ
แล้วก็กล่าวลาด้วยกลอนทำนองลำยาว หรือลำลา เป็นอันจบการแสดง ฟ้าแจ้ง ต่างคนต่างหนีไปนอน
สิ่งที่เขียนทั้งหมดในวันนี้ คือเขียนจากความทรงจำ ที่ไปขอความรู้จากผู้รู้มาตั้งแต่ยังเอ๊าะๆ แน่นอน ความผิดพลาดคลาดเคลื่อนมีอย่างไม่ต้องสงสัย ผมจึงใช้คำว่า ถ้าผมจำไม่ผิด

 

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (11)

 

 

 


ห้วงเวลานี้ เรามักคุ้นชื่อของ บุคลากรทางการแพทย์ ... ผมอยากแนะนำให้ท่านรู้จัก บุคลากรทางการลำ เอาไว้สักนิด
เมื่อได้เห็นเนื้อหาและสารัตถะในการแสดงของหมอลำกลอน ที่ผมยกมาเพียงคร่าวๆ แล้ว ขอพวกท่านลองพิเคราะห์ดูเถิดว่า บุคลากรทางการลำ ซึ่งก็คือหมอลำ ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายนั้น จะเป็นคนที่มีพฤติกรรม อุปนิสัย บุคลิกเป็นเยี่ยงใด
ในการฝึกซ้อม ที่จริงควรเรียกว่า บ่มเพาะ จะตรงมากกว่า เนื่องจากการจะก้าวขึ้นเป็น "หมอลำ" ได้นั้น ไม่ต้องพูดถึงการท่องจำบทกลอน วาดฟ้อน ปรับปรุงเสียง ฝึกวาดหรือฝึกทำนองลำให้เจนจบทุกขบวนท่า อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการแสดงแล้ว
เยาวชนคนหนุ่มสาว ผู้ใฝ่ฝันจะเป็นหมอลำจะต้องพลีแล้วทุกสิ่งอย่าง เพื่อจะได้ผ่านการฝึกซ้อม ผ่านการทดสอบ จนกระทั่ง ได้รับความไว้วางใจ ให้ขึ้นเวทีทำการแสดงจริง
เยาวชนเหล่านี้จะต้องออกจากครอบครัวและเข้าไปอยู่ในสำนักของครูที่ตนชอบ และใฝ่ฝันอยากเป็นแบบครูคนนั้นๆ (idol) ต้องไปอยู่รวมกันกับผู้หอบความฝันคนอื่นๆ นับสิบนับร้อย และต่างก็มาจากร้อยพ่อพันแม่
ครูหมอลำดัง อย่าง พ่ออินตา บุตรทา หรือ อินตาไทยราษฎร์ ตำนานลำกลอนสังวาสขอนแก่น ในช่วงพีคสุด ท่านมีลูกศิษย์กว่า 500 คน ในยุคเฟื่องฟู ครูลำคนอื่นๆ ก็ประมาณนี้
ผู้เป็นครูต้องบริหารจัดการภายในสำนักชนิดทุ่มเทสุดชีวิตทีเดียว บรรดาระเบียบวินัย แม้กฎเหล็ก ก็ต้องวางกัน ส่วนศิษย์ก็จะต้องหมั่นเอาใจใส่ฝึกฝนเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของผู้เป็นครู
ปัญหาสำคัญหรือปัญหาหนักอกของทุกสำนัก คือ 1) ปัญหาการเลี้ยงดูฝูงลิงในวัยกำลังกินกำลังนอน และ 2) การควบคุมโคถึกที่คึกพิโรธ ก็ไอ้หนุ่ม อีสาว ในวัยเจริญพันธุ์ที่ถูกขังรวมไว้ในที่เดียวกัน นั่นเอง
ปัญหาอันหลังนั้น มันมิต่างอะไรกับกอดลูกระเบิดไว้กับอก!!
ปัญหาการเลี้ยงดู ครูแก้ไขด้วยการนำเงินค่าจ้างที่ไปแสดงลำ มาซื้อที่นาไว้มากๆ และซื้อวัวควายไว้เป็นฝูงๆ แล้วก็ใช้แรงงานลูกศิษย์ นี่แหละ คราดไถ ปักดำ เก็บเกี่ยว เพื่อเลี้ยงดู เพราะทุกคนล้วนมาจากครอบครัวชาวนา
ว่ากันว่า ครูหมอลำที่ดังๆ ลูกเต้าทำนากันไม่เป็น ทั้งๆ ที่มีที่นาจำนวนมาก เหตุก็เพราะลูกศิษย์ของพ่อรับภาระทั้งหมด เช่น กรณี เฉลิมชัย ศรีฤๅชา ลูกชายครูหมอลำ ที่จบการศึกษาถึงชั้น ม.6 ขณะที่ลูกชาวบ้านจบแค่ ป.4 มีพี่น้องรวมเกือบสิบ แต่ทำนาไม่เป็นซักคน และเขาคือ นักร้อง-นักแต่งเพลงรำวง/ลูกทุ่ง เจ้าของเพลง เบิ่งโขง และเป็นผู้ปิดทองหลังพระ และค้ำบัลลังก์ ให้กับ... ราชาเพลงลูกทุ่ง สุรพล สมบัติเจริญ
ส่วนปัญหาชู้สาว ครูต้องวางกฎเหล็ก และใช้จริยธรรมในพระพุทธศาสนาเข้าควบคุม บรรดาหมอลำที่ผ่านสำนักลำจึงเป็นผู้มีระเบียบวินัย และจริยวัตรอันงดงาม
หากนำหมอลำไปปะปนกับคนทั่วไป ความโดดเด่นย่อมฟ้องให้รู้ว่า นี่คือหมอลำ มิใช่ชาวบ้านธรรมดา และลักษณะพิเศษนี้ จะติดตัวผู้นั้นไปจนวันตาย
บรรดาคำกลอนที่กลั่นจากคัมภีร์สูงสุดในพุทธศาสนาที่หมอลำใช้ ท่อง นานวันเข้าก็ซึมซาบอาบจิตใจ แม้ผู้มีจิตใจหยาบกระด้าง ก็อ่อนโยนนุ่มนวลได้ เมื่อได้ชื่อว่าเป็น หมอลำ
ทั้งนี้เพราะ หมอลำต้องเข้าคอร์สกันเป็นปีๆ มิใช่เข้าเก็บตัวใน academy ให้ candid video จับความเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ แม้แต่เข้าห้องน้ำ ถ่ายทอดให้คนดู ไม่กี่วัน ก็ออกมาให้บรรดา FC ยกป้ายไฟชูหางให้เป็นศิลปินอย่างทุกวันนี้
ดังนั้น การที่มีผู้ตอบโต้วัฒนธรรมต่างถิ่น ด้วยการคิดค้น "ลำกลอนประยุกต์" ขึ้นโต้ตอบดิสโก้ ของหมอลำสุนทร-ราตรี จนประสบความสำเร็จอย่างงดงามนั้น สำหรับหมอลำที่ผ่านการเคี่ยวกรำจากสำนักลำ จึงไม่มีปัญหา
เพราะกลอนลำเต้ย ถือว่าเป็นทำนองลำที่ฝึกฝนไว้สำหรับแทรกลำทางสั้น ซึ่งเป็นทำนองลำหลักในการลำกลอนอยู่แล้ว การลำเต้ยจึงเป็น "ของตาย"
เมื่อกระแสลำกลอนประยุกต์ฟดฟื้นพุ่งสู่ความนิยมของแฟนๆ หมอลำทุกคน ทุกสำนักจึงได้รับอานิสงส์ไปด้วย แล้วหมอลำทุกคน ทุกสำนักจึงกลับมามีงานแสดงกันจนถ้วนทั่ว
ความนิยมในหมอลำกลอนแบบดั้งเดิมก็พลอยดีวันดีคืนไปด้วย เพราะฟังลำกลอนประยุกต์แล้ว มันมีแต่สนุกสนาน หาแก่นสารมิได้ จึงมีคนหวนคิดถึงมรดกเก่า คือลำกลอน และว่าจ้างไปแสดง หลังจากซบเซาด้วยพิษดิสโก้มานานปี
แต่... ลำกลอนประยุกต์รุ่งเรืองได้ไม่น่าจะเกิน 5 ปี ด้วยมีปรากฏการณ์ใหม่แทรกซ้อนขึ้น สิ่งนั้นคือ หมอลำซิ่ง...
ที่บอกว่าไม่เกิน 5 ปี เพราะลำกลอนประยุกต์เริ่มปี พ.ศ. 2529 ในราวๆ พ.ศ. 2530 ต้นๆ น่าจะเป็น ปี 2532
ปีนั้น ผมได้ไปที่แห่งหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้ ทำให้ผมได้พบปฏิกิริยาของผู้ต่อต้าน "ลำซิ่ง" เป็นครั้งแรก และเป็นการต่อต้านชนิดหัวเด็ดตีนขาดก็อยู่ร่วมโลกกับลำซิ่งไม่ได้
ผมอยากแชร์ประสบการณ์ที่มิอาจลืมได้
ที่แห่งนั้นเป็นที่มหัศจรรย์พันลึกยิ่ง
ที่แห่งที่ว่า ไม่ใช่ที่อันห่างไกล หรือเป็นแดนสนธยา หรือเป็นไพรพิศวงใดๆ เลย เพราะมันอยู่ที่ ซอยสายลม ถนนพหลโยธิน ก็แถวๆ สะพานควาย กทม. นี่เอง
แต่สิ่งมหัศจรรย์ที่ว่า คือ ในซอยสายลม ซึ่งปัจจุบันจะเรียกว่า ใจกลางกรุงเทพฯ คงไม่ถึงกับกระดากปากนัก เพราะชานกรุง มันจะกินแดนถึงสระบุรีอยู่รอมร่อแล้ว
สิ่งนี้ไม่รู้จะเรียกว่ากระไร จึงจะสมกับความใหญ่โตของมัน จะเรียกบ้านก็ใหญ่เกิน จะเรียกตึกก็ไม่ถนัด เพราะรูปทรงทางสถาปัตย์เป็นเหมือนบ้านกำนันตามชนบท แล้วมันก็สูงเอามากๆ สำหรับบ้านไม้ทั้งหลัง
ที่ใต้ถุนมีการกั้นห้องพักได้เป็นสิบๆ ห้อง
ผมเดินเข้าไปในบ้าน หรืออาคาร หรือตึกที่ว่าอย่างตื่นตาตื่นใจกับความพิลึกพิลั่นของมัน ถ้ามันตั้งอยู่เชียงใหม่ อุบลฯ หรือ สุพรรณบุรี ผมคงไม่ตื่นเต้นขนาดนั้น เมื่อเข้าไปอยู่ที่ใต้ถุน ก็ยิ่งวังเวง ดีที่แว่บไปเห็นสิ่งที่พาดตากที่ราวผ้า คือ ผ้าขะม้า ทำให้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง
สักพักก็มีเสียงแคนแล่นแตรๆๆๆ แว่วทักทายมาอีก และเมื่อก้าวต่อไปก็ได้ยินเสียง ...โอละนอ....
เจ้าของบ้านยักษ์หลังนี้ คือ พ่อสุนทร อภิสุนทรางกูร ลูกโคราช ทำงานที่กรมโฆษณาการ แล้วรู้สึกว่า คนกรุงเทพฯ เขามี วงสุนทราภรณ์ ทำไมคนอืสานจะมี สิ่งบำเรอจิตใจกับเขาบ้างไม่ได้
อดีตทหารผ่านศึกเชียงตุง ก็จึงตั้งคณะขึ้น โดยใช้บ้านของตัวเองเป็นที่พักของชาวคณะ เจ้าบัานยักษ์หลังนี้ก็จึงเป็น...บ้านพักหมอลำ คณะสุนทราภิรมย์ คณะลำกลอนหนึ่งเดียวใน กทม.

 


 

 

                                                                                      

                                                                                                                                     

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
 
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (12)
 
ผมมิอาจล่วงรู้ได้ดอกว่า การทำงานอยู่ท่ามกลางชาวกรุงในกรมโฆษณาการ ในสมัยที่ยังไม่เปลี่ยนชื่อเป็น กรมประชาสัมพันธ์ อย่างทุกวันนี้ ลูกอีสานอย่าง พ่อสุนทร อภิสุนทรางกูร ต้องประสบกับการดูถูกดูแคลนอย่างไรบ้าง
และไม่รู้อีกเช่นกันว่า คนอีสานในยุคนั้นจะคิดถึงบ้าน หรือมีความห่วงหาอาลัยบ้านเกิดกันอย่างไร... เพียงไหน?
สิ่งที่ผมรับรู้และได้เห็นได้ยิน คือ ในห้วงทศวรรษที่ 20 ในช่วงที่ผมเข้า กทม. และได้รับโอกาสจากมูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท (มยช.) ให้เป็นบรรณาธิการ นิตยสารเล็กๆ ฉบับหนึ่ง คือ คนพลัดถิ่น นั้น ผมเห็นการดูถูกเหยียดหยามคนอีสานอย่างหนักหน่วง จากคนกรุงเทพฯ และคนจังหวัดอื่นๆ ที่อพยพเข้า กทม. เช่นกัน
และยังได้เก็บรับ-รับรู้ถึงความคับแค้นใจของคนที่ถูกเหยียดหยาม ก็คือคนอีสาน นั่นแหละ
ผมได้เห็นปฏิกิริยาตอบโต้นานัปการของคนอีสาน ซึ่งตอนนั้น ผมประมวลได้ 3 วิธี คือ
1) วิธีรุนแรง มึงด่ากู กูก็เตะปากมึง
2) วิธีก้มหน้ารับกรรม หลีกหนีให้ห่าง
3) วิธีมุ่งมั่นสร้างเสริมศักยภาพตัวเอง เอาความเหยียดหยามเกลียดชังแปรเป็นพลัง
แล้วผมก็สรุปกับตัวเองว่า ทั้งสามวิธี ไม่มีอะไรผิดหรือถูก มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์
แต่ที่แน่ๆ คือไม่มีใคร หรือองค์กรใดจะช่วยชี้แจง ทำความเข้าใจ และแก้ไขปัญหานี้
กับคนที่พอมีสถานะทางสังคม หรือผู้อยู่ในที่ๆ แวดล้อมด้วยผู้มีการศึกษา หรือกัลยาณมิตรนั้น ไม่สู้กระไรนัก ก็โชคดีไป
แต่สำหรับผู้ที่ต้องคลุกคลีอยู่กับคนธรรมดา หาเช้ากินค่ำ โรงงานห้องแถว บ้านผู้ดีแปดสาแหรก ซึ่งเป็นคนอีสานส่วนใหญ่ คนเหล่านี้ ต้องพบชะตากรรมหนักหน่วงถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตเลยก็มี
นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง พากเพียร ก้มหน้าหาเงินส่งตัวเอง ด้วยการสมัครเป็นคนสวนในบ้านทูต ถูกภริยา ฯพณฯ ท่านจิกหัวด่าแต่เช้าจรดเย็น ลามปามถึงขั้นด่าถึงกำพืด "ไอ้ลาว" ครั้งเดียวทนได้ แต่ทุกวัน...ไม่ไหว สุดท้ายก็ใช้มีดทำสวนปาดคอผู้ดี จนเสียชีวิต ตัวเองต้องคำพิพพากษา ให้จำคุกตลอดชีวิต ป่านนี้ยังไม่รู้ข่าวอดีตนักศึกษาคนนั้น
อีกซักกรณี อย่าหาว่าฟื้นฝอยหาตะเข็บเลย
คนรับใช้ ผู้หญิง ถูกคนขับรถนายจ้างคนเดียวกันเพียรจีบ เมื่อเด็กสาวไม่สนใจก็ด่า
"อีบักเสี่ยว กูจีบก็บุญหัวมึงเท่าไหร่แล้ว อย่าเล่นตัวนักเลย"
และชายผู้นั้นคงจะด่าอีกหลายต่อหลายคำ หากไม่ถูกอีบักเสี่ยว ที่วิ่งเข้าห้องนอนนายจ้าง คว้า .38 ยิงปากเข้าเสียก่อน ผลลัพธ์ ถูกศาลพิพากษาให้จำคุก 2 ปี (นัดละปี) แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา
และก็ให้บังเอิญ ทั้งสองคดีล้วนเกิดกับคนอุดรบ้านผม
และยังมีโศกนาฏกรรม อันมีสาเหตุมาจากสิ่งที่ผมเรียกว่า "อคติประจำชาติ" อีกมากมายนัก
ความรุนแรงในกรณีนี้ดูเหมือนจะค่อยๆ ทุเลาลง เมื่อศูนย์กลางของความขัดแย้ง คือ กทม. ถูกแหล่งงานอื่นแย่งตำแหน่งไป คนอีสานรุ่นหลังๆ ตั้งแต่ปี 2528 คือหลังการเปิดนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ภายใต้โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด
นับแต่นั้น กทม. ก็มิใช่ศูนย์กลางของการเคลื่อนย้ายแรงงานอีกต่อไป เลยพลอยทำให้การดูถูกเหยียดหยามคนอีสานพลอยจืดจางลงไปด้วย
แต่ในยุคของท่าน พ่อสุนทร คงหนักหนาเอาการ แต่ท่านเลือกแก้ไขปัญหาด้วยวิธีที่ 3 คือ มุสร้างตนเอง แล้วก็ให้อัศจรรย์ใจ ที่ท่านคนเดียวสามารถฟันฝ่าอุปสรรคนานา ด้วยการก่อตั้งสำนักงานหมอลำขึ้นที่ใจกลาง กทม. แถมมีรายการวิทยุแพร่ออกอากาศ ด้วยเครื่องส่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศ คือ ทางสถานีวิทยุของกรมโฆษณาการ
และแม้กรมจะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนผู้บริหารไม่รู้กี่คนต่อกี่คน รายการท่านก็ยังยืนยง ยืนท้าทายแดดลมอยู่ได้
ปัจจุบัน ผมหนีไทยมาโดนแล้ว เลยไม่รู้ข่าวคราวของท่าน และรายการของท่าน
รายการของท่านเป็นรายการหมอลำกลอน รูปแบบตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ผมไม่ได้ฟัง ยังเหมียนเดิมทุกประการ คือ เปิดรายการด้วยการเว้าลาว ด้วยเสียงแบบที่เราเรียกว่า "เสียงหมุ่มๆ" คือเสียงทุ้มต่ำ พูดไปเรื่อยๆ เหมือนๆ เดิมทุกๆ วัน เหมือนเอาเทปมาเปิด
กลอนแรก เป็น ลำทางสั้น ของฝ่ายชาย กลอนที่ 2 เป็นลำทางสั้นของฝ่ายหญิง แล้วจบรายการด้วย ลำทางยาว หรือลำลา ของทั้งหญิงและชาย... จบรายการ
เป็นอยู่แบบนั้นนับปี นับสิบๆ ปี แต่คนอีสานก็ตะบันฟังกันได้ทุกวัน เพราะฟังแล้วมันชุ่มชื่นในหัวจิต มันตอบทุกคำถามอันคับแค้นในใจให้สร่างหาย ได้ฟังแล้ว "ส่วงวะ"
ผมอาศัยฟังรายการของท่านจากวิทยุของสามล้อ หรือตุ๊กๆ ซึ่งมีชุกชุมในซอยสุคันธาราม อ.ดุสิต คือไม่อยากฟังก็ต้องฟัง เพราะพวกเปิดลั่นซอย
แล้วที่สุด... ร็อคเกอร์ (ปลอมๆ) ก็หันเปลี่ยนจิตใจมารักหมอลำ รักผญา รักศิลปะทุกแขนงของอีสาน รักชีวิตที่เหม็นสาบ รักคนต่ำต้อยด้อยโอกาสในสังคม โดยไม่ต้องอ่านสรรนิพนธ์ใดๆ
ก็คงจะด้วยความยากลำบากในการฟันฝ่า เพื่อให้คนอีสานได้มีที่ยืน ท่ามกลางฝูงหงส์ คงจะด้วยหัวใจที่แกร่งดุจเพชรที่ยอมเหนื่อยยาก เพื่อให้ศิลปะค่าควรเมืองอย่างหมอลำ ให้ยืนหยัดทายท้ารสนิยมของลูกอีสาน คงจะด้วยความตั้งใจจริง และการกระทำอันเอกอุนี้ เมื่อได้เห็นลูกหลานอีสานใช้เท้าขยี้ศิลปะหมอลำต่อหน้าต่อตา ด้วยรูปแบบการแสดงที่เรียกว่า "หมอลำซิ่ง" ท่านก็จึงเปล่งวาจา ... ขอต่อต้านลำซิ่งจนชีวิตจะหาไม่...
วันนั้น ผมกราบลาท่านด้วยความสงสัยว่า ลำซิ่ง มันก่อกรรมทำเข็ญกับศิลปะอีสานถึงขนาดผู้อาวุโสต้องเอาชีวิตเข้าแลกเลยหรือ?
เพราะช่วงนั้น ลำซิ่งยังเป็นเพียงหน่ออ่อน เพิ่งแทรกผืนดินแค่ปลายยอด และผมก็ยังไม่เคยฟังลำซิ่งเลย
ผมตะกายบันไดอันสูงลิ่วเหมือนลงหอระฆัง พอถึงพื้นเลยลองแวะทักทายบรรดาหมอลำลูกศิษย์ของท่าน
พวกหมอลำกำลังฝึกซ้อมฝีปากกัน บ้างก็จับคู่ซ้อมอยู่ในห้องพัก บ้างอยู่นอกห้อง หลายๆ คู่ซ้อมกันกลางสนามหน้าบ้าน
ทุกคู่กำลังลำเต้ยเกี้ยวกัน ผลัดกันไปมา ผมยืนฟังตั้งนาน ยังไม่มีคู่ไหนเปลี่ยนทาง หรือเปลี่ยนทำนองลำไปเป็นลำทางสั้น ทางยาว ตามแบบลำกลอน
ลองเลียบเคียงถามคู่ที่กำลังพักเหนื่อย ถามว่า พวกน้ากำลังฝึกซ้อมลำอะไรกันอยู่...
สิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินเพียงชั่วระยะเวลาไม่ถึง 20 นาทีที่คุยกับเจ้าสำนักลำแห่งนี้ คือ
"พวกเฮากำลังฝึกลำซิ่งกันตั้วหล้า โตบ่เคยฟังลำซิ่งบ่ กำลังฮิตตั้ว" (พวกเรากำลังฝึกลำซิ่งกันไอ้หนู ไม่เคยฟังรึไง เขากำลังฮิตกัน)
ผมไม่ได้ฟอร์ม เพื่อจบบทนี้ด้วยการจบแบบหักมุม ผมไม่จำเป็นต้องหักรานน้ำใจผู้เฒ่าถึงขนาดนั้น แต่มันคือเรื่องจริง
เราลำกลอนธรรมดา มันก็พอมีคนจ้าง แต่ถ้าเป็นลำซิ่ง... รับงานไม่หวาดไม่ไหว...
ผมขอบคุณตัวเองที่ไม่ตะกายบันไดกลับไปฟ้องพ่อสุนทรในวันนั้น เพราะถ้าทำแบบนั้น ถ้าคณะหมอลำที่ก่อตั้งมาหลายปีด้วยความเหนื่อยยากคณะนี้ไม่แตก
ท่านเจ้าสำนักก็อาจหัวใจวาย...
เพราะศัตรูของท่านมันอยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง!!
 

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K

ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (13)


การคลี่คลายกลายพันธุ์ของ "ลำกลอนประยุกต์" มาเป็น "ลำซิ่ง"
มันเริ่มเมื่อใด ที่ไหน โดยใคร เพราะเหตุใด นั่นเป็นคำถาม (ของผม) แต่เปลี่ยนอย่างไร แบบไหนนั้น... ผมพอรู้
เพราะระหว่างทาง ขอนแก่น-เลย ช่วงถนนขับลำบากสุด เพราะทางคดโค้ง และแคบเพียง 2 เลน ขับผ่านเป็นปีเป็นชาติ ไม่เคยเว้นว่างจากลำซิ่งเลย ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีบ้านคนสักหลัง แต่ก็อย่างว่า เขาไม่ได้เล่นให้คนดู เขาเล่นให้ "เจ้าพ่อหลุบ" ดู นัยว่าท่านเก่งทางให้โชคให้ลาภ เพื่อแลกกับการดูลำซิ่ง
ผมสงสัยมานานแล้วว่า รู้ได้ยังไงว่าท่านชอบลำซิ่ง และดูเหมือนว่า รสนิยมของสิ่งเหนือธรรมชาติ คือ บรรดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง รวมทั้งเจ้ามือในภาคอีสาน รู้สึกทุกเจ้า ต่างก็ชื่นชอบลำซิ่งด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่เจ้าพ่อพญาขอม อันเป็นขวัญบ้านขวัญเมืองของพวกเราชาวทุ่งหนองหาน ก็พลอยเป็นกับเขาด้วย
กินเหล้าไหไก่ตัว แกล้มกระเด้งปนสาบเหงื่อของลำซิ่ง ผมว่า มันไม่น่าจะใช่รสนิยมของผู้เป็นใหญ่ ผู้ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่คุ้มครองชาวบ้านให้อยู่รอดปลอดภัย ตั้งแต่ยุคจงอางศึก กองพลเสือดำ ที่ชายฉกรรจ์ชาวบ้านแห่ไปรบรับจ้าง เสี่ยงชีวิตแลกเศษเงินของฝรั่ง โดยลูกหนองหานไม่มีใครตายในสมรภูมิเลยซักคน เชื่อกันว่า เป็นเพราะบารมีของท่านเจ้าพ่อพญาขอม
ให้ตาย...ผมก็ไม่เชื่อ ว่า ผู้ที่ชาวบ้านกราบไหว้ฝากผีฝากไข้จะมีรสนิยมแบบนั้น
ที่จริง เรื่องปัญหาการกลายพันธุ์มาเป็นลำซิ่ง ในยุคนี้ ถ้าอยากรู้จริงๆ ก็ไม่ยากเลย เพียงกดโทรศัพท์ถามอากู๋อาเฮียอย่าง Google หรืออีหมวยวิ - Wikipedia หรือแม้แต่จะกด video call ไปถามโดยตรงกับ ดร.ราตรี บงสิทธิพร หรือ แม่ราตรี ศรีวิไล ผมก็ไม่ต้องมานั่งคิดนั่งเดาอยู่แบบนี้
เพราะผมกับแม่ราตรี จะว่าสนิทก็พอสมควร เพราะทุกครั้งที่ท่านแนะนำผมกับคนรู้จัก หรือแม้แต่กับบุคลากรทางการลำ ท่านมักแนะนำตัวผมว่า .... เนี่ยะ คนหัวยุ่งๆ เนี่ย ชื่อนนท์ หมู่เดียวกัน...
คือช่วงหนึ่งผมไปอยู่ ตำบลขามเรียง อ.เมือง มหาสารคาม บังเอิญอยู่หมู่เดียวกันกับท่าน ก็เท่านั้นแหละ (หมู่ คือ เพื่อน ในภาษาเราๆ)
ตั้งแต่แซยิด (ครั้งแรก) คือ 60 ปีมานี่ ผมคิดอยากพิสูจน์ตัวเองว่า อันตัวข้าพเจ้า กินข้าวมาก็หลายกระบุงเกวียน แถมปิซซ่าอีกไม่รู้กี่ถาด ทั้งเนื้อทั้งตัวมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พอที่จะโม้ให้เพื่อนฝูง หรือลูกๆ หลานๆ ด้วยตัวของตัวเองได้บ้างไหม?
หรือดีแต่...เอะอะอะไรก็กดถามอากู๋อาเฮียตะบัน ถ้าเป็นแบบนั้น สงกรานต์ปีหน้า เมื่อโควิดผ่านไป เด็กๆ มันคงพากันรดน้ำดำหัวให้ Google, YouTube ไม่เห็นหัวหงอกๆ ยุ่งๆ นี้แน่
ในช่วงเปลี่ยนถ่าน เอ๊ย ..ช่วงเปลี่ยนผ่าน (transitional period) จากลำกลอนประยุกต์มาเป็นลำซิ่ง ผมรู้สึกว่า มันมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ... หรือไม่ ผมก็คงหมกมุ่นอยู่กับ "โอ้นโต้นรุ่งลำเพลิน" จนโงหัวไม่ขึ้น เพราะใน กทม. เวลานั้น ป้ายโฆษณาคณะลำเพลินคณะนี้ มันติดอยู่ทุกเสาไฟฟ้า
ฟังชื่อแล้วมันยั่วยวนเกินห้ามใจ
ผมคิดของผมเองว่า การได้ชื่อว่า "ลำซิ่ง" อาจมาจากกรุงเทพฯ หรือไม่ก็ใกล้ๆ กทม. นี่แหละ และก็คงเปลี่ยนโดยพวกนักจัดงาน (entertainment promoters) และถ้าความคิดของผมถูกต้อง ก็คงจะเปลี่ยนกันแถวๆ ย่านอุตสาหกรรมชานเมือง คือ นวนคร - นิคมอุตสาหกรรมนวนคร ย่านบางขัน ปทุมธานี
เหตุผล คือ ย่านนี้เป็นที่รวมของแรงงานที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของผู้จัดงาน ชัดเจนที่สุด ตรงตัวที่สุด ในวันหยุด ที่นี่เป็นเหมือนสวนสนุกและงานมหกรรม
บรรดาสิ่งบันเทิงเริงรมย์ คณะดังๆ ล้วนแจ้งเกิดที่นี่ วาเลนไทน์ คณะเต้นแหกแข้งแหกขา ก็แจ้งเกิดที่นี่
ก็แล้วทำไม ลำซิ่งจะพลาดโอกาสทองเช่นนี้ ในเมื่อจำนวนคนงานอีสานครองแชมป์ทุกนิคมฯ อยู่แล้ว
เบื้องหลังของการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะและวัฒนธรรม มักมีธุรกิจเป็นตัวชักใยเสมอ วัตถุกำหนดจิตใจ... วาทกรรมนี้ถูกต้องแล้ว
ผมมิใช่หมอลำ เป็นเพียงมิตรหมอแคน แฟน (นางเอก) หมอลำ แต่ขอบังอาจวิจารณ์หมอลำ ....ขอท่านผู้รู้โปรดชี้แนะด้วย
จุดอ่อนของวงการหมอลำ เวลาที่ซวนเซจะไปมิไปแหล่นั้น เท่าที่สังเกต ... แท้จริงแล้ว มันมิใช่ปัญหาจากภายนอกเลย ... ดิสก้งดิสโก้น่ะ มันปลายเหตุ ปัญหาต้นตอ คือ ตัวหมอลำ นั่นเอง
ทำไมผมต้องพูดเรื่องเป็นลบกับหมอลำเช่นนี้ คือ ผมจะชี้ว่า การเกิดลำซิ่ง มันเกิดมาจากปัญหาของหมอลำ และที่ลำซิ่งยืนกระเด้งต่อหน้าพระหน้าเจ้าแบบไม่อายฟ้าดินอยู่ทุกวันนี้ได้ ก็มาจากตัวหมอลำ ไม่มีใครเอาปืนจี้ให้ทำลามกเยี่ยงนั้น
ฟังผมให้จบ แล้วค่อยมาพิพากษาโทษ ผมไม่หนีไปไหน!!
ข้ออ่อนด้อยในตัวหมอลำ มีอยู่ 2 ประการ (ที่สำคัญๆ) คือ
1) ความอ่อนด้อยทางด้านเศรษฐกิจ
2) ความอ่อนด้อยทางด้านมโนธรรมสำนึก
สำหรับข้อ 1 หลายท่านอาจเห็นด้วย แต่ข้อ 2 นี่ ... มันเกินจะรับ ใครๆ ก็รู้ว่า หมอลำยืนอยู่แถวหน้าด้านมโนธรรมสำนึก ฟังก่อน...
ข้อ 1 ความอ่อนด้อยทางเศรษฐกิจ หมอลำ อาจหมายรวมถึงทุกประเภทของหมอลำ ล้วนก้าวมาจากอาชีพชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นอาชีพที่มีฐานะยากจนเป็นพื้นฐาน ผู้ที่เป็นหมอลำ ได้แก่ผู้ที่มีหัวใจรักการแสดงเป็นทุนเดิม จึงตัดสินใจก้าวตามฝัน แต่กว่าจะมีชื่อเสียงพอมีงาน ลืมตาอ้าปากได้ อายุก็ปาเข้าวัยกลางคน ค่อนไปทางมีอายุ แล้วพอจะตั้งคณะ สำหรับหมอลำหมู่และลำเพลิน ก็ต้องใช้ทุนดำเนินการ ตั้งคณะได้แล้ว ถ้าประสบความสำเร็จ มีคนจ้าง มีคิวจองข้ามปี ก็ถือว่าโชคดีไป
แต่ถึงจะประสบความสำเร็จ ก็ต้องแบกภาระชาวคณะ ยิ่งต้องแข่งขันประชันความยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งในเชิงขนาดและปริมาณ ชนิดหมอลำเป็นร้อย คอนวอยเป็นสิบๆ คัน หางเครื่อง 200 ขึ้น แค่กินข้าวกันวันละ 4-5 กระสอบ ก็พอมองเห็นอนาคตได้ว่า งานขาดเมื่อไหร่ แล้วเธอจะรู้สึก งานจะขาดช่วงไม่ได้ ต้องมีงานหล่อเลี้ยงตลอด
ที่เห็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่โต ใหญ่กว่าสำนักงาน บขส. จังหวัด มีรถบัส รถคอนวอย ห้องพักลูกวง ที่ตัดเย็บชุดแสดง ห้องซ้อมการแสดง คนภายนอกเห็นแล้วตื่นตาตื่นใจ พากันร้อง โอ้...หมอลำยุคนี้ช่างหรูหราฟู่ฟ่าเหลือเกิน ต่างจากสมัยก่อนลิบลับ
แต่เบื้องหลัง หัวหน้าคณะต่างก็อกไหม้ ปากอมเลือดกันทั้งนั้น
อย่าหาว่าผมมาขายหน้าท่านเลย ที่ผมทำไปนี่ก็เพื่อให้สรุปบทเรียน แล้ววางบาทก้าว เพื่อจะได้ให้ความสุข และธำรงศิลปะค่าควรเมืองนี้ต่อไป
เผื่อว่าผู้ฟัง ซึ่งก็ล้วนเป็นเลือดอีสาน จะช่วยอุ้มชูกันอย่างไร ก็ควรเข้าใจปัญหาของผู้ให้ความสุข คือหมอลำบ้าง ไม่ใช่ขอเต้ยโศก ม่วนหน้าฮ้านมันลูกเดียว
เชื่อหรือไม่ เบื้องหลังความใหญ่โตอลังการของสถานที่ตั้งของหมอลำคณะดัง มาจากความเมตตาของ "หลวงพ่อ" ผู้บันดาลโชคลาภ หาใช่เงินค่าจ้างของเจ้าภาพไม่!!
เงินค่าจ้างเป็นได้เพียงค่าเลี้ยงดูชาวคณะไปวันๆ
ยังดีที่หลายคณะมีลูกมีหลาน ได้ร่ำได้เรียน และใช้วิชาความรู้สมัยใหม่มาพัฒนาคณะให้เท่าทันความเจริญทางเทคโนโลยีและการบริหารธุรกิจแบบใหม่
แต่จะยืนระยะได้แค่ไหน ชาวอีสานต้องช่วยเอาใจเชียร์
นั่นคือสภาพที่แท้จริงของหมอลำคณะดัง แล้วคณะที่ล้มเหลวล่ะ ... อย่าให้บรรยายเลย
ลำกลอน คือ หมอลำที่ไม่มีภาระมากเท่าหมอลำประเภทที่มีรูปแบบเป็นคณะ แต่ทุกวันนี้ องค์ประกอบที่เพิ่มดนตรี เพิ่มหางเครื่องเข้าไป ก็น้องๆ หมอลำหมู่นั่นแหละเรื่องค่าใช้จ่าย แม้จะย่อมเยาลงมาหน่อย ก็ตาม
"ลำได้ไฮ่ได้นา" นั่นมันหมอลำกลอนยุคก่อน ซึ่งเป็นความหลังไปแล้ว...
เมื่อภาระของหมอลำมีมาก และฐานะทางการเงินของหมอลำโดยรวม ยังง่อนแง่นอยู่แบบนี้ ก็จึงเป็นช่องทางของนักฉวยโอกาส...
ในช่วงซัก 10 ปีหรือกว่านิดหน่อย เป็นช่วงก่อนที่เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร กำลังจะก้าวออกจากยุคอนาล็อกสู่ยุคดิจิตอล ได้มีนววัตกรรมที่เรียกว่า หนังแผ่น หรือ วีซีดี (VCD - Video Compact Disc) ได้มีการถ่ายทำและบันทึกการแสดงของสาขาศิลปะการแสดงทุกประเภท ชนิดผลิตกันเป็นบ้าเป็นหลัง นัยว่า สามารถลดค่าใช้จ่ายในการถ่ายทำได้ครึ่งต่อครึ่งของการผลิตแบบเดิม
แบบเดิมถ่ายด้วยกล้อง U-matic, กล้อง Beta และตัดต่อด้วยระบบ A-vid ก่อนจะถึงยุคตัดต่อด้วย DVD นั้นยุ่งยาก เสียค่าใช้จ่ายมาก ทั้งช่วง production คือช่วงถ่ายทำ และช่วง post production หรือช่วงหลังถ่ายทำ เช่น ตัดต่อ ลงเสียง ลงดนตรี มันยุ่งยาก
แต่ภายหลังมีโปรแกรมคอม ที่ทำให้การทำงานง่ายขึ้น ราคาการผลิตก็ถูกลง จึงเป็นยุคทองของยุควีซีดี
ยุคนี้มีการปั๊มแผ่นขาย จนทุกวันนี้ยังขายกันไม่หมดเลย
และในจำนวนสินค้าในรูป VCD ก็คือ ลำซิ่ง
พวกพ่อค้า นักลงทุนเห็นลำซิ่งเป็นเพียงสินค้าชิ้นหนึ่ง เป็นอาหารอันโอชะ และในยุควีซีดีนี่เอง ที่นายทุนบงการด้วยอำนาจเงิน ข่มขืนใจให้ หมอลำ ศิลปะค่าควรเมือง กลายเป็นนางงามเมือง แสดงบทบาทลีลาไม่ต่างจ้ำบ๊ะ เมียงู อะโกโก้ โคโยตี้ และเข้าใกล้ fucking show แถวพัทยาเข้าไปทุกที
ไม่เชื่อลองขุดค้นแผ่นVCD เก่าๆ มาดูกันเอาเอง ... อย่าลืม ชวนผมด้วย

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (14)
 
เมื่อมีสื่อ คือ VCD ใส่ชื่อการแสดงที่กลายมาจาก ลำกลอนประยุกต์ ว่า "ลำซิ่ง" ลงในแผ่น แล้วกระจายไปทั่วประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคอีสาน คำว่า ลำซิ่งก็ติดลมบน เกินจะกู่ให้กลับ แม้คณะหมอลำของผู้ก่อตั้งลำกลอนประยุกต์อย่างแม่ราตรี ศรีวิไล ก็ต้องเปลี่ยนชื่อคณะเป็นลำซิ่งตามกระแส
นี่เป็นสาเหตุที่ผมทึกทักและเดาเอาว่า คำว่า "ลำซิ่ง" เกิดจากคนนอกวงการหมอลำเป็นผู้ตั้งชื่อ เพราะไม่มีทางเลยที่คนอยู่ในวงการ อยู่ในเส้นทางศิลปะแขนงนี้จะคิดผ่าเหล่า ถึงกับตั้งชื่อแบบนั้นได้
เพราะคำว่า "ซิ่ง" โดยสามัญสำนึก แม้มันจะออกไปทางแปลกใหม่ แต่ก็แปลกในทางลบ ไม่ได้เชิดชูศิลปะ หรือยกอาชีพของหมอลำให้สูงขึ้นเลย ตรงกันข้าม "ซิ่ง" อาจเป็นพาหะที่พาดิ่งลงเหว
ผมเชื่อของผมว่า หมอลำไม่มีทางตั้งชื่อให้ตัวเองแบบนั้นแน่นอน
ความอ่อนด้อยทางเศรษฐกิจของหมอลำนำมาซึ่งความเสียเปรียบในทุกยุคทุกสมัย หมอลำหากจะหาความมั่นคงในอาชีพจำเป็นต้องพึ่งพา แอบอิงองค์กรทางธุรกิจของพ่อค้า และเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
หมอลำเคยมี สมาคมหมอลำแห่งประเทศไทย เคยมีแม้กระทั่ง สหพันธ์สมาคมหมอลำแห่งประเทศไทย มีนายทองมาก จันทะลือ เป็นนายกฯ แต่ก็ง่อนแง่นเต็มที เพราะพอหมอลำมีองค์กรตัวแทนเป็นตัวเป็นตนขึ้นเมื่อใด ผู้ที่โผล่มาร่วมประชุมด้วยคือ สรรพากร
หน่วยงานนี้ไม่ได้ชำนิชำนาญ หรือมีความสามารถแต่การรีดเลือดเอากับปูเท่านั้น แม้แต่ "ลมปาก" ของหมอลำ หน่วยงานนี้ก็สามารถคิดคำนวณออกมาเป็นตัวเงิน เป็นรายได้พึงประเมินได้
ในที่สุด องค์กรหมอลำ ขึ้นต้นก็เห็นเป็นปล้องเป็นลำไม้ไผ่ แต่พอเหลาลงไป ก็กลายเป็นบ้องกัญชาทุกครั้งไป
ทั้งนี้ ไม่เฉพาะองค์กรใหญ่อย่างสหพันธ์ฯ แม้แต่หน่อเล็กๆ อย่างศูนย์ส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสานจังหวัดอุดรธานี ที่นำโดยหมอลำเทวี ฟ้าฮ่วน ก็เป็นได้เพียงองค์กรให้หน่วยราชมาจิกหัวเรียกใช้ให้ไปลำในงานทุ่งศรีเมืองเท่านั้น
อย่าว่าแต่จะพูดถึงเรื่องสวัสดิการในยามที่หมอลำเจ็บไข้หรือล้มตายเลย ค่าจ้างลำยังไม่เอ่ยถึงซ้ากก...คำ เพราะราชการถือว่า ดีเท่าไหร่แล้วที่ทางราชการมองเห็นคุณค่าของหมอลำ ที่เรียกใช้ และให้ร่วมมีส่วนช่วยราชการ
หมอลำลำจนปากเปียกปากแฉะได้แค่ค่าสามล้อกลับสำนักงาน .. อันนี้ ตัวหมอลำไม่ได้พูดเอง ผมพูดแทน แต่จะใครพูดมันก็เหมือนกัน
ตรงกันข้ามกับการสนับสนุนหรือการเป็นสปอนเซอร์ หรือเป็นผู้อุปถัมภ์หมอลำของฝ่ายพ่อค้า หรือเรียกให้ไพเราะหู คือ ภาคเอกชน กลับมีความมั่นคงยั่งยืน จนถึงกับเป็นตำนานเล่าขานเคียงคู่อาชีพหมอลำ และเป็นที่พึ่งพิงให้แก่หมอลำผ่านกาลเวลามายาวนาน เช่น การอุปถัมภ์หมอลำของบริษัท โอสถสภา (เต๊กเฮงหยู) หรือที่เจ้าภาพงานวัดรู้จักกันดี ในนาม "บ้านพักหมอลำทันใจ"
ด้วยความอ่อนด้อยทางเศรษฐกิจของหมอลำนี่เอง ที่ในระยะหลัง ภาคเอกชนก็เกาะหลัง แล้วสูบเอาผลกำไรจากหมอลำย่างน่าสะอิดสะเอียน
แท้จริงแล้ว บรรดาความอุจาด ความทุเรศ ลามก หนักหน่วงหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ หากแก้ผ้าแล้วไม่ผิดกฎหมาย คงทำกันไปแล้ว มีต้นตอมาจากภาคเอกชน จากการแสดงลำซิ่งในสื่อ "วีซีดี" มิได้เกิดจากตัวหมอลำ ผมหมายถึงในช่วงที่ลำกลอนประยุกต์กลายพันธุ์มาเป็นลำซิ่งช่วงต้นๆ
หมอลำเล่าให้ฟังถึงที่มาแห่งความอุจาดลามก ว่า เริ่มที่บริษัทผลิตวีซีดี มาว่าจ้างหมอลำซิ่ง ซึ่งขณะนั้น ตัวผู้แสดงหมอลำซิ่งยังเป็นหมอลำกลอนเก่า แต่ปรุงลำให้สนุกขึ้น เพื่อให้รับกับกระแสความนิยมลำซิ่ง แต่ยังเป็นหมอลำที่มีครู มีเชื้อแถวหมอลำ
โดยทางบริษัทว่าจ้างแบบเดียวกับเจ้าภาพงานวัด คือ จ้างเฉพาะตัวหมอลำกับหมอแคน โดยที่หมอลำเองก็ไม่รู้ว่าจะได้ลำประกบคู่กับใคร หรือในการถ่ายทำ ทางผู้ว่าจ้างจะเสริมการแสดงอย่างไร เพื่อให้วีซีดีน่าสนใจ
แม้ถึงหน้างานแล้ว หมอลำเองก็ยังไม่รู้ว่าจะให้ลำอย่างไร แค่เห็นเวที เห็นไฟกองถ่าย เห็น props (อุปกรณ์ประกอบฉาก) เห็นทีมงาน โปรดิวเซอร์ ช่างภาพ สวิทเชอร์ (switcher คนตัดสลับภาพ) สตาฟ ทีมงาน ความสับสนอลหม่านภายในกองถ่าย แค่นี้หมอลำก็ลายตา เกิดวิงเวียน คอยประคองตนให้ลำออกมาดี เพื่อไม่ให้เสียงานของผู้ว่าจ้าง เท่านั้น
แล้วผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ก็ถือสคริปต์ (shooting script - บทถ่ายทำ) เข้ามา แล้วความตะลึงลานของหมอลำก็เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เมื่อขบวนหางเครื่องเตรียมเข้าจุดบลอกกิ้ง (blocking) แต่ละนางล้วนสดสวยสคราญตา ในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย แม้จะเคยเห็นหางเครื่องมานักต่อนัก ก็ไม่วาบหวิวหวาดเสียวขนาดนี้
พอสิ้นเสียง ...แอ็คชั่น!!!
ทุกอย่างก็ลื่นไหลและเลยตามเลย
หมอลำก็ลำไปตามกลอนที่เตรียมไว้
ผมมีวีซีดีของหมอลำสมาน หงษา ชื่อนี้มิตรหมอแคนแฟนหมอลำต่างรู้กันดีว่า นี่คือหมอลำเพอะ (ลำสองแง่สองง่าม) ตัวพ่อเลย กลอน "ขุนกลม" "พี่อ้าย-น้องเมีย" ย่อมอธิบายสรรพคุณของท่านได้ดี
พ่อสมานก็คงประสบบรรยากาศดั่งที่ผมว่า...เมื่อเข้าสู่สังเวียน มีหรือหมอลำสมานจะยั้งมือในด้านเพอะ แต่เมื่อพบกับหางเครื่องที่เจ้าของวีซีดีจ้างมา โดยเน้นย้ำการแสดงกับพวกเธอให้แสดงสุดฝีมือตามที่นัดแนะไว้
บนเวทีในวีซีดี ผมเห็นหมอลำสมาน ตัวพ่อเรื่องพรรค์อย่างว่า ถูกกลุ่มหางเครื่องไล่ต้อน โดยแอ่นลงกับพื้นเวที พร้อมส่ายสะโพกเร่าๆ ยก "ของดี" ทำท่าเชิญชวน
สมาน หงษา แถวหน้าของกลอนลำเรื่องอย่างว่า ถึงกับเบือนหน้าหนี สีหน้าเจื่อนบอกบุญไม่รับ
ผมเห็นแล้วเข้าใจได้เลยว่า อันหมอลำนั้น ต่อให้เพอะสุดเพอะยังไงก็เป็นแค่การแสดงออกทางโวหาร ถึงปากจะร้องว่า "จก" "แหย่" หรือ "แทง" อย่างดีก็แค่ฟ้อนทำมือทำไม้สื่อไปเท่านั้น หาได้แสดงต่ำๆ อย่างที่กลอนพาไปไม่
เอาเข้าจริง การจะให้กระเด้งรับการร่อนของหางเครื่อง ก็เป็นเรื่องตะขิดตะขวงใจของผู้ที่ได้ชื่อว่า "หมอลำ" ไม่ว่าจะเป็นหมอลำระดับไหน หากได้ขึ้นอ้อยอครูแล้ว การจะทำลายศิลปะนั้นทำได้ยาก
หมอลำก็ดีแต่ปาก... เก่งกล้าก็แต่เล่นสำบัดสำนวน เจ้าโวหาร เจ้าบทเจ้ากลอน ไม่มีทางที่จะแสดงท่าสังวาสบนเวทีอันศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเด็ดขาด
ถึงผมไม่ได้เป็นหมอลำ ผมก็เข้าถึงจิตใจพวกท่านได้...
หมอลำอ่อนโยนพอที่จะไม่ทะลุกลางปล้อง วีนแตก ไม่พอใจก็โผงผางออกไป หรือปัดตูดเดินหนีให้คนจ้างเสียงาน
หรือเมื่อวีซีดีถ่ายทำ-ตัดต่อเสร็จ วางจำหน่าย เมื่อได้ดูภาพ ก็ประท้วง ประกาศความไม่พอใจ หรือกระทำด้วยประการอื่นใด อันจะทำให้ผู้คนได้รู้ ว่า ตนเองไม่พอใจการดำเนินงานผลิตของผู้ว่าจ้าง
และความสุภาพกลับเป็นความอ่อนด้อยประการหนึ่งของหมอลำ
 

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (15)
 
หากท่านสังเกตจะเห็นว่า หลังๆ นี้ หากเปรียบเป็นนักมวย ผมก็ประเภท แย็ปแล้ววนออก เด้งเชือก ตีกรรเชียงหนี แล้วก็ลากยาวจนถึงยก 15 ... ยังไม่มีท่าทีจะเข้าทำ แล้วปิดฉากเสียที ผมก็รำคาญผมเต็มที คือรำคาญตัวเอง (ยังไม่คิดจะตัดผมดอก)
เหตุก็เพราะ ผม (ดัน) บอกไปว่า ความอ่อนด้อยของหมอลำ มี 2 อย่าง คือทางด้านเศรษฐกิจ และด้านมโนธรรมสำนึก
ข้อ 1 ว่าไปแล้ว แต่ข้อ 2 นี่คิดหนัก จึงเด้งเชือกอู้ มองหาทางลงไปพลางๆ ที่จริงจะทำเล่นมุกแกล้งบ้า แบบ เทพ โพธิ์งาม คือ ผายสองมือ แล่บลิ้นปลิ้นตา แล้วบอก... ผมไม่รู้ ผมมันบ้า... แล้วเดินหนีไปเฉยๆ ก็น่าจะทำได้ เพราะที่เขียนนี่ก็เขียนฟรี ท่านก็อ่านฟรี จะเอาอะไรกันนักหนา
ถ้าจบแบบนั้น ผมก็คงจะได้รับคำชื่นชมจากหมอลำน้อยใหญ่ ... เพราะยอเอาไว้โขแล้วนี่
แต่ก็ด้วยมโนธรรมสำนึกนี่แหละ ที่ทำให้ทำไม่ได้ ...
ผมจึงขอออกตัวเอาไว้ก่อน หากผิดพลาดพลั้งไป ขอได้โปรดให้อภัย ถือเสียว่า ผมจริงใจต่อการแก้ไขปัญหา และต้องการให้มีการแก้ไขอย่างยั่งยืน
ขอให้ถือเสียว่า ผมมัน... แนวเด็กน้อย ตากอกอความคึดม่อ ได้ ก. ข. ข่อหล้อ ความเว้าอยู่ดาว...
อย่าถือสาเลย
เอาละ ทีนี้...ผมจะไม่ยั้งมือละ ขอผู้รู้โปรดชี้แนะ
2) ความอ่อนด้อยทางด้านมโนธรรมสำนึกของหมอลำ นำมาซึ่งปัญหาทั้งหมด
ที่ผมเลือกใช้คำนี้เพราะ ต้องการให้มันดูลึกซึ้งกว่าคำว่า "จิตสำนึก" นั่นเอง
มโน คือ จิตใจ ธรรม ในที่นี้ คือ จริยธรรม ความประพฤติอันดีงาม ส่วนสำนึก ก็สำนึกนั่นแหละ หรือ consciousness
ผมหมายถึง กว่าจะเป็นมโนธรรมสำนึกได้ มันต้องผ่านกระบวนการ ผ่านการสั่งสม มีความต่อเนื่อง แล้วก็จึง...แสดงออก
การถูกรุกรานด้วยศิลปะการแสดงห้าวๆ แก่นๆ จากตะวันตก ไม่ว่าเพลงหรือการเต้นรำ จะไม่ระคายผิวเลย หากหมอลำคงคุณค่าและพัฒนาตัวเองอย่างรู้เท่าทัน และผนึกกำลังกันเป็นหนึ่งเดียว
เขามี Team Thailand เรามี Team Molam ว่าอย่างนั้น
จากประสบการณ์ จะเห็นได้ว่า ดิสโก้ มันแหวกการ์ดเข้าสับศอกเพียงดอกเดียว หมอลำก็ทำท่าจะโยนผ้าขาว หามกันเข้าวัดแล้ว
แล้วดิสโก้ตอนนี้อยู่ไหน เพียงไม่กี่ปีก็กลายเป็นซาก เป็นมะลาง เป็น ex-disco ไปแล้ว หันไปดูหมอลำสิ ... ตอนนี้ทำอะไรกันอยู่ ...ผมเห็น ยังหากินกับซากเดนดิสโก้กันอย่างเมามัน
ก็ภัยคุกคามจากภายนอก มันถาโถมเข้ามา มีคนหาญกล้าต่อต้าน จนมันถอยไปแล้วนานปี แล้วไง...
ตอนนี้ภัยที่ว่ามันซาไปแล้ว หมอลำก็ยังตะบันซิ่งกันมาเกือบ 40 ปี (32 ปี) แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?
บางท่านอาจจะบอกว่า ก็ดิสโก้ไปแล้ว แต่วัฒนธรรมตะวันตกมันยังถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย เราก็ต้องซิ่งรับมือกับมันไปเรื่อยๆ
ผมถามว่า วัฒนธรรมตะวันตก อันถือว่าถึงขั้นเป็นภัยคุกคามน่ะมันคืออะไร... จะต่อสู้มันต้องกำหนดตัวศัตรูให้ชัด
กฎหมายลิขสิทธิ์ ในทางกลับกัน มันก็เป็นภัยแก่ตัวมันเอง มันช่วยต้านพวกเพลงและการแสดงจากตะวันตกได้ระดับหนึ่ง ช่วยลดการลอกเลียน อันเป็นการส่งเสริมทางอ้อมได้พอสมควร
แล้วอะไรล่ะที่หมอลำกำลังทำกันอยู่เวลานี้ ... ถ้าไม่ซิ่ง ผมก็เห็นแต่แข่งกันลามก พูดถึงอวัยวะเพศ การสังวาส กันจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
แล้วความลามกก็ถูกแพร่ด้วยสื่อ social ไปถึงบ้านถึงเรือนทุกระดับ จนคนอีสานจะกลายเป็นคนลามกกันถ้วนหน้าแล้วเวลานี้
ที่ผมเศร้าใจ คือ มหาวิทยาลัย ที่เห่อแห่ตั้งกันจนจะครบทุกจังหวัดภาคอีสานในเวลานี้ มหาวิทยาลัยเป็นความหวังให้คนอีสานได้จริงหรือ?
ลืมหูลืมตาดูชาวบ้านชาวเมือง ดูความเปลี่ยนแปลงแปรไปของคนในสังคมกันเพียงใด หรือดีแต่เล่นการเมืองภายใน หาเศษหาเลยกับการเปิดคณะ เปิดสาขา ภาควิชา เปิดวิทยาเขต
ผมไม่ใช่คนเปราะบาง ผมไม่ใช่คนสายวัฒนธรรม ประเภทนุ่งชุดหม้อห้อม เคียนพุงด้วยผ้าขะม้า หรือพูดจาอ่อนหวานรื่นหู ไม่...ผมตรงกันข้ามทุกอย่าง
แต่ผมเศร้าใจจนพูดไม่ถูก เมื่อเห็นกลุ่มนักศึกษาในเมืองที่ผมอยู่ ใช้ social ออกคลิปท่าเต้นลามก แล้วมีนักศึกษาหญิงออกมาพูดหน้าตาเฉย ทำนองชื่นชมว่า กลุ่มของพวกเธอ doubt ได้สวย น่ารัก
แล้วยังการประกวดวงโปงลางของนักเรียนระดับมัธยมในจังหวัดนี้อีก เด็ก นักเรียนก็พูดคำนี้ doubt บนเวทีต่อหน้ากรรมการที่เป็นครูและผู้ทรงคุณวุฒิ
รู้สึกทุกคนในที่นั้นดูเขาเฉยๆ ผมจึงงง
หรือนี่คือ New Normal ของอีสาน!!!
นี่คือคำถาม ที่คนอีสานทุกคนต้องตอบ เพราะผมเชื่อว่า หลายคนคงได้ยินมากกว่าที่ผมได้ยิน
ขอย้อนไปที่ผมเขียนในบทก่อนๆ ว่า การแสดงของหมอลำกลอน แท้จริงมันก็คือ สงครามตัวแทน (proxy war) ของอาจารย์นักแต่งกลอนลำ โดยอาศัยปากของหมอลำ คนสู้จริงๆ คือ ระหว่างคนแต่งกลอนลำกับคนแต่งกลอนลำ
โปรดสังเกต ผมใช้คำว่า "สงคราม" และ "สู้" เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ในช่วงสาดท้าประชัน อันเป็นช่วงสำคัญที่ใช้เวลามากที่สุดของรายการแสดงในแต่ละคืน และเป็นช่วงที่ผู้ชมให้ความสำคัญและตั้งใจฟังมากที่สุด
สำหรับหมอลำ ใครจะเก่ง - ไม่เก่ง ก็พิสูจน์กันให้ประจักษ์กระจะแก่สายตากันก็ในช่วงนี้
นอกจากบทกลอน โจทย์-แก้ อันเฉียบคม ฝีปากกล้าของหมอลำระดับ "คมขวาน" "ปากไฟ" ที่ใส่กันไม่ยั้งแล้ว เพื่อเอาชนะ ...ที่กล่าวกันว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็เอาด้วยคาถา นั้น สามารถเห็นกันได้จากเวทีหมอลำนี่เอง
ทั้ง เล่ห์ กล มนตร์ คาถา ถูกหมอลำนำมาใช้กันครบเครื่อง
ที่ว่า หมอลำโตนฮ้าน (ลำแพ้กลอนจนต้องกระโดดลงเวที) นั้น ในอดีต ไม่ใช่เรื่องพูดกันเล่นๆ แต่มันคือเรื่องจริง ของจริง เป็นเหตุการณ์จริงๆ เมื่อว่ากลอนแล้วสู้ไม่ได้ ทางออกมีทางเดียว คือ ต้องตัดสินใจ "โตน" หรือ กระโดดลงเวทีไปดื้อๆ ต่อหน้าต่อตาผู้ชม เพื่อหนีความอัปยศอดสู
แล้วฮ้าน หรือเวทีลำกลอนไม่ได้สูงแค่สะเอวหรือระดับหน้าผากอย่างเวทีของการแสดงอื่นๆ แต่ละเวทีลำกลอนสูงเลยหัวเป็นศอก
ข้างฝ่ายคนดูก็ให้ซาดิสต์เหลือเกิน หากใครแพ้กลอนแล้ว ยังขืนทู่ซี้ ลำข้างๆ คูๆ ไม่ยอมโตนฮ้านเสียที ...เขาซาดิสต์กันอย่างไร รู้มั้ย พวกใช้เชือกทำเป็นบ่วง แล้วคล้องตัวหมอลำ และกระชากลงเวที
แล้วหมอลำที่โตนฮ้าน หรือถูกบ่วงบาศก์ ก็มักมีสภาพเหมือน "ไก่แพ้" มีช่องทางเดียวที่เปิดไว้ให้ไก่แพ้ คือ ลงหม้อแกง ส่วนหมอลำก็หมดสภาพ เลิกลำ น้อยกว่าน้อยที่ฮึดสู้ กลับขึ้นสังเวียนใหม่ แล้วแก้มือสำเร็จ
นับเป็นการคัดเลือกสายพันธุ์ที่แสนโหดร้าย นี่แหละ survival of the fittest ของจริง!
ดังนั้น เพื่อการมีที่ยืน หรือ ยืนระยะได้ตลอดรอดฝั่งจนถึงฟ้าแจ้งโดยสวัสดิภาพ ผู้ที่ตัดสินใจจะเอาดีทางร้องลำจึงต้องฝึกปรืออย่างหนักหน่วง ยิ่งฝึกหนักยิ่งปลอดภัย
การเอาเป็นเอาตายนี่เองจึงเป็นที่มาของเล่ห์ กล มนตร์ คาถา ประดามี
ครั้งหนึ่ง ผมเป็นโปรดิวเซอร์เพลง เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม เพื่อเป็นหลักในการต่อสู้กับภัยคุกคามด้านมลภาวะของชุมชนๆ หนึ่ง ในชุดนั้นมีลำกลอนปนอยู่ด้วย และมีการจัดหาหมอลำเก่า ที่มีกลอนเก่า เกี่ยวกับฮีต ๑๒ คอง๑๔ มาไว้พร้อม
ผมจำเป็นต้องแต่งกลอนลำบางส่วน เพื่อเกริ่นนำและให้สวมเข้ากับกลอนเดิม
ผมนั้นเกร็งสุดกำลัง ทุกข์ใจอยู่หลายวัน กลัวจะเสียกลอนเดิม แต่พอหมอลำเก่าเล่าประวัติการเป็นหมอลำของตัวเองให้ฟัง ผมจึงรู้สึกว่า ทุกข์ของผมมันเล็กนิดเดียว แล้วผมก็ผ่านพ้นมาได้
เรื่องของท่านมีว่า...
ตอนขึ้นเวทีครั้งแรกในชีวิต ด้วยความเกร็งและกลัวคู่ต่อสู้อย่างที่สุด เพราะคู่ลำที่เป็นหมอลำฝ่ายหญิง เป็นหมอลำเก่า เจนเวที
ก่อนขึ้นเวที ท่านแอบไปคุยตกลงกับหมอลำฝ่ายหญิง ขอร้องอย่าโจทย์ถามเรื่องที่ไม่ถนัด ขอให้ถามแต่เรื่องที่เรียนและท่องมา
คู่ลำของท่านก็ดีใจหาย ...บอกว่า ได้... เรามันหมอลำด้วยกัน เห็นใจ..
แล้วก็ขึ้นเวที พอถึงช่วงสาดท้าประชัน หมอลำใหม่ก็ได้รับบทเรียนชีวิตอันมีค่า เพราะหมอลำรุ่นพี่เล่นถามทุกอย่างที่ท่านไม่ถนัด ที่สำคัญคือเจ็บใจที่ไปแบไต๋แบบโง่ๆ ให้คู่ต่อสู้ได้รู้จุดอ่อน
คืนนั้น...ไม่มีใครโตนฮ้าน เพราะหมอลำฝ่ายชายชกหน้าหมอลำฝ่ายหญิง งานล่ม คนดูได้ดูมวยแทนดูหมอลำ
"ก็จะไม่ให้พ่อชกยังไงไหว คนตอบกลอนไม่ได้ ยังฟ้อนเอามือมาปัดมาป่ายแถวๆ หน้า กวน..."
จากคืนนั้น หมอลำท่านนี้ก็หมั่นฝึกอย่างหนัก และกลับมาเป็นหมอลำดังของเมืองอุบล มีงานจ้างข้ามจังหวัด และดังอยู่หลายปี จากบ้านทีเป็นเดือนๆ เพราะมีคนจ้างต่อเนื่อง แต่แล้วที่สุดก็ต้องเลิกลำ...
ขณะที่กำลังรุ่งสุด คืนนั้น ลำที่นครพนม ลำๆ อยู่เสียงเกิดหายเอาดื้อๆ ต้องลงเวทีกลางคัน..ไปหาหมอ หมอบอกมีเลือดออกในลำคอ
"พ่อถูกคุณไสย!"

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (16)
 
วันนี้เป็นวันที่ 16 แล้วที่ผมสู่รู้ พูดเรื่องหมอลำ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย เป็นตัวเสนายังไม่ได้ แต่ผยองทำเป็นรู้ ถ้าผมติดเชื้อ KOVID-19 แล้วหนีไปอยู่เถียงนาแบบอยู่กรรม ที่ฝรั่งเรียกว่า self-quarantine (แปลกเนาะ... นอนนามาเป็นปี ไม่เคยรู้เลยว่า ฝรั่งเขาเรียกซะเพราะพริ้ง) ป่านนี้ก็พ้นกรรมไปแล้ว
เมื่อวานต้องขอโทษ ผมใส่ตัวเลขตอนผิดไป ... ยังอุตส่าห์มีคนจับผิด แล้วผู้ที่ทักมาก็เป็นคนเหนือซะล่วย ...ก็ใคร่ฝากฮื้อฟังไว้เน้อ... เผื่อวันหน้าละอ่อนล้านนาออกมา doubt แล้วเรียกว่า ซอซิ่ง ค่าวซิ่ง จะได้ช่วยกันจับเอวปรามๆ ไว้ได้ทัน
การเอาจริงเอาจังหรือถึงขั้นเอาเป็นเอาตายในวงการหมอลำ (ลำกลอน) ในอดีต มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี คือ เป็นการคัดกรองว่า ผู้ที่จะมาใช้ศิลปะอันสูงส่งได้ มันต้องผ่านการพิสูจน์ว่าเป็นของจริง จึงจะมีที่ยืน และยืนอย่างสง่า
และผลที่ตามมาคือมีการฝึกฝนเคี่ยวกรำ ทำให้ศิลปะเป็นเลิศยิ่งๆ ขึ้น ทำให้ประชาชนได้เสพได้รับฟังแต่ศิลปะชั้นเอก
ส่วนในด้านผลเสีย ก็เห็นจะตกอยู่ที่ตัวผู้เป็นหมอลำ ที่ต้องทำโจทย์ยาก และ ไม่มี choice ให้เลือก
เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว เห็นว่าผลดีมีมากกว่าผลเสีย เป็นคุณต่อวิชาชีพ ทำให้ผู้ผ่านเกณฑ์มีคุณภาพ ที่สำคัญสามารถสืบสาน ส่งไม้ต่อคนรุ่นหลังได้ และดีด้วย
ความจริงแล้ว ขนบที่จัดให้มีการคัดกรองแบบนี้ มิได้มีแต่หมอลำ การร่ายผญา (บทกวี) สู้กัน ก็ใช้วิธีเดียวกัน คือ คนแพ้ต้องโตนฮ้านหนีความอัปยศ
แต่...เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ เมื่อเกณฑ์มันโหด ในอีกทางหนึ่ง กลับส่งผลให้การเตรียมตัวลงสนามต้องเคร่งเครียด และหาทางเอาชนะ จะทำวิธีใดก็ได้ขอให้เป็นฝ่ายชนะ
ในทางกลับกัน นั่นหมายถึงว่า ต้องทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้
แล้วก็ลงเอยอย่างที่ว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็เล่นคาถา
หากเป็นเช่นนั้น มันก็เลยธง เลยคำว่าศิลปะ ที่หมายถึงความสวยงาม ความดีงามที่จะชักนำไปสู่การมีจิตวิญญาณที่สูงขึ้น หรือการยกระดับจิตใจไปแล้ว
มันจึงเป็นได้แค่เกม มันคือการแข่งขัน
จะชอบหรือไม่ก็ตาม วงการหมอลำได้ตกหลุมพราง ติดหล่ม ติดกับดักของการแข่งขัน จนแม้ในปัจจุบันก็ปีนป่ายไม่พ้น!!
แล้วคนที่คลุกวงใน คนที่อยู่ในวังวนของเกม ก็ก่อพฤติกรรมวันละเล็กวันละน้อย จนกลายเป็นผู้ต้องชนะ
แล้ว ผู้ต้องชนะจะมีพฤติกรรมและ อุปนิสัยเช่นใด?!
แน่นอน... สิ่งแรกคือ ความต้องการเอาชนะ ก็อย่างว่า เมื่ออยากชนะก็ต้องทำให้อีกฝ่ายแพ้
ด้วยทุกคนล้วนเป็นผู้ชนะ และไม่ต้องการความพ่ายแพ้ในทุกคืนที่มีการ "ดวล" ฝีปากกัน
ผมนึกถึงคำของศิลปินจิตรกรรมระดับตำนาน ถวัลย์ ดัชนี (ศิลปินแห่งชาติ)ที่บัญญัติศัพท์ว่า "การต่อสู้ป้องกันตัวด้วยปากเปล่า" การลำของหมอลำเป็นเช่นนั้นจริงๆ
การรวมตัวเพื่อสร้างกลไก หรือองค์กรของหมอลำ เป็นสิ่งที่หมอลำทุกคนปรารถนา แต่ความพยายามก็ล้มเหลวทุกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้ที่เห็นประโยชน์ ก็เฝ้าเพียรสร้างอยู่นั่นแล้ว จนแก่จนเฒ่า ก็ไม่เลิกรา ยังต้องการจะปลุกปั้น หรือส่งต่อภารกิจให้คนรุ่นหลังได้สานต่อ แต่ก็เท่านั้น!
ไม่ว่าท่าน (หลวงพ่อ) หมอลำสุทธิสมพงษ์ สท้านอาจ พ่อถูทา - หมอลำทองมาก จันทะลือ ถ้าได้อ่านงานเขียน อ่านความคิดจากการพูดคุย ทุกท่านยังตั้งหวังอยากมีองค์กรที่จะช่วยเหลือหมอลำอยู่ทุกลมหายใจ กระทั่งตัวตายไปแล้วทั้งสองท่าน
 
 
 
คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (17)
 
ในระยะต่อมา หลังจากยุคหมอลำโตนฮ้าน อันร่วมสมัยกับยุคหมอลำไต้กระบอง (จุดขี้ไต้) ศิลปะอีสานประเภทนี้ดูเหมือนจะได้รับความนิยมกว้างขวางยิ่งขึ้น เนื่องจากการคมนาคมเริ่มดีขึ้นมาบ้าง เรียกกันว่า "ยุคน้ำไหล ไฟสว่าง หนทางดี" หมอลำดังเริ่มขายม้า อันเป็นยานพาหนะในการเดินทางไปลำ เพราะเริ่มมีรถยนต์โดยสารประจำทาง
เป็นยุคที่ไทยยอมรับที่ปรึกษาของสหรัฐฯ ให้เข้ามาวางแผนพัฒนาชาติไทย ซึ่งเข้ามานานหลายปีแล้ว ก่อนการล้มเจ็บของ "นายพลผ้าขะม้าแดง" จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อจอมพล ส. เข้ารักษาตัว โดยมีนายพลไอเซ็นฮาวร์ ประธานาธิบดี ของสหรัฐฯ รับเป็นญาติผู้ป่วย ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวในโรงพยาบาลทั้งหมด
หลังความสำเร็จในการผ่าตัด จอมพล ส. ที่รอดตาย ดีใจมากถึงกับ จ.ม. ด่วนถึงจอมพล ถนอม กิตติขจร นายกฯรัฐมนตรีในขณะนั้น บอกรอดตายแล้ว ต่อไปนี้อยากทำอะไรก็จะทำ และจะทำในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ท้าย จ.ม. ขอให้รัฐบาล พิจารณาโครงการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ ยื่นถึงรัฐบาลไทยก่อนหน้านั้น
สิ่งที่คนไทยได้เห็นเป็นรูปธรรม คือ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment - BoI) ใน พ.ศ. 2503 พร้อมๆ กับสามล้อถีบ ถูกอัปเปหิให้พ้นกรุงเทพฯ ไปอยู่ตามนิคมสร้างตนเอง อันเป็นปฐมบทของการจัดสรรที่ทำกินของชาติไทย
เหตุผลที่ที่ปรึกษาสหรัฐฯ ให้กับรัฐบาล คือ แรงน่องของสารถี ซึ่งส่วนใหญ่คือคนอีสาน ไม่สัมพันธ์กับความเร็วของรถยนต์ ที่นำเข้าและกำลังจะทยอยเข้ามา
และปีถัดมา พ.ศ. 2504 ไทยก็มีแผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (แผนพัฒนาชาติ) พร้อมกับคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (สภาพัฒน์)
ในช่วงนั้น ทางด้านวิชาการมีการเหมาลำเครื่องบิน เพื่อส่งนักศึกษาไทยไปเรียนสหรัฐฯ นัยว่า ต้องรีบปั๊ม technocrats ให้ทันและเพียงพอกับแผนพัฒนาชาติ
หันมาดูแนวรบทางด้านวัฒนธรรม คือ หมอลำกันบ้าง ภายใต้การปรึกษาและให้ทุนโดยหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐ ที่เปลี่ยนชื่อจากหน่วย OSS ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 มาเป็น หน่วย CIA - Central Intelligence Agency) ให้ไทยก่อตั้งกรมบริหารราชการแผ่นดินขึ้น กรมนี้จัดให้มีการประกวดศิลปะประจำภาคต่างๆ เพื่อจะได้รับการส่งเสริมจากรัฐ ภาคเหนือมี จ๊อยซอ ภาคอีสานมี หมอลำ ภาคใต้ มีโนราห์
และนั่นคือปฐมบทของการประกวดนั่นประกวดนี่ ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยมี
หมอลำ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของภาค ประเดิมด้วยการอัดแผ่นเสียง (แผ่นครั่ง) พร้อมถ่ายภาพยนตร์ ขาว-ดำ โดย CIA สำหรับไปฉายหลัง "หนังข่าว" หรือ ภาพยนตร์ข่าวในราชสำนัก ตระเวนฉายทั่วภาคอีสาน
หลายปีต่อมา ก็จึงมีการ์ตูน ลุงชาลีสร้างส้วมซึม เป็นหนัง animation เรื่องแรกที่อเมริกาให้ทุนสร้าง
เมื่อหนังออกฉาย ปรากฏว่าได้รับความนิยมจากชาวอีสานอย่างคาดไม่ถึง ฝรั่งเห็นความนิยม ความตื่นตัว ตื่นตาตื่นใจของคนอีสานที่มีต่อสื่อ แล้วปลื้มใจสุดประมาณ ไม่เคยคาดคิดว่าคนจะบ้าคลั่งกันขนาดนี้
ผิดกับคนภาคอื่น ดูหนังแล้วก็งั้นๆ แต่ชาวอีสานดูแล้ว ยังเก็บไปเล่าอวดกันได้เป็นเดือนๆ
แจ๋ว...เยี่ยมจริงๆ ...(CIA ยิ้มพร้อมยกนิ้วโป้งแบบลุงแน่บ เพชรพิณทอง) เพราะภาคอีสาน คือ เป้าหมายในแผนการทางทหารอยู่ด้วย แถมคนอีสานกับคนลาวยังเกี่ยวดองทางเชื้อชาติ และ รสนิยมก็เหมือนกัน ... ยิงนกนัดเดียว นกร่วงกันกราว
อย่ากระนั้นเลย เอาหมอลำนี่แหละเป็นหัวหอกในการทะลวงนำการเศรษฐกิจและการทหาร
หลังจากนั้น หมอลำกลอนหลายต่อหลายคน ก็ถูกเชื้อเชิญให้ไปทัศนาจรสหรัฐฯ โดยมีการบ้านให้ทำ คือ กลับมาต้องเขียนกลอนลำ ให้มีเนื้อหาชื่นชมอเมริกา
แล้วฝรั่งก็พาทัวร์สถานที่ท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาตื่นใจ ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางการเกษตร
ข้างหมอลำ กลับมาก็เห่อกันลำเยินยออเมริกาแทบจะทันที เพราะกลอนลำเขียนกันเสร็จตั้งแต่อยู่ "เมืองกอด เมืองกุม" แล้ว
สอดรับกับแผนพัฒนาชาติ ฉบับที่ ๑ พร้อมกับเพลง "ผู้ใหญ่ลี" บรรดาพันธุ์สุกร ลาร์จไวท์ ดูร็อค เจอร์ซี่ พันธุ์ไก่ โรด ไอแลนด์ พันธุ์มะละกอแขกดำ พันธุ์ปอแก้ว-ปอกระเจา และอื่นๆ ชาวอีสานท่องชื่อพันธุ์พืช-สัตว์ตามหมอลำได้ก่อนจะเห็นตัวจริงของมันเสียอีก
ชาวบ้านหลายคนขายสัตว์พื้นเมืองชนิดล้างคอก เตรียมรอรับพันธุ์ใหม่ใหญ่-ยาว ลูกดก จากอเมริกา โดยผ่านหน่วยงานรัฐ ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ แม้แต่ผู้นำชุมชน ยังไม่กระดิกหูเลย ว่า... ไอ้สุกรนั้นไซร้ มันคืออะไร?!
แน่นอน... ด้วยพฤติกรรมและอุปนิสัยที่นอนเนื่องอยู่ในสายเลือดของหมอลำ ที่มีเป้าหมาย คือ การเอาชนะ และยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้แก่คู่แข่ง
หลายคนถือว่า การได้รับคัดเลือกให้ไปอเมริกา ได้เขียนกลอนลำ และได้ลำ "โปร" (propaganda - โฆษณาชวนเชื่อ) สรรเสริญ เผยแพร่ความดีงามของอเมริกา ถือเป็นความเลอเลิศของตน นัยว่า "เป็นหมอลำผ่านเมืองนอก" แล้วก็ "บลัฟฟ์" หมอลำอื่นๆ ที่ไม่ได้ไปว่ากระจอก
และแล้ว...
หลังจากลำยกก้นฝรั่ง และำส่งเสริมการเกษตรแผนใหม่ (เกษตรเชิงเดี่ยว) จนเป็นที่พอใจของ CIA แล้ว ฝรั่งก็จับหมอลำเหล่านี้ขึ้น ฮ. ทหาร แล้วไปหย่อนไว้ตามแขวงสำคัญๆ ของราชอาณาจักรลาว ที่เป็นเป้าหมายทางทหาร ให้เอาศิลปะของบรรพบุรุษไปกล่อมประสาท เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ ลำอวดความศิวิไลซ์ของอเมริกา สลับนิทม-นิทาน สร้างความสุขตามแบบหมอลำ
บางคณะยืนระยะกล่อมคนลาวจนถึงปีเปลี่ยนแปลง หรือ "การพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน" ขึ้นในลาว ในปี พ.ศ. 2517
จนป่านนี้ หมอลำไม่เคยสรุปบทเรียนของตัวเอง ว่าในห้วงที่เกิดความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง... หมอลำอยู่ตรงจุดไหนของสถานการณ์
นี่ก็เป็นจุดอ่อนของอาชีพนี้ ที่ชี้และสะท้อนถึงมโนธรรมสำนึกประการหนึ่ง
 
 
คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (18)
 
วันนี้ ขอว่าเรื่องสำคัญ ซึ่งอาจออกนอกวงหมอลำหมอแคนไปบ้าง เป็นเรื่องของชาวอีสานโดยรวม แต่ก็เนื่องด้วยหมอลำอยู่ดี
ผมตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอด ที่ว่าตลอด คือ ตลอดชีวิต จนเมื่อ 4-5 ปีมานี้ การดิ้นรนหาคำตอบจึงผ่อนคลายลง จนทุกวันนี้ ...ไม่ตั้งคำถามนั้นอีกแล้วในฐานะคนนับถือศาสนาพุทธ
การใช้ชีวิตของผมออกจะโลดโผน เมื่อผมอยากรู้สิ่งใด หรือมีอะไรที่ท้าทาย ผมมักไม่ลังเลที่จะกระโจนลงไปเพื่อพิสูจน์ และเอาชีวิตตัวเองเข้าคลุกกับมัน
และในการใช้ชีวิตก็ช่างเต็มไปด้วยสิ่งท้าทาย... ผมก็จึงไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่จนทุกวันนี้ ก็ด้วยการกระโจนลุยกับมัน โดยมีชีวิต ความเป็นอยู่ เป็นเดิมพัน!!
ถ้าผมใช้ชีวิตเรียบง่าย ป่านนี้ชีวิตอาจสุขสบายตามอัตภาพ ไม่เกษียณในตำแหน่ง ผอ. โรงเรียน ก็อาจเป็นทนายความมีชื่อ ยิ่งเทคโนโลยีสมัยนี้ ไม่ต้องท่องตัวบท ไม่ต้องเปิดคำพิพากษาฎีกา เพราะมันมีใน internet อยากรู้อะไรก็หาได้หมด ซึ่งสะดวกในการทำคดีอย่างมาก ผมว่าประตูแพ้ (คดี) มีน้อยมาก และในอาชีพอื่นๆ ที่ผมจับ (จับจด) ถ้านิ่งกว่านี้ ชีวิตจะสวยกว่านี้...
แต่ในความผาดโผน มันก็มีอะไรดีๆ ของมันอยู่ อย่างเรื่องพุทธศาสนา...
ผมเคยภูมิใจว่า ตัวเองเกิดในแผ่นดินที่เรียกว่า "แผ่นดินธรรม" นัยว่า อีสานคือศูนย์รวมและบ่อเกิดของพระดี สุปฏิปันโน
ผมคลุกคลีอยู่กับวัดมาไม่น้อยในฐานะสังฆ์การี (เด็กวัด) ได้อยู่ทั้งในวัดที่เป็นสำนักเรียน ฟังพระเณรท่องบาลี ธรรมบท ผมไม่ต้องเรียนก็จำได้ และนำไปปรับใช้กับวิชาหลักภาษาไทย ผมจึงไม่กลัวเรื่องเรียนภาษาไทย
แล้วต่อมา ในการใช้ชีวิต เมื่อต้องเรียนภาษาอื่นๆ ก็นำไปประยุกต์ใช้ มันก็ใช้ได้ อย่างน้อยก็มีหลักอิงที่มั่นคง
เคยกิน-นอนในวัดป่าสายสำคัญสายหนึ่งของอีสาน... ก็เคย เคยหงุดหงิด เมื่อยปวดในเวลานั่งทำวัตร และทำสมาธิ จนกลับมานั่งสบายๆ นั่งเป็นชั่วโมงๆ ก็ได้....ยิ่งดี
แต่คำถามที่คาใจกลับไม่มีคำตอบ
คำถามที่รบกวนจิตใจและไม่เคยมีคำตอบ แม้จะหาในวัด (สายปฏิบัติ) คือ...
พระพุทธเจ้าสอนอะไร??
อะไรคือแก่นธรรมของพุทธศาสนา?!
ทุกวันนี้ ผมตอบคำถามนั้นได้แล้ว และหยุดถามตัวเอง... ถามคนอื่น ด้วยคำถามที่แสนจะสามัญนั้นแล้ว!!
ธรรมะจากคัมภีร์พุทธ ที่หมอลำได้จากการท่องกลอนลำ ถูกต้องและตรงตามคำสอนหรือไม่... วันนี้ผมตอบได้ทันทีว่า...ไม่!!
แล้วมีประโยชน์ต่อชาวบ้าน ชาวอีสานหรือไม่? คำตอบยังเหมือนเดิม คือ ไม่... เผลอๆ ทำให้ไขว้เขว บิดเบือนคำสอนเสียอีก
บางท่านอาจว่า ... แล้วจะมาเอาสาระอะไรมากมายกับศิลปะการร้องการลำ?! หากจะหาสาระก็ต้องไปสำนักเรียน หรือไม่ก็ สำนักปฏิบัติเอาซี เรื่องอะไรจะมาตั้งแง่ (หาเรื่อง) เอากับหมอลำ
นั่นก็จริงอยู่...หากหมอลำไม่ลำกล่อมชาวบ้านมาทั้งชีวิต และถ้าจะว่ากันให้ถึงแก่น... แม้แต่สำนักเรียนและสำนักปฏิบัติ...ที่ท่านแนะนำ นั่นก็ผิดหมด สอนกันผิดๆ
นี่แหละ... ที่ผมเคยภูมิใจว่าเกิดใน "แผ่นดินธรรม" แล้วต้องเสียใจ เมื่อพบทางใหม่เมื่อ 4-5 ปี
อย่าว่าแต่ท่าน ที่รู้จักผมจะรู้สึกแปลกแยกเลย ... แม้ตัวผมก็รู้สึกกับตัวเองแบบนั้น
มันเป็นไปได้ยังไง...เราเคยกราบไหว้บูชาพระเกจิ ว่าเป็นพระสุปฏิปันโน ขนาดเรียกว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ อยู่ๆ มาบอกว่า ที่ทำๆ กันน่ะ มันผิดหมด...บาปด้วย!!
ไอ้นี่.... มันม้าง (รื้อ/ทำลาย) ศาสนาจริงๆ เลย!!
ขอให้อ่าน-ฟังผมให้จบก่อน
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฎิเวธ... เรารู้ว่าคือเส้นทางธรรม เรามาลองพิจารณา ทีละอย่างไปดีไหม?
เอาปริยัติก่อน...
ในช่วงที่ผมทำงานอยู่ นสพ. ภาษาอังกฤษ เพื่อนร่วมงาน-ร่วมโต๊ะทุกคนต้องจบปริญญาทางภาษา บางคนจบเมืองนอก มีอยู่คน จบเปรียญ ๘ แล้ว สึกไปต่อโท ด้านปรัชญา ที่มหาวิทยาลัยในอินเดีย เรียกว่า อยู่ในดงขมิ้นมาค่อนชีวิต ขนาดต้องหัดยืนฉี่อยู่เป็นปี จึงเป็นฆราวาสกับเขาได้เต็มร้อย
เกือบทุกคืน หลังเลิกงานผมชอบไปขลุกที่ห้องพักแก แล้วเราก็ถกกันเรื่องพุทธศาสนา ผมจะมีภูมิอะไรไปสู้กับคนระดับนั้น ก็ได้แต่ข้างๆ คูๆ (เรื่องแบบนี้ ผมได้ชื่ออยู่มาก)
หลายวันหลายคืน แกไม่ได้อะไรจากผมเลย แต่ผมได้เต็มๆ สิ่งที่ผมสงสัยในการเรียนของพระ-เณรสายปริยัติในช่วงเป็นเด็กวัด เอามาถาม แกสาธยายจนผมกระจ่าง แถมยังท่องให้ฟังเสียยืดยาว ทำให้ผมได้ย้อนชีวิต รำลึกตอนยังกินข้าวก้นบาตรประทังชีวิต
แล้วแกก็สรุปให้ผมฟังจากการเรียนมาทั้งชีวิต ซึ่งผมจำไม่รู้ลืม...
"พวกที่เรียนปริยัติแบบผม เปรียบไปก็เหมือนพวกที่เก่งแต่ท่องฉลากยาข้างขวด ท่องได้แม่น ท่องได้ถูกทุกตัวอักษร แต่...คุณก็รู้ใช่ไหม ... เวลาป่วยมันต้องกินยาในขวดนั่นถึงจะหายไข้"
"คุณหมายถึง มันต้องลงมือปฏิบัติใช่ไหม?"
ผมถามในคืนนั้น .... คืนนั้นย่อมไม่ใช่คืนนี้ หากเป็นคืนนี้ ผมจะไม่ถามแบบนั้น หรือไม่ก็ ... ไม่ถามเลย
 
อ่านต่อพรุ่งนี้
คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (19)
 
แปลกดี... พูด (เขียน) เรื่องร้องเรื่องลำ เรื่องสัพเพเหระ มีแต่คนซู้ดปาก บ้างบอกเอาอีกๆ ติดตามๆ รอๆ อย่าหยุดๆ
แต่พอจะพูดเรื่องเกี่ยวแก่องค์ธรรมในพระพุทธศาสนา รู้สึกมีแต่คนอยากให้หยุด บ้างเป็นห่วงเป็นใยผม ราวกับว่า... ท่านเหล่านั้น รู้ว่าสิ่งที่ผมจะเขียนมันเป็นยังไง หรือสิ่งที่ผมจะเขียน (ซึ่งยังไม่ได้เขียน) จะมีเนื้อหาสาระไปในทางใด
บ้างคิดเลยเถิดไปว่า ข้อเขียนของผมจะไปเสียดแทงอารมณ์ของผู้คน โดยเฉพาะชาวพุทธ ชาวอีสานที่แนบแน่นอยู่กับพุทธศาสนา กระทั่งพระเณรเถนชี
ผมเข้าใจ และรู้สึกซาบซึ้งในความห่วงใย ...
จากการประเมินของผม ทุกคนที่เป็นชาวพุทธ มักเข้าใจว่า ตัวเองรู้จักศาสนาของตัวเองดี รู้ซึ้งในพระธรรมของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างกระจ่างแจ้ง บางคนทึกทักเอาจากที่ไปฝึกอบรม ไปเข้าคอร์ส ไปภาวนา ไปทำทุกรกิริยา ยืน เดิน นั่ง นอน คู้ เหยียด ยุบหนอพองหนอ ตะแคงมือคว่ำมือหงายมือ ครบ 16 ท่า ร้อยแปดพันประการ
บ้างก็อ่านหนังสือที่พระที่ตนนับถือเลื่อมใส สาธยายโดยการเขียนหนังสือเป็นตั้งๆ ขนาดมีโรงพิมพ์ไว้พิมพ์งานเขียนโดยเฉพาะ มีเทปตั้งแต่เป็นคาสเส็ตจนถึงโสตทัศนูปกรณ์ทันสมัย... แล้วก็พากันท่อง... ธรรมะคือธรรมชาติ... หลักอิทัปปัจยตา ตัวกูของกู ฯลฯ
แล้วก็ภูมิใจ ปีติ บางคนอ้างเอาเองว่า ไปฝึกจิต ไปดูจิตกับหลวงพ่อนั่นหลวงพ่อนี่ (ชื่อหลวงพ่อยิ่งเชย ยิ่งขลัง) บ้างอ้างอุตริขนาดว่า สามารถแยกรูปแยกนาม บ้างก็อ้างว่าสำเร็จ เป็นนู่นเป็นนี่ระดับใดระดับหนึ่งใน 4 ระดับของพระอริยะ
ยิ่งชาวพุทธอวดอ้างตัวเอง ว่ารู้ธรรมะ ผมก็ยิ่งอยากเขียน
ธรรมะของพระพุทธเจ้า มิใช่ใครจะอวดอ้างตัวเอาง่ายๆ ตามที่เข้าใจ หรืออาจารย์วิปัสสนารับรอง แต่เป็นองค์ธรรมอันยากยิ่ง ละเอียดยิ่ง เกินกว่าสติปัญญาอย่างเราๆ ท่านๆ จะเข้าถึง ....
แต่ก็มิใช่ว่าจะเข้าไม่ถึง หากได้ศึกษา คือฟังๆๆๆๆๆ ไตร่ตรองๆๆๆๆ จนเข้าใจๆๆๆๆ และเกิดปัญญา คือ ปัญญานั้นเกิดขึ้นเอง มิใช่ใครจะไปทำ ไปปฏิบัติด้วยความเป็นตัวตน
ชาวพุทธมักเข้าใจว่า ปัญญามาจากการปฏิบัติ คือ ปฏิบัติแบบพระสายป่า คือ "ทำ" ภายใต้มายาที่เป็นสเต็ปว่า...ศีล สมาธิ ปัญญา
โปรดจดจำและใคร่ครวญเถิดว่า ธรรมะขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้นลึกและซึ้ง หาใช่การทำด้วยความเป็นตัวเป็นตน ทำด้วยกิเลสคือโลภะ อยากสำเร็จแล้วแจ้นไปหาพระ แล้วพากันนั่งสมาธิ ละเมอว่าเห็นดวงแก้วดวงธรรม เห็นกายทิพย์ เห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต สารพัดจะเพ้อพก แล้ว....สำเร็จ
ธรรมะของพระพุทธองค์มิใช่ฟาสต์ฟู้ด สิ่งที่ทำๆ กัน หรือที่เรียกว่าการปฏิบัตินั้น เหลวไหลโดยสิ้นเชิง!
ควรคิดบ้างว่า หากสำเร็จกันง่ายดายอย่างนั้น คือ เพียงนั่งหลับตา บริกรรม ก็จะรู้
โดยไม่ต้องเรียน แค่ปริญญาห่วยๆ ก่อนจะลงมือปฏิบัติ ยังต้องเรียนคอร์สเวิร์ก (course work) กันก่อน
แค่นั่งหลับตา เดินวนไปวนมา จะไปรู้อะไร ใครที่อ้างว่า ธรรมะเข้าใจง่าย เพียงนั่ง ได้สมาธิ จะได้อภิญญา นั่นคือการดูถูกพระพุทธเจ้า ดูถูกองค์ธรรม
พระพุทธเจ้ากว่าจะเป็นพระพุทธเจ้ามิใช่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วออกบวช 6 ปี นั่งใต้ต้นไม้ แล้วปิ๊ง....คลิก...สำเร็จ
อย่าว่าเป็นปีๆ เลย ....กี่อสงไขยกี่แสนกัปป์ ที่มันสมองระดับนั้นต้องเพียรพยายาม
หากเรารู้เพียงจะงอยปากของยุงที่จุ่มลงในมหาสมุทร ก็ถือว่าบุญหัวแล้ว...
และแน่นอน... สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ คือ เขียนจากความเข้าใจ โปรดอย่าทึกทักว่า คนที่สนใจธรรมะแล้ว จะสำเร็จโดยพลัน หรือคนเขียนเกี่ยวแก่เรื่องธรรมะจะเป็นผู้รู้ วิเศษ หรือผิดไปจากมนุษย์มา ...
ผมยังต้องเรียน ยังต้องฟังๆๆ อีกไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลป์
ผมจะเขียนเท่าที่รู้ ถ้าไม่รู้ ยังเรียนไม่ถึง หรือเรียนแล้วยังไม่เข้าใจ... ผมจะบอกไปตามนั้น...ผมมิใช่ผู้รู้
ที่เขียนเพราะอยากเล่าประสบการณ์ที่ได้เห็นสิ่งที่แปลกแยกในตัวเอง ที่พูดกับตัวเองว่า... นี่หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเช่นนี้หรือ ทำไมไม่มีใครบอกใครสอนกัน จนอายุ 60 แล้ว เพิ่งรู้!!
หลังจากที่รู้พองูๆ ปลาๆ ผมบอกกับตัวเองเสมอว่า...ที่จะหวังในชาตินี้ รอไปเถอะ.... แต่ผมภูมิใจ ที่ไม่ออกนอกเส้นทาง
ดังนั้น วันนี้เป็นเพียงน้ำจิ้ม ผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้จักธรรมะดี ก็เก็บความเข้าใจของท่านไว้ แล้วฟังว่า...จิ๊กโก๋เรียนธรรมจะเผยขี้เท่อยังไง... แล้วเรามาเทียบกัน ว่า ความเข้าใจของท่านกับของจิ๊กโก๋ มันตรงหรือต่างกัน ...
อย่ากลัวไปเลย... ธรรมะยิ่งสนทนา เสวนา ยิ่งถกก็ยิ่งงอกงาม ยิ่งเจริญ ยิ่งองอาจร่าเริง
ขอแต่อย่าถกนอกเรื่อง นอกคำสอน หรือเอาสมมติ เอาขนบผิดๆ มาถก ก็พอ
วันนี้ต้องไปหาหมอ... ไม่ใช่หนี แต่อยากให้ท่อง....ท่องจากวันนี้จนถึงพรุ่งนี้ แล้วผมจะมาเล่าในสิ่งที่ผมรู้มา ...
วันนี้ สิ่งที่อยากให้เตรียมตัวสำหรับการถก คือ ท่องคำว่า...
"สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา...ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา"
ท่องเสีย เพราะนั่นคือ คีย์เวิร์ด (keyword) คำสำคัญ ที่เราจะยึดให้มั่น เพื่อใช้ในการถกกัน
แล้วมาฟังกันว่า จิ๊กโก๋จะองอาจร่าเริงยังไง??
 
คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (20)
 
ก่อนที่จะเตลิดตะเลยไปจนกู่ไม่กลับ ผมขอเตือนตัวเอง... นี่มิใช่เวลาจะมาคุยกันเรื่องธรรมะโดยตรง เหตุที่มาถึงจุดนี้ได้ เป็นเพราะคุยเรื่องหมอลำ ว่าผู้ที่นำเอาธรรมะในพุทธศาสนาไปขับกล่อมผู้ฟัง ..และช่วงที่เรียนลำ ก็ท่องกลอนที่กลั่นจากหลักธรรมมากมายนั้น จริงๆ แล้ว หมอลำได้นำหลักการ หรือธรรมะไปใช้ในวิถีหมอลำหรือไม่
ถ้าใช่...ไยหมอลำปล่อยให้ลูกหลานที่เรียกตัวเองว่า "ลำซิ่ง" นั้น มา "งะ" มา "หง่าง" ต่อหน้าธารกำนัล ต่อหน้าพระหน้าโบสถ์อย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ได้อย่างไร
และถ้าใช่... ทำไมองค์กรตัวแทนของหมอลำจึงล้มไม่เป็นท่า แม้แต่จะช่วยมวลสมาชิก ก็ทำไม่ได้
ผมก็เลยเอาหลักธรรมเข้าจับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุใด ก็เลยต้องแวะข้างทางเพื่อคุยเรื่องธรรมะ ...เรื่องมันก็มีเท่านี้แหละครับท่านสารวัตร
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนเรื่องความจริง ความมีเหตุมีผล
มีศาสนาก็ต้องมีศาสดา คือ ผู้สอน และมีศาสนิก คือ ผู้รับเชื่อ แต่น้อยกว่าน้อยนัก ที่พระพุทธองค์จะเรียกการเผยแผ่ธรรมของพระองค์ว่าศาสนา แม้แต่เริ่มมีพระสงฆ์ ก็บอกแต่เพียงว่า... พวกเธอจงไปเพื่อเผยแพร่พรหมจรรย์
คำว่า ศาสนา เป็นคำที่ใช้กันทั่วๆ ไป ใครตั้งตนเป็นศาสดาก็เรียกหลักการหรือความเชื่อนั้นๆ ว่า ศาสนา เราก็เรียกศาสนาๆ มาเรื่อย จนเมื่อมีลัทธิความเชื่อจากตะวันตกที่เรียกลัทธิความเชื่อของตนว่า "religion" คำนี้ก็เลยมาสวมทับสิ่งที่เรียกกันว่า ศาสนา ว่าเป็น religion ไปด้วย
สองคำนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องเดียวกัน แทนกัน ทั้งๆ ที่ เป็นคนละเรื่อง คนละแนวทาง
มีฝรั่งแปลคำว่า religion เอาไว้ว่า to bind back to the God หมายความว่า ผูกพันเพื่อกลับไปสู่พระเจ้า...
ผมไม่ได้ว่าเอง แต่ปราชญ์อย่าง ดร.บุญเย็น วอทอง ว่าเอาไว้
ส่วน ดร.บุญเย็นเป็นใผ? ผมอธิบายสั้นๆ แบบผม ว่าท่านเป็นนักสัจจนิยม คือผู้นิยมความจริง ท่านจะเชื่อในแนวทางไหน ลัทธิใด ต่อสู้และตายเพื่อความเชื่อใด ในเมื่อเคารพความจริง มันก็มาลงที่เดียวกัน คือ พุทธศาสนา
เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความจริง ดูเท่เนาะ...ศาสนาแห่งความจริง... ศาสนาแห่งเหตุและผล.... ก็ว่าตามๆ กันไป
เพื่อไม่ให้เท่แต่ปาก ผมจะจาระไนให้ฟัง
พุทธศาสนาสอนเรื่องความจริงที่ยิ่งกว่าความจริง นั่นคือ ความจริงที่เรียกว่า ปรมัตถธรรม
ปรมัตถธรรม หรือ ความจริงอย่างยิ่งนี้ คืออะไร
คือในโลกอันจอกหลอกใบนี้ หรือแม้แต่จักรวาลนี้ทั้งจักรวาล หรือหากมันจะมีจักรวาลอื่นนอกแกแล็กซี ทางช้างเผือกของเรา ท่านสอนว่า มันมีความจริงแท้เพียง 4 อย่าง
ความจริง 4 อย่าง ได้แก่ 1) จิต 2) เจตสิก 3) รูป และ 4) นิพพาน
ขออธิบายตามหลักการก่อน...
จิต เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ในการรู้สิ่งที่ปรากฏ
เจตสิก เป็นสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมกับจิต และเกิดที่เดียวกับจิต
รูป เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้
นิพพาน เป็นธรรมที่ดับกิเลส ดับทุกข์ นิพพานไม่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น นิพพานจึงไม่เกิดดับ
เนี่ย...มีเท่านี้ ดังนั้น คนที่เรียนธรรมะ คนที่ถือว่าเป็นพุทธ หากไม่รู้จัก 4 อย่างนี้ให้ถ่องแท้ หรือสอนกันเรื่องใหญ่เรื่องโต ใช้ศัพท์แสงขรึมขลัง หากไม่วกเข้าหาเพื่อให้เข้าใจ 4 อย่างนี้ หรือเป็นไปเพื่ออธิบาย 4 อย่างนี้ มันก็เวิ่นเว้อ...แสดงภูมิเพื่อโอ่อวดตัวเอง
และที่สำคัญ ชาวพุทธต้องเข้าใจ 4 อย่างนี้ เพราะเป็นหัวใจของพระศาสนาของเรา หาไม่แล้วก็เสียชาติเกิดที่อุตส่าห์เกิดมาพบพุทธศาสนาแล้ว กลับเอาแต่ลูบๆ คลำๆ ละเมอเพ้อพกแต่เรื่องอื่น
และผู้ที่ตั้งใจจะถกหรือสนทนาธรรมกับผม หากไม่เป็นไปเพื่อให้กระจ่างใน 4 อย่างนี้ ก็ไม่ต้องมาถก ... ผมเหนื่อย ไม่มีเวลา เพราะเพียงจะให้รู้จริงใน 4 อย่างนี้ใช้เวลาชาตินี้ทั้งชาติก็ยังไม่พอ
ถึงตรงนี้... ก่อนลงรายละเอียด ก็อยากทำความเข้าใจก่อน สำหรับพวกทำเป็นเท่ งับเอาคำฝรั่งไว้เต็มปากแล้วพ่น ว่า ศาสนาพุทธเป็นจิตนิยม
นี่คือคำสบประมาทอย่างร้ายแรง คนพูดไม่รู้จริง แต่ทำเท่ให้ตัวเองดูดี
หากรู้จริง....จะรู้ว่า พระพุทธเจ้านี่แหละโคตรกลไกลเลย กลไกยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ใดๆ ในโลกนี้ ภาษาสมัยนี้ต้องบอกว่า เป็นตัวพ่อของกลไก เพราะอธิบายความจริงด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเครื่องมือที่มีศักยภาพเกินกว่าเครื่องมือใดๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกจะคิดค้นได้
ที่สำคัญ เรื่องมันเกิดมาตั้ง 2,000 กว่าปีมาแล้ว
ไม่รู้ว่า พ่อไอสไตน์ -Albert Einstein แกละเมอหรือกินยาผิดซองหรือยังไง ถึงได้บอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวในโลกที่ควรเป็นศาสนา ...หรืออะไรทำนองนี้แหละ ซึ่งอย่าไปใส่ใจเลย ไม่เป็นสาระ
ก่อนจะลงรายละเอียดของปรมัตถธรรม 3 คือ จิต เจตสิก และรูป (ขอเว้นนิพพาน) อยากทำความเข้าใจก่อนว่า ไอ้ 3 ตัวนี่ มันไม่ได้อยู่นิ่งๆ ให้เราพินิจพิเคราะห์มัน ตรงกันข้าม มันวิ่ง และวิ่งเร็วกว่าความเร็วใดๆ ที่เรารู้จัก
เขาเปรียบเหมือนการจุดธูปแล้วแกว่งให้เป็นวง เราจะเห็นวงกลมโดยไม่รู้ว่า ที่แท้มันมีแค่จุดๆ เดียวเท่านั้น
หรือเปรียบกับพัดลม เราเห็นว่าพัดลมมันหมุนเป็นวงกลม แต่ที่แท้มันมีใบเป็นแฉกๆ
และ...ไอ้ 3 ตัวนี่ มันหมุนเร็วกว่าธูป กว่าพัดลมเป็นล้านๆ เท่า ลองหลับตา.... ถ้ากดเปิดพัดลมไปที่เบอร์ 1,000,000 มันจะหมุนเร็วขนาดไหน (ถ้ามันไม่ไหม้เสียก่อน) นั่นยังไม่ใกล้เคียงกับความเร็วของมัน
แล้วถ้าหากมีใครมองพัดลมตัวนั้น แล้วบอกว่า ไอ้ที่หมุนติ้วๆ อยู่เนี่ยมันมีใบพัดอยู่ 4 ใบ แต่ละใบไม่เหมือนกัน ใบหนึ่งมีสนิมจับที่โคน เพราะลูกชายเขาดื้อ ดันเอาส้อมไปแหย่ จนสีถลอก แล้วมีออกซิเจนมาโดนเข้าก็เลยเป็นอ็อกไซด์ เกิดสนิม ส่วนใบที่ 2 เขาเปลี่ยนเอาใบพัดของพัดลมของน้องเมีย ซึ่งหนีผู้ชายที่เธอไม่ชอบจะมาขอแต่งงาน จึงหนีจากบ้านนอกเข้ากรุง แล้วได้งานทำที่โรงงานพัดลม จึงจิ๊กใบพัดของนายจ้าง ซึ่งเอาแต่โทรหานักร้อง เลยเผลอไม่ดูแลโรงงาน
ใบที่ 3 .....ใบที่ 4 ...
แต่..... จิต เจตสิก รูป มันเป็นมากกว่าพัดลมเป็นล้านๆ เท่า บางอย่างก็มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ เพราะมันเป็นนามธรรม
แล้วพระพุทธเจ้าเห็นได้ไง ขณะที่หมุนติ้วๆ รู้ได้ไงว่า จิต มี 89 หรือ 121 ประเภท เจตสิกมี 52 รูปมี 28 ประเภท แต่ละประเภทมีอะไร มีหน้าที่อย่างไร
แล้วรู้อีกว่า จิตดับเร็วกว่ารูปถึง 17 ขณะ
เราดูหนัง หรือเห็นเหตุการณ์ที่เป็นไปในชีวิตประจำวัน รู้ไหมว่า "เห็น" กับ "ได้ยิน" มันเกิดไม่พร้อมกัน "เห็น" แล้วเห็นดับไปก่อน แล้วถึงจะเกิดได้ยิน ไม่ได้เกิดพร้อมๆ กัน เกิดสิ่งหนึ่งแล้วถึงเกิดอีกสิ่งหนึ่ง
การลิ้มรส การกระทบสัมผัส การนึกคิด ก็เช่นกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว ต้องดับไปเสียก่อน แล้วจึงจะเกิดสิ่งอื่นตามมาได้ แต่...คนอื่นๆ ทั้งโลก รวมทั้งเราๆ ท่านๆ ก็เห็นว่ามันเกิดและดับพร้อมกัน นั่นไง... ก็เห็นกันแบบนั้น จึงคิดว่าทุกอย่างมันมีตัวตน มันเป็นอัตตา มันแน่นอน ... มันจะเกิดแล้วดับได้ยังไง ก็เห็นกันอยู่โต้งๆ
ท่านที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของรายการ แฟนพันธุ์แท้ เคยเห็นใช่ไหม..
ทางรายการท้าทายผู้เข้าแข่งขันด้วยการเปิดภาพคนขี่มอเตอร์ไซค์ให้ผู้แข่งขันได้เห็นเพียงเสี้ยววินาที แล้ว...แฟนพันธุ์แท้มอเตอร์ไซค์คนนั้น สามารถบอกได้ว่า เป็นยี่ห้ออะไร รุ่นไหน กี่ซีซี แค่นั้นเราก็อ้าปากค้างกันแล้ว
แต่เร็วกว่าภาพมอเตอร์ไซค์เป็นล้านๆ เท่า เพียงแว่บเดียวนั่นแหละพระองค์รู้รายละเอียดที่ละเอียดยิ่งกว่าเรื่องพัดลม เรื่องน้องเมียหนีผู้ชาย รู้กระทั่งว่า แต่ละตัวมันเกิดแล้ว มันหอบใครมาเกิดด้วยบ้าง เพื่อนฝูง ญาติ พี่น้อง ที่เกิดกับมันเป็นใคร ทำหน้าที่ (กิจ หรือ เวียกงาน) ใด?
อะไรมันจะขนาดนั้น นั่นแหละความจริง ที่เป็นความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่เราเรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงๆ
กลับไปหาคีย์เวิร์ดของเราเมื่อวาน สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
อนัตตายังไง ... อนัตตาเพราะธรรมะ หรือสิ่งที่มีจริงๆ ที่ว่า มันเกิดขึ้นโดยเหตุ โดยปัจจัย ไม่มีใครทำหรือควบคุมบงการให้เกิด มัน... uncontrollable!
ผมจะขอเสียเวลากับเรื่องธรรมะนี้อีกพรุ่งนี้ ก็จะจบ เพื่อต่อลำซิ่งให้จบเช่นกัน
พรุ่งนี้จะลงรายละเอียดทั้งสามตัว และจะแสดงให้เห็นเรื่องสำคัญของจิต คือ เรื่อง วิถีจิต เพื่อให้ผู้ที่เป็นชาวพุทธได้เห็นความวิเศษยิ่งขององค์พระพุทธ และให้รู้ว่า นี่ไงที่ว่าพุทธ เป็นศาสนาแห่งเหตุและผล พุทธคือวิทยาศาสตร์
และให้ได้เข้าใจว่า การเป็นชาวพุทธต้องรู้เรื่องพวกนี้ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้!
นี่แหละพุทธ! นี่แหละพื้นฐาน นี่แหละขั้นพุทธอนุบาล ผ่านอนุบาลให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปโม้เรื่องศัพท์ขรึมขลังอลังการ
 

 
คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (21)
 
ปรมัตถ์ธรรม มี 3 อย่าง (ยกเว้นนิพพาน) ได้แก่ จิต เจตสิก รูป
1. จิต คือ สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ในการรู้สิ่งที่ปรากฏ หรือเรียกให้เป็นวิทยาศาสตร์จะเรียกว่า ธาตุรู้ ก็ได้
คนละเรื่องกับที่เข้าใจกันว่า มนุษย์เกิดมามีร่างกายและจิตใจ เมื่อตาย จิตจะออกจากร่าง เป็นวิญญาณล่องลอย... นั่นมันหนังผี แม่นาค หรือ ผีกระสือ ไม่ใช่พุทธ
จิตมีตั้ง 89 หรือ 121 ประเภท จิตเกิดเมื่อมีสิ่งที่ปรากฏเพื่อทำหน้าที่รู้ ดังนั้นจิตจึงเกิดในหลายๆ ที่ตามกิจ (หน้าที่) เช่น...
จิตเห็น เกิดที่นัยน์ตาเพื่อทำหน้าที่เห็น
จิตได้ยิน เกิดที่หู ทำหน้าที่ได้ยิน
จิตได้กลิ่น เกิดที่จมูก ทำหน้าที่ได้กลิ่น
จิตรับรส เกิดที่ลิ้น ทำหน้าที่รู้รส
จิตรับสัมผัส เกิดทั่วสรรพางค์กาย ทำหน้าที่รับรู้สัมผัส เช่น เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว
จิตนึกคิด เกิดที่ใจ ทำหน้าที่นึกคิด
2. เจตสิก คือ สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต เกิด-ดับพร้อมจิต เกิดที่เดียวกับจิต
จิตนั้นพอจะรู้กันบ้างแล้ว แต่เจตสิกนี่มันอะไร?
ขอนอกเรื่องหน่อยนึง... สมัยเรียนครูเคยได้ยินคำว่า เจตสิก แว้บๆ แต่ถูกพี่ฟรอยด์ ฝอยแหลก (Sigmund Freud) เจ้าทฤษฎีจิตวิเคราะห์หงำ (บดบังรัศมี) ด้วย id, ego, super ego ซึ่งอาจารย์ชำนาญทฤษฎีฝรั่งมากกว่าพุทธ แล้วอธิบายยังไงไม่รู้ ไม่เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่ตั้งใจเรียน
ในการปฐมนิเทศ รองอธิการเปิดเผยผลการวิจัยว่า พวกเรียนครูคือพวกยากจน และเรียนไม่ดี ผมฟังแล้วเกิดความรู้สึกขัดใจเอามากๆ ต้องใช้คำพูดแบบชาวอุบลจึงจะเห็นอารมณ์นี้ได้ชัด "ผิดตับ" คือได้ฟังแล้วผิดตับขึ้นทันที
ยากจน ยอมรับ แต่ที่บอกว่าเรียนไม่ดี ซึ่งก็คือโง่ นั่นแหละ อันนี้รับไม่ได้ ในใจผมแย้งทันที (ทั้งๆ ที่บอกว่าเป็นผลจากงานวิจัย) เพราะช่วงนั้นผมหัวไบรท์สุดๆ สอบได้ทหารอากาศ แม่ไม่ยอมไปมอบตัว อ้างยังเด็ก เรียนครูไปก่อน คนอื่นเขาสอบได้ภาคค่ำเขายังฉลอง 3 วัน 3 คืน นี่สอบได้ภาคกลางวัน ไปเรียน โตแล้วอยากไปไหนค่อยไป
ผมโกรธมากที่ได้ยินการรายงานผลวิจัยในวันแรกของชีวิตการเป็นนักศึกษาครู ผมซื้อตำราเรียนแล้วมานั่งอ่านทุกวิชา แล้วก็บอกตัวเองว่า มิน่า...ก็เห็นว่าโง่นี่เองถึงได้เขียนตำราโง่ๆ ให้เรียน แบบนี้ไม่ต้องเรียนก็ได้...
แต่มีอยู่วิชาหนึ่ง ไม่รู้ยังไง มันถูกชะตา มีวิชานี้วิชาเดียว คือ จิตวิทยา แต่ถึงจะชอบ ก็ฟังคำอธิบายเรื่องเจตสิกไม่เข้าใจอยู่ดี
ได้ฟังพุทธอธิบายจึงปิ๊ง ... เจตสิก ก็คือ ความรู้สึก (ไม่ใช่อารมณ์ เดี๋ยวจะอธิบาย) เช่น โกรธ รัก สุข ทุกข์ ตระหนี่ ริษยา เมตตา กรุณา เป็นต้น
กลไกของเจ้า 2 ตัวนี้ คือ เมื่อจิต หรือ "ธาตุรู้" เห็นสิ่งที่ปรากฏ มันก็ส่งผ่านกลไกของจิตเป็นทอดๆ แล้วเจ้าเจตสิกก็ทำงานพร้อมๆ กันไป ด้วยความรู้สึกต่างๆ
นั่นคือเจตสิก ไม่ใช่จิต ไม่ใช่ จิตรักใคร่ จิตเมตตากรุณา จิตริษยา อย่างที่พูดๆ หรือเข้าใจกัน
ความไขว้เขวสับสนเมื่อคนไทยเราเอาศัพท์ทางพระมาใช้นั้นมีมากมาย และนี่ก็เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ธรรมะอย่างสำคัญสำหรับคนไทย เช่น คำว่า อารมณ์
อารมณ์ คนไทยมากกว่าร้อยละ 90 เข้าใจว่าคือความรู้สึก (feeling/mood/sentiment) แต่ในทางพุทธ อารมณ์ หรืออารมฺมณ หรือ อาลมฺพน หมายถึง สิ่งที่จิตรู้ (The object that had been known by jitta) ในวงเล็บผมมั่วเอง เพราะอยากให้เข้าใจ ว่าอารมณ์มิใช่ความรู้สึก เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นอารมณ์ของจิต
แล้วที่พระพากัน "สอบอารมณ์" ให้ผู้ปฏิบัติธรรม ... สอบอะไร? สอบยังไง? เข้าใจอะไร? เคยอธิบายไหมว่า อารมณ์ ของชาวบ้านกับอารมณ์ ของคัมภีร์พุทธต่างกัน ยิ่งไปสอบอารมณ์ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ทำให้ชาวบ้านยิ่งปักใจว่า อารมณ์คือความรู้สึก ....
ยังมีอีกมากหลายคำที่สร้างความสับสนให้ชาวพุทธไทย
3. รูป คือสภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ (อย่าใช้ในความหมายแบบชาวบ้าน) คือไม่รู้ในสิ่งที่จิตรู้ นั่นแหละ
รูปแต่ละรูปเล็กและละเอียดยิ่ง เมื่อละเอียดมาก ที่เห็นๆ กันนั้นจึงเป็น "กลุ่ม" ของรูป ซึ่งแต่ละกลุ่มรูปมีอย่างน้อย 8 รูป เรียกว่า อวินิพโภครูป
ซึ่งก็ได้แก่ ธาตุทั้งสี่ ที่เรารู้จัก คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดรูปอีก 4 รูป คือ แสงสี (วัณโณ) กลิ่น (คันโธ) รส (รโส) และอาหาร (โอชา) เนี่ย 8 รูปนี้แยกกันไม่ได้ เรียกว่า 1 กลาป คล้ายๆ group หรือ กลุ่ม อันเป็นความหมายเดียวกัน
เอาละ เดี๋ยวจบไม่ลง เพื่อให้เห็นคุณวิเศษของพระพุทธเจ้า ว่าที่ว่าทรงเป็นครูของมนุษย์ เทวดา พรหม นั้น เป็นคำเยินยอเกินจริง หรืออวยกันหรือไม่
และเพื่อให้เห็นการทำงานของกลไกทีละขั้น หรือทีละขณะจิต
มาดูการผ่าเครื่องบินทั้งลำ ให้เห็นกลไก น็อต สกรูต่างๆ ว่ามันบินได้ยังไง? (นี่เป็นการอุปมาเพื่อให้เห็นภาพชัด)
ในการ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ผ่านทวารหรือช่องทางต่างไปๆ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย ในแต่ละแว้บ กลไกมันทำงานอย่างไร
เริ่มที่...
รูปเกิดขึ้นกระทบทวาร และกระทบ อตีตภวังค์ เป็นขณะจิตที่ 1
ภวังคจลนะ เป็นขณะจิตที่ 2
ภวังคุปเฉทะ เป็นขณะจิตที่ 3
ปัญจทวาราวัชชนะ ขณะจิตที่ 4
(ทวิ) ปัญจวิญญาณ ขณะจิตที่ 5
สัมปฏิจฉันนะ ขณะจิตที่ 6
สันตีรณะ ขณะจิตที่ 7
โวฏฐัพพนะ ขณะจิตที่ 8
ชวนจิต 1-7 เป็นขณะจิตที่ 9-15
ถึงตรงนี้ รูปยังไม่ดับ อายุของรูปยังเหลืออีก 2 ขณะจิต คือ ตทาลัมพนจิต 2 ขณะจิต
รวมเป็น 17 ขณะจิต รูปถึงดับ
นั่นแหละคือกลไกที่เดินไป คือ เกิดขึ้นและดับลง แล้วค่อยเปลี่ยเป็นจิตอื่น เช่น เห็น แล้วได้ยิน แล้วได้กลิ่น แล้วได้รู้รส แล้วจึง........แล้วจึง...... คือ รอให้ เห็น ดับไปก่อน แล้วค่อยเกิดเป็นได้ยิน....
เช่น เราดูหนัง ...เห็นภาพกับได้ยินเสียงไม่พร้อมกัน ต้องเกิดอย่างหนึ่งขึ้นก่อน รอให้ดับไปก่อน แล้วจึงเกิดอีกอย่างหนึ่งตามมา
แต่... อย่างที่บอก... มันเร็วมาก และไอ้ที่ว่าเร็วน่ะ มันก็ต้องมีขณะจิต 17 ขณะ
เห็น-- 17 ขณะ --ได้ยิน 17 ขณะ--เห็น-- 17 -- ได้ยิน 17 --.....สลับกันอยู่อย่างนี้ จนจบเรื่อง
ถ้าเรารู้แบบนี้ คงดูหนังไม่รู้เรื่อง...
นั่นแหละสิ่งที่พระองค์รู้ และไม่ใช่เท่านี้ เพราะจิตมันเกิดพร้อมเจตสิก ขณะที่มัน 17-17-17... อยู่นั้น พระองค์ยังรู้อีกว่า เจตสิกที่เกิดพร้อมจิตนั้นมีอย่างน้อย 7 ประเภท ...
และยังมีอื่นๆ อีกมากนัก แม้แต่จิต 17 ขณะ บางทีก็ตัดไปอีกช่องหนึ่งคือ ทางมโนทวาร คือ พอเห็นแล้ว ก็เดินไปตามลำดับขณะจิต ตึ๊ดๆๆ ยังไม่ครบ 17 ก็ตัดไปคิด คือ ทางมโนทวาร
ที่เขียนมา ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะทำให้ใครเข้าใจ เพียงแต่ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ทำไมเราจึงเรียกคนๆ หนึ่งว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่สำคัญ นี่คือ หัวใจของพุทธศาสนา นี่คือ ความแตกต่างของพุทธศาสนากับศาสนาอื่น นี่คือ สิ่งที่คนพุทธทุกคนควรจะได้เรียนและรู้ นี่คือ สิ่งที่พระสงฆ์ควรเรียนและควรสอน
ทำไม...ทำไมไปวุ่นวายด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องกระพี้ ทำไมไม่ใส่ใจในเรื่องที่เป็นแก่นสาร เป็นหัวใจ เป็นเรื่องที่คนพุทธควรนำไปตอบคนต่างศาสนา
และที่ผมเสียวและกลัวที่สุด คือ ข่าวคราวที่ว่า ชาวต่างชาติ ต่างศาสนา เริ่มหันมานับถือพุทธกันมากขึ้น แล้ว....คนเหล่านี้ก็บ่ายหน้ามาด้วยความหวัง แล้วจะให้เขาพบกับอะไร
เจอขี้ ที่มีอยู่ดาดดื่น หรือเจอแก้วที่เป็นพระรัตนตรัย มาทำสมาธิ มาสวดมนต์ แล้วไง??!
ผมเสียวว่า... เขาจะมาพบพุทธแท้ หรือพบแต่เปลือก กระพี้ ขี้ขอนดอก ...
อีกอย่างหนึ่ง ที่เขียนเรื่องธรรมะ ก็เพราะจะใช้วิเคราะห์หมอลำ คือ ต้องพูดเรื่องเจตสิก กลัวว่าอยู่ๆ โผล่ไปที่เจตสิกกลัวจะต้องอธิบายอีก เลยรวบเสียทีเดียว
พรุ่งนี้คงจบแล้วครับ

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (22)
 
วันนี้ ขอจบเรื่องลำซิ่ง และไปซิ่งเรื่องอะไรต่อ ... ค่อยว่ากัน
ไม่ทราบว่า ที่ผมแพล็มเรื่องธรรมไปนิดหน่อย แค่น้ำจิ้ม พวกท่านรู้สึกยังไง.... ผมอยากบอกความรู้สึกตัวเองว่า ตอนที่ได้รู้ว่า หลักธรรมจริงๆ ของพุทธศาสนาเป็นไปในแนวนี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องแนวนี้ ผมรู้สึก....อ้าวเหรอ สอนอย่างนี้ดอกหรือ อ้าวแล้วที่ผ่านไป มาก็ผิดหมดน่ะสิ ...
ครับ...ผมรู้สึกแปลกแยก (alienation) อย่าหาว่าแก่อังกฤษเลย คือ มันเป็นมากกว่าแปลกใจธรรมดา มันเหมือนกับรื้อความรู้ รื้อประสบการณ์ที่มีทั้งหมดทิ้ง ไป
ตายๆๆ ... แล้วที่ว่า เพียรจนเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้องค์ธรรม ก็แปลว่าเจ๊งกะบ๊ง ... น่ะสิ
อ่านประวัติเกจิอาจารย์ อย่างหลวงปู่คำคะนิง ซึ่งผาดโผนเอามากๆ ไอ้คนแผลงๆ แบบผม ยังคิดอยากลอง ก็เป็นอันว่า ผิดทาง... ทำไปให้ตายก็ไม่รู้อะไร...
งั้นก็...แสดงว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผิดหมดทุกข้อ ถ้าเป็นตลก เพชรพิณทอง ต้องบอกว่า... ครั้นจั่งซั่น กะแม่นแม่ลำผิดซั่นตั๊วะลูก.... เหมือนเพลง เพลิน พรมแดน ...ไปทำงานซาอุฯ ได้ข่าวเมียมีชู้ รีบวิ่งกลับไทย แต่ดันหันหน้าไปทางอเมริกา...
โอ๊ย...หมดกัน แล้วอีก ความภูมิใจที่ว่าอีสานคือแผ่นดินธรรม...จะให้เอาไปกองไว้ไหน?!
ครับ มันต้องกระเทือนเลื่อนลั่นขนาดนั้น...
สพฺเพ ธมฺมา อตฺตา ทุกอย่างมันควบคุมไม่ได้ uncontrollable ใครจะไปใหญ่เท่าพระพุทธเจ้า ท่านว่าแบบนั้น ก็ต้องเชื่อ
จะไป "ทำ" ได้ยังไง สิ่งที่ต้องเจริญให้มาก คือ เรียนด้วยการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังจนเป็นความเข้าใจของตนเอง รู้รอบปริยัติ คือ รู้ กลไกของความจริง หรือกลไกของปรมัตถธรรมไม่ใช่ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ท่องฉลากข้างขวดยา คือ ต้องฟังๆๆๆ ตรึกๆๆๆๆ จนเข้าใจๆๆๆๆ และทำความเข้าใจให้เป็นของตนเอง ...
แล้วปัญญาจะเกิดเอง ไม่ใช่ไปทำปัญญา ด้วยการไปดูจิต ... ดูทันซะที่ไหน ไปจ้องพัดลมเกียร์ 4 ให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยคิดไปจ้องพัดลมเกียร์ล้าน
เพราะปัญญา คือ เจตสิกประเภทหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเอง ไม่มีใครทำ จนกว่าจะเห็นลักษณะของสภาพธรรม ...
อย่าริเรียนลัดเลย เราพอกพูนความไม่รู้มาเป็นกี่แสนกี่ล้านกัปป์ จะให้กระเทาะง่ายๆ อย่าฝัน!
แล้วกัปป์หนึ่งมันนานแค่ไหน... ถามอากู๋ ดูเอาก็แล้วกัน
สรุปๆๆๆ...สรุปเสียที ... สรุปว่า จากที่หมอลำถูกภัยคุกคามจากดิสโก้ จึงปรับรูปแบบการแสดง ด้วยการทำให้สนุกสนาน โดยละหรือลดแก่นสารสารัตถะอย่างการแสดงแบบดั้งเดิมลง แล้วเอากลองชุดเข้าเสริมแคน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบเดิม เพื่อให้จังหวะกระชับเข้า
แล้วคัดสรรเอากลอนลำที่ให้ความสนุกคึกคัก เช่น ลำเต้ย ลำเดินดง ลำอื่นๆ ที่สามารถนำมาเข้าจังหวะที่กระชับได้ แล้วเรียกลำรูปแบบใหม่นี้ว่า "ลำกลอนประยุกต์"
ลำกลอนประยุกต์ได้รับความนิยมไม่นานปี หน่วยธุรกิจบันเทิงมองเห็นช่องทางทำกำไร จึงนำเอาไปผลิตเป็นสินค้า เป็นสื่อทางโสตทัศนูปกรณ์ (cassette tape/VCD/DVD) ในระหว่างนั้นการแสดงรูปแบบนี้ได้เปลี่ยนชื่อการแสดง จากลำกลอนประยุกต์ เป็น "ลำซิ่ง" ขณะที่ดิสโก้เสื่อมความนิยมจากประชาชนไปแล้ว
จะเห็นได้ว่า ระดับความเข้มข้นของการแสดงหมอลำของหมอลำซิ่งได้ค่อยๆ ลดระดับ จากการว่ากลอนด้วยลำชนิดต่างๆ ก็ค่อยๆ ลดลง มาเป็นพูดแทรกมากขึ้น นักแสดง หรือ หมอลำได้กลายเป็น entertainers คือ เล่นกับผู้ชมรูปแบบเดียวกับนักร้อง "สตริง" คือพูดแบบการพูดทั่วไป ไม่ได้พูดที่มีทำนองลำกำกับแบบหมอลำ
ขณะที่เครื่องแต่งกายของหมอลำก็ลดจำนวนชิ้นลงเรื่อยๆ และออกแบบให้สั้นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อโชว์ส่วนสัด
ทางด้านผู้ชม ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ คือ ด้านอายุ มีผู้ชมหน้าใหม่ที่มีอายุน้อยลง ขณะที่ผู้ชมทีมีอายุมาก ที่นิยมหมอลำที่ต้องการฟังเอาเนื้อหาสาระ และนิยมรูปแบบการแสดงที่คล้ายหรือใกล้เคียงกับการแสดงแบบดั้งเดิมค่อยๆ ทยอยออกนอกวง
ผู้ชมลำซิ่งต้องการเพียงความสนุกสนาน ที่ได้เต้นรำระหว่างหมอลำซิ่งทำการแสดง เหมือนกับแขกของร้านอาหาร หรือสถานเริงรมย์ในสังคมเมือง ที่สามารถเต้นรำได้ขณะนักแสดงทำการแสดง
เวทีรำซิ่งจึงคล้ายกับบรรยากาศของร้านอาหารหรือสถานเริงรมย์
ส่วนระดับความเข้มข้นในการแสดงหมอลำแบบดั้งเดิมจางลงเรื่อยๆ จนปัจจุบัน การแสดงลำซิ่งแทบไม่เหลือรูปแบบและเนื้อหาอย่างหมอลำดั้งเดิม คือ ขับลำน้อยถึงน้อยมาก หรือไม่มีการขับลำเลย
ลำซิ่ง ในปัจจุบัน มีเพียงการขับร้องเพลง ที่มีทำนองสนุก เนื้อหาถ้อยคำส่อไปในทางสองแง่สองง่าม หรือสื่อตรงๆ ด้วยถ้อยคำลามกอนาจาร ตลอดจนการแสดงประกอบก็ใช้กิริยาสื่อถึงการร่วมเพศ
นอกจากนี้ นักแสดง (ฝ่ายหญิง) นอกจากแต่งกายล่อแหลม ด้วยการโชว์สัดส่วน และอวัยวะทางเพศแล้ว ยังได้ตั้งชื่อการแสดงของตัวเองที่สื่อไปในทางเพศอีกด้วย เช่น ไหทองคำ เป็นต้น
สภาพการณ์ทั่วไป การแสดงหมอลำซิ่งนำมาซึ่งการทะเลาะวิวาทะระหว่างผู้ชมด้วยกัน มีการทำร้ายร่างกายกันถึงขั้นบาดเจ็บ ล้มตาย มีผู้ชมถูกดำเนินคดีอาญาเป็นจำนวนมาก
จนต้องปรับเปลี่ยนเวลาทำการแสดง จากเวลากลางคืน มาเป็นเวลากลางวัน เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมด้านความปลอดภัย
แต่การทะเลาะวิวาทก็หาได้ลดลงไม่ ถึงขนาดเจ้าหน้าที่ต้องนำกรงขังมาวางไว้ข้างเวทีเป็นการปราม แต่ก็ไม่เป็นผล จนในที่สุด จึงใช้วิธี ให้ผู้ก่อการทะเลาะวิวาทชดใช้ความเสียหายด้วยการรับผิดชอบค่าจ้างหมอลำซิ่งทั้งหมด แต่ก็ยังมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น แม้มีผู้ถูกปรับให้ชดใช้ความเสียหายเป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม
ถ้าจะให้เขียนบรรยายแบบงานวิชาการ ก็จะเป็นแบบนั้น
โดยส่วนตัว ผมว่า ถ้าลำซิ่งหยุด (freeze) ตัวเองไว้ แค่ ... สังวาลย์น้อย ดาวเหนือ คู่กับ พัชรี แก้วเสด็จ สถานการณ์จะไม่เป็นอย่างที่เห็นๆ กัน
สังวาลย์น้อย-พัชรี การคู่ของลำซิ่งคู่นี้กำลังงาม พอดี ไม่มากไม่น้อย จะว่าซิ่งก็ซิ่ง แต่ยังยึดโยงกับศิลปะหมอลำกลอนอย่างเหนียวแน่น
ผมว่าถ้าลำซิ่ง สร้างพื้นฐานการแสดงให้ได้มาตรฐานระนาบเดียวกับสังวาลย์น้อย ดาวเหนือ จะงดงามยิ่ง (ผมหมายถึงสังวาลย์น้อยระยะต้นๆ ไม่ใช่ระยะหลังๆ เพราะมีไหลตามกระแสบ้าง)
ว้า.... จบไม่ลงอยู่ดี ขอต่ออีกวันเถอะ พรุ่งนี้จะว่าด้วยเรื่อง เหตุใดหมอลำรุ่นใหญ่จึงว่ากล่าวตักเตือนหมอลำรุ่นหลังให้อยู่ฝนกรอบไม่ได้ และลำซิ่งจะไปจบลงที่ใด
(โปรดอ่านต่อวันพรุ่งนี้)

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
ลำซิ่ง สะท้อนอะไรต่ออีสาน (จบ)
 
การอยู่กรุงเทพฯ ต้องหาอยู่หากิน หาบ้านพอคุ้มแดดคุ้มฝน หารถยนต์พอได้อวด ว่าลำบากยากแค้นแล้ว .. เชื่อหรือไม่ว่า ...การกลับมาอยู่บ้านเกิดลำบากและยากยิ่งกว่า!
อย่างแรก คือ ต้องสู้กับสายตาของผู้คน ก็คนบ้านเดียวกันนี่แหละ หลายคนก็เป็นญาติด้วย .... นั่นแน่ กูว่าแล้ว..ไปไม่รอด
ยิ่งการกลับบ้านในช่วงวุ่นวายทางการเมือง ยุคแดงทั้งแผ่นดิน คุณเอ๋ย... จะหนีกลับกรุงเทพฯ ก็หลายครั้ง
สิ่งที่จะ "ออย" บำรุงบำเรอจิตใจให้อยู่ได้ คือ หาที่พึ่งทางใจ .... อย่างที่รู้ ผมมันแปลกคน ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจยามสับสนในชีวิต ผมไม่ได้หันไปหาพระหาเจ้า แต่ผมหันไปหาอดีตพระบ้าง และผู้รู้บ้าง
อย่างที่ว่าๆ กัน ... การใกล้ชิดพระโคดม แม้เดินเกาะชายจีวรก็ไม่นับ แต่ถ้าเข้าใจธรรมะ ก็เหมือนได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ อะไรประมาณนี้แหละ
ผมจึงอ่าน "งาน" ของอดีตพระ และผู้รู้ มากกว่าจะไปจับไม้จับมือ ขอลายเซ็น หรือรู้จักเป็นการส่วนตัว
ที่นึกขึ้นได้เวลานี้ มี ปรีชา พิณทอง สิริวัฒน์ คำวันสา ชอบ ดีสวนโคก อุดม บัวศรี เจริญชัย ชนไพโรจน์
ซึ่งท่านหลังนี้ ในเวลาต่อมาคือผู้จับมือผมเขียน ก ไก่ ก กา ทางดนตรี
แน่นอน... พงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา สุรินทร์ ภาคศิริ สองชื่อนี้ เก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เพื่อเอาไว้ปลุกปลอบด้วยเสียงเพลง ... โทรศัพท์ทีวีไม่มีสักอย่าง มีแต่วิทยุฮ้าง เอาไว้ฟังเพลงลูกทุ่ง....
มิพักต้องพูดถึง "3 คำ" คำพูน บุญทวี คำหมาน คนไค และคำสิงห์ ศรีนอก
เพราะผมก็พอจะอ้อมแอ้มเอากับเขาได้บ้างว่าเป็นนักเขียน ... นักเขียนคาบเส้น (เกือบตก)
ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมจะเล่าความโชคดีในชีวิตให้ฟัง ...
ลุงคำพูน ในช่วงใกล้วาระสุดท้าย คือ คนที่เด็กโอเปอเรเตอร์ยกหูโทรศัพท์ภายในบอกในช่วงบ่ายแก่ๆ ใกล้จบงานในแต่ละวัน ว่า "พี่...ลุงพี่มาอีกแล้ว!"
เด็กรุ่นใหม่เขาไม่รู้จักนักเขียนซีไรท์คนแรกของเมืองไทย นึกว่าเป็นคนขายไข่ปิ้งมาเซ้าซี้ชวนให้ออกไปกินเหล้าขาว
แรกๆ ก็ชวนกินเหล้าจริงๆ แต่ระยะหลังกินข้าวอย่างเดียว เวลาส่วนใหญ่คือคุย ไม่รู้คุยอะไรนักหนา แถมเผลอๆ ลุงยังแอบถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย ไม่รู้พิศวาสอะไร วันหลังก็เอารูปมาโชว์... ในสมัยที่ยังใช้ฟิล์ม ไม่ใช่ถ่ายทิ้งถ่ายขว้างด้วยมือถืออย่างทุกวันนี้
ลุงคำหมาน คือ คนที่ผมรบกวนทุกครั้งที่เป็น บก. หนังสือ ...ผมทำกับท่านเอาไว้มาก ทำราวกับท่านเป็นนักเขียนโนเนม อยากหาที่ลงข้อเขียนของตัวเองใจจะขาด ท่านเมตตาเขียนบทความให้ฟรีๆ ทั้งๆ ที่งานล้นมือ ทั้งงานประจำและงานนอกราชการ
"โตคือโชคดีแท้ อยากเฮ็ดหยังกะได้เฮ็ด..." ฟังคล้ายชม แต่ท่านด่า ทุกครั้งที่ผมบอกว่าผมจับงานใหม่ (อีกแล้วและอีกแล้ว)
ลุงคำสิงห์ คือ คนที่ยังมีชีวิต ผมยังจำคืนอันร้อนตับแตก ท่านและคณะอุตส่าห์ตะเกียกตะกาย (ต้องใช้คำนี้ เพราะผมเพิ่งทำถนนเข้าบ้านทุ่ง ริมฝั่งหนองหาน ทางเละเทะ) ผมสละเตียงนอนและพัดลม ให้ ท่านไม่ยอม ขอนอนใต้ถุนบ้าน ที่มีเสื่อขาดผืนเดียวปูนอน บอกว่า สมัยเข้าป่าลำบากกว่านี้
แล้วไม่ควรที่กระจอกอย่างผม จะภูมิใจดอกหรือ ในการได้รู้จักกับ "ภูเขาสามลูก" ที่นักเขียนอีสานต้องข้ามให้ได้ จึงจะอวดอ้างทะนงตนว่าเป็นนักเขียน
ผมทำแบบที่นักจิตวิทยาว่า.. คนที่มีปมด้อยมักสร้างปมเขื่องให้ตัวเอง ด้วยการอวดว่ารู้จักคนดังๆ ไปแล้ว ทีนี้ผมจะยกบางท่านเพื่อเสริมปมให้ตัวเองอีกนิด
ชอบ ดีสวนโคก ชื่อนี้มักมาคู่กับอุดม บัวศรี (ขอโทษ ที่ไม่ใส่ตำแหน่งทางวิชาการ เพราะผมคิดว่า พวกท่านเป็นยิ่งกว่าคำนำหน้าชื่อ) มีงานวิจัยที่ผมจำไม่ลืม คือ "เจ้าโคตร" สร้อยต่อว่าอย่างไรผมก็ลืมไปแล้ว
เจ้าโคตร คือ ผู้ที่ปากเข็ดปากขวาง คือพูดแล้วจบ ทุกคนที่เป็นคู่พิพาทต้องยอมรับ และพร้อมปฏิบัติตาม เพราะเป็นคำตัดสินที่ยุติธรรมและเป็นธรรม
เจ้าโคตร คือ ระบบคุณค่าที่อีสานเคยมี แต่ไม่เหลือซากแล้ว ทั้งในกระบวนพิจารณาคดี และในหัวใจคนอีสาน
ขอเข้าเรื่องของเรา ... ลำซิ่ง
สองประเด็นสุดท้ายสำหรับวิเคราะห์เรื่องลำซิ่ง คือ
1) เหตุใดหมอลำอาวุโส หรือองค์กรตัวแทนหมอลำ ไม่ห้ามปรามหรือจัดระเบียบลำซิ่งให้เป็นการแสดงที่พึงประสงค์
2) อนาคตลำซิ่งจะจบลงที่ไหนและ อย่างไร
ประด็นที่หนึ่ง เมื่ออ้างอิงงาน เจ้าโคตร จะเห็นได้ชัดเจนว่า หมอลำไม่มีบุคลากร หรือองค์กรที่เป็นที่ยอมรับ ที่สามารถเข้าไปจัดการสิ่งไม่พึงประสงค์ได้
หากหมอลำมีคนหรือองค์คณะที่ปากเข็ดปากขวางแบบเจ้าโคตร ความไม่เหมาะไม่ควร จะถูกขจัดให้เข้าสู่แนวทางที่เหมาะที่ควร โดยหมอลำดั้งเดิมและหมอลำซิ่งต้องยอมรับ และนำไปปฏิบัติ เพราะคำชี้แนะมันยุติธรรมและเป็นธรรม นำไปสู่ทางเจริญ
ที่สำคัญ หมอลำรุ่นใหม่ก็จะได้มีแนวทางและช่องทางในการก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้อย่างภาคภูมิใจและมั่นคง แล้วทุ่มเทให้กับการรังสรรค์สิ่งใหม่ๆ โดยที่ยังยึดรากเหง้า คงคุณค่าดั้งเดิม
ประชาชนผู้เสพงานก็จะได้รับสุนทรียรสโดยไม่ตะขิดตะขวงใจอย่างที่เป็นอยู่
สาเหตุหลักที่หมอลำไม่มี "เจ้าโคตร" (บุคลากร-องค์กร) คือ ปัญหาพื้นฐานของวงการหมอลำที่แก้ไม่ตกมาทุกยุคทุกสมัย
ปัญหานี้ มีที่มามาจาก "ความคับแคบภายในจิตใจของผู้ที่เป็นหมอลำ" เรียกง่ายๆ คือ ใจแคบ นั่นเอง เพราะสิ่งนี้มันนอนเนื่องในใจของหมอลำมานาน หรืออาจมีมาแต่ครั้งเริ่มมีหมอลำเลยก็ได้
อย่างที่บอก ทุกการแสดงของหมอคือสงครามตัวแทน (proxy war) ผู้อยู่เบื้องหลัง คือ ครูผู้ประพันธ์กลอนลำ จากสู้กันในเชิงศิลปะ เชิงโวหาร เอาองค์ความรู้เข้าสู้กัน จนเลยเถิดถึงขั้นเอาชนะคะคานด้วยเล่ห์ กล มนตร์ คาถา ผู้พ่าย สูญเสียอนาคต แม้กระทั่งชีวิต
แล้ว... ใครทำใคร ทำไมจะไม่รู้ ก็วงการมันแคบนิดเดียว ไม่รู้วันนี้ ก็ต้องรู้ในวันหน้า ใครได้-ใครเสียผลประโยชน์ก็เห็นๆ กันอยู่
ความกินแหนงแคลงใจนานเข้าก็แบ่งแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า เป็นกลุ่ม เป็นสำนัก เมื่อเกิดปัญหาต่อวงการโดยรวม มีหรือจะหันหน้าเข้าหากัน แทนที่จะหันหน้าปรึกษากัน ก็หันไปซบคนข้างนอก คือนายทุนเจ้าของสินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายคือมิตรหมอแคนแฟนหมอลำ
คนอีสานติดยาแก้ปวด เป็นอะไรนิดหน่อยก็ฉีกซองเทเข้าปาก ใส่แม้กระทั่งในน้ำปลาร้าตำส้มตำ นั่นแหละผลงานของหมอลำ
ความไม่ลงรอยที่นอนเนื่องสะสมนานเป็นหลายๆ สิบปี มักแสดงอาการทุกครั้งเมื่อหมอลำประสบปัญหา
ปัญหาของหมอลำมีมาก (ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาความเสื่อมโทรมด้วยลำซิ่ง) ส่วนใหญ่ก็คือ ปัญหารายได้ในการแสดง
ในช่วงเทศกาล หมอลำดังก็รีบกอบโกย แบบน้ำขึ้นให้รีบตัก ตัวใครตัวมัน คนดังรองๆ จำนวนงานก็รองๆ ลงไป ต่างก็ก้มหน้าก้มตารับงานแสดง ไม่มีเวลาสุงสิงกับใคร
ส่วนพวกหมอลำใหม่ไร้ชื่อ ก็คุ้ยเขี่ยหากินกันไป อดมั่งอิ่มมั่ง
แต่พอหมดเทศกาล คือ เข้าหน้านา หมดงาน ก็กลับไปทำนา ต้องรีบให้ทันฟ้าทันฝน .... ไม่มีเวลาสุงสิงกับใคร
วงจรชีวิตหมอลำ เป็นอยู่อย่างนี้อยู่ชั่วนาตาปี ... คุ้นชินกับการเป็นตัวใครตัวมัน!
บ้านผมในกรุงเทพฯ อยู่ใกล้ตลก ยาว อยุธยา ผมมักไปคุยกับแก แกเล่าว่า ที่วงการตลกเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น สิ่งหนึ่งคือ ตลกรุ่นก่อนเขาใจกว้าง ยอมเจ็บเพื่อตลกรุ่นหลังให้มีที่ยืน แกยกตัวอย่าง ที่ประทับใจไม่รู้ลืมให้ผมฟัง...
จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก (ตัวอ้วนๆ เคยอยู่กับ เด่น-เด๋อ-เทพ) เมื่อแยกตัวมาตั้งคณะ ก็สร้างผลงาน จนมีชื่อเสียง เจ้าภาพเจาะจงจ้าง เพราะเชื่อในฝีมือ แต่... จุ๋มจิ๋มยอมเอาชื่อเสียงของตัวเองเข้าเสี่ยง ยอมให้เจ้าภาพด่า หรือฟ้องร้อง เพื่อต้องการให้คณะตลกใหม่โนเนมได้ขึ้นแสดงแทน
หัวใจเขาน่ากราบ...สำหรับเด็กใหม่ รู้สึกเป็นบุญคุณ เมื่อได้รับโอกาส ดังแล้วก็ปฏิบัติต่อเด็กใหม่แบบเดียวกัน
ปัญหาของหมอลำ ที่ผมเรียกว่า ขาดไร้ซึ่งมโนธรรมสำนึก หรือภาษาสมัยใหม่เรียกว่า ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม นั้น ไม่อาจแก้ไขได้ชั่วข้ามคืน เพราะพฤติการณ์นี้ มีที่มาจากส่วนลึก คือ เจตสิก ที่เรียกว่า อกุศลเจตสิก คือเจตสิกที่ไม่ดีไม่งาม เมื่อเกิดกับจิตใด จิตนั้นก็เป็นอกุศล มีทั้งสิ้น 14 ดวง แต่ที่โดดเด่นที่หมอลำแสดงออก ได้แก่
1) ทิฏฐิเจตสิก เป็นเจตสิกที่เห็นผิดในสภาพธรรม จึงปฏิบัติตนไม่ถูกต้องตามเหตุและผล
2) มานเจตสิก สำคัญตน ทะนงตน
3) โทสเจตสิก ประทุษร้าย เดือดร้อน ขัดเคือง
4) อิสสาเจตสิก ริษยาสมบัติของผู้อื่น ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ
ผมยกคำพระมา เพื่อให้เห็นว่า เหตุใดผมจึงใช้ถ้อยคำว่า "ขาดมโนธรรมสำนึก" ซึ่งเป็นคำที่หนัก เพื่อชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ฝังอยู่ในส่วนลึก ที่ฉาบทาปกปิดด้วยท่าทีอันงดงาม
ทั้งนี้ เพื่อให้มีการแก้ไขปรับปรุงอย่างถึงแก่น มิได้หาเรื่องด่า เพราะหมอลำที่ผมรักและเคารพก็มีหลายท่าน
ขอได้โปรดพิจารณา
2) หมอลำซิ่งจะจบลงที่ไหน อย่างไร
โปรดสังเกต ผมมักใช้คำว่า "ลำซิ่ง" มากกว่า "หมอลำซิ่ง" เพราะคำว่า "หมอ" หมายถึง ผู้รู้ ผู้ชำนาญ สารานุกรมพ่อปรีชา พิณทอง นิยามไว้อย่างนั้น แต่ครูผม ดร.เจริญชัย ชนไพโรจน์ บอกว่า "หมอ" ใช้เฉพาะกับผู้รู้ ผู้ชำนาญในทางที่ดี เท่านั้น
พวกลำซิ่ง สำหรับผม ยังเป็นหมอกับเขาไม่ได้ ตราบใดที่ยังหง่างยังงะไม่เลือกสถานที่แบบที่เป็นกันอยู่
อนาคตของลำซิ่ง มีทางอยู่ 2 ทาง คือ
1) ถูกห้ามแสดงแบบเดียวกับรำวง เพราะเกิดการทะเลาะวิวาท มีคนเจ็บ ล้มตาย จนรัฐต้องยื่นมือเข้าจัดการ
เสียดายไม่มีใครเก็บข้อมูลผลกระทบจากลำซิ่ง เผลอๆ อาจมีจำนวนคนเจ็บ คนตายมากกว่าสถานการณ์โควิดในประเทศ ก็ได้
หากเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญแบบที่งานพระธาตุนาดูน มหาสารคาม ปีนั้น มีสิทธิ์โดน
2) ซิ่งไปเรื่อยๆ จนหมดแรงซิ่งไปเอง ซึ่งข้อนี้มีความเป็นไปได้สูง เพราะสภาพสังคมอีสานอย่างที่เป็นอยู่ จะมีตัวตายตัวแทนเกิดขึ้นเรื่อยๆ
โดยลำซิ่ง หรือกระแสนิยมหง่าง จะรุกไปถึงเด็กสาวจากรั้วมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกับที่เกิดกับวงการ "พริตตี้"
แล้วลำซิ่งจะพัฒนาไปถึงขั้นมี "ลำซิ่งเอ็น" (เอ็น คือ เอ็นเตอร์เทน entertain) คือ ให้บริการทางเพศแบบดีลิเวอรี่ หรือส่งถึงบ้าน)
ขออภัย ถ้าหากเขามีไปแล้ว
ถ้าเหตุการณ์มันเดินไปถึงขั้นนั้น ก็ถือว่าหมดยุคของหมอลำ เพราะไม่มีเงื่อนไขให้ต้องฟื้นฟูกันแล้ว เพราะหมอลำที่คงคุณค่าดั้งเดิมนับวันจะลาโลกไปทุกวัน (อย่าหาว่าแช่งเลย)
บางท่านอาจแย้งว่า ปัจจุบันมีการเรียนการสอนหมอลำกัน ในมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่พอที่จะเป็นความหวังได้หรือ?
ผมว่ายาก... เพราะมูลเหตุจูงใจของผู้เรียน คือ อยากได้ปริญญา ไม่ใช่ฝากชีวิตฝากอนาคตไว้ที่อาชีพหมอลำอย่างหมอลำในอดีต ที่โสสุด ตายเป็นตาย...หรือแบบ... ไม่โด่งไม่ดังจะไม่หันหลังกลับไป....
แปลกนะครับ หมอลำกับหมอมวย (นักมวย) มีอะไรเหมือนๆ กัน ต้องเอาเหงื่อเอาเลือดเข้าแลก แบกความจนจากท้องไร่ท้องนา มือด้าน ตีนด้าน มุมานะสร้างตัว จึงจะเป็นยอดนักมวย ไม่ใช่มาจากฟิตเนส อคาดิมี หรือ ยิม ที่ดาราเป็นเจ้าของ
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่คนอีสานยังสื่อสารกันได้รู้เรื่อง ด้วยภาษาพ่อภาษาแม่ และยังมีคนเห็นมิติความงดงาม ลึกซึ้งของภาษา กระแสก็อาจตีกลับอีกครั้ง กลับมามีหมอลำที่พึงประสงค์ ก็ได้
สังเกตหรือไม่ว่า ทุกวันนี้ ภาษาอีสานได้รับการยอมรับ โดยมีการนำไปใช้ในสังคมวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น เงิบ หงายเงิบ ดูทรง ต่อน เป็นต้น
หวังว่าความหวังของผมจะเป็นจริงเข้าสักวัน...
ก่อนจบขอฝากถึงลูกๆ หลานๆ ที่เป็นลำซิ่ง ขอให้หยุดเด้งซักครู่ แล้วฟัง...
เมืองไทย โดยเฉพาะภาคอีสาน มีสิ่งที่ฝรั่งหรือคนชาติอื่นเขาไม่มีไม่ถือ คือ เรามีพ่อมีแม่ ลุงป้าน้าอา มีพี่มีน้อง มีลูกมีหลาน มีพระมีเณร ขณะที่พวกเธอกำลังเมามัน ทำบัดสีบัดเถลิงอยู่นั้น คนเหล่านี้กำลังดูอยู่ ถ้าทำให้เขาดูภายในบ้านหรือในที่รโหฐาน เราก็ยังเขินอาย แต่นี่ ทำต่อหน้าใครก็ไม่รู้ กี่สิบกี่ร้อย ซ้ำยังถ่ายภาพไปดูซ้ำๆ กันอีก ...
พวกเธอคงเกิดไม่ทัน นางงามที่ชื่อ ศิริขวัญ นันทศิริ หรือที่คนรู้จักกันดีในชื่อ "นางแบบไก่แดง" เป็นยี่ห้อเหล้า เนื่องจากเธอรับงานถ่ายแบบเปลือย ลงปฏิทินเหล้ายี่ห้อนี้ ทำให้ภาพจำที่เคยเป็นนางแบบแฟชั่น นางเอกหนัง นางงาม มลายหายไปสิ้น เมื่อถ่ายแบบ... นี่แค่ถ่ายภาพนิ่ง
หลังจากนั้นหลายปี เธอแต่งงานมีลูก เธอให้สัมภาษณ์ สารภาพผิด หากย้อนเวลาได้ เธอจะไม่ยอมทำแบบนั้นเด็ดขาด ... อายลูก กลัวลูกโดนล้อที่โรงเรียน.... นั่นเขาสวยระดับนั้น ยังรู้สึกผิด
แล้วเรา... อืดฮื้ดอาดฮ้าด ..ไม่อายเลยหรือ? เลิกเถอะ ไม่คุ้ม...
ท้ายนี้ ขออำลาด้วยการจบแบบหมอลำ...ขอยืมหมอลำเดชา นิตะอินทร์.....
...สีนานวล ซ้วนอ้ายไว้น่วน แหน่นวลน้อง...

 

        

                                                        

 

ฮีต 12 คอง 14  

 

.

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (1)
 
ว่าจะมุดเข้าถ้ำ ปลีกวิเวกสักระยะ เห็นว่ารัฐบาลต่อ curfew ก็เลยจิ้มๆ รอ ...และ... ขอเปิดซีรีส์ใหม่
อย่างที่บอกเรื่อง ฮีตและคอง ส่วนใหญ่จะเรียกควบรวมกันว่า ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ได้ยิน-ได้เห็นกันจนชิน หลายท่านคิดว่ารู้ และรู้ดีเสียด้วย ผมจึงอยากท้าทายท่าน ไอ้ที่ว่ารู้น่ะ รู้แค่ไหน... มาลองฟัง (อ่าน) แล้วนำไปเทียบเคียง ว่า ที่ท่านรู้ กับที่จิ๊กโก๋อย่างผมรู้ มันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
เรื่องที่ผมจะจาระไนต่อไปนี้ อาจเปิดมุมมองของท่านที่มีต่อ "หลักคุณค่า" ที่มีค่าควรเมืองที่เรียกว่า ฮีต-คอง ก็ได้
ผมเคยได้ยินคนแอบนินทาผม เวลาที่เขียนหรือเล่าเรื่อง บ้างก็ว่าขี่ม้าเลียบค่าย บ้างเอาหนักถึงขั้นว่า "อ้อมโลก" ผมไม่เถียง และยอมรับ ... เพราะผมเห็นว่า แต่ละเรื่อง มันมีที่ไปที่มา มันต้องหว่านล้อม เพื่อจะได้เข้าใจโดยไม่กังขาในเรื่องนั้นอีกต่อไป
เช่นเรื่องลำซิ่ง อย่างเก่งก็น่าจะซัก 4-5 บท ก็น่าจะจบได้ แต่ผมเล่นซะ 23 บท
ผมไม่กลัวเรื่องที่มันจะยาวจะสั้น เพราะไม่ได้ทำบนพื้นที่จำกัดอย่างหน้ากระดาษ ที่ต้องหั่นต้องเจียนให้ลงในพื้นที่อันจำกัด แต่สิ่งที่กังวล คือ เวลาออกนอกเส้นทางจะกลับเข้าร่องเข้ารอยได้หรือไม่
และที่กลัวมากกว่านั้น คือ กลัวลืมประเด็นที่กำลังจับอยู่ ซึ่งระยะหลังเป็นบ่อย ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องนี้ๆ แต่พออ้อมโลกเสร็จ ดันลืมสาระที่กำลังเขียนซะนี่ นั่นแหละที่กลัว
เรื่องฮีต-คองเป็นเรื่องใหญ่ มีมิติล้ำลึก และกินแดนสู่หลายๆ มิติ ดังนั้น กรุณาตีตั๋วนอน หรือถ้าจะมุดน้ำดำน้ำก็ขอให้อึดเป็นชั่วโมงๆ
เอาละ ขอเข้าสู่เรื่องราวของ... ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ....โกญจนาท พากย์...
คำว่า "ฮีต" ในหลายต่อหลายที่ แม้แต่ปราชญ์อย่าง พ่อปรีชา พิณทอง หรือ ท่านมหาสิลา วีระวงส์ ก็ว่าตามๆ กันว่า คำนี้มาจากภาษาสันสกฤต คือ จาริตะ หรือ จารีต แต่ผมคนสู่รู้บอกไม่เชื่อ... ผมว่า ฮีต มันก็มาจาก ฮีต นี่แหละ
ผู้รู้เห็นคำไหนมันแปลก มักจัดมันเข้าสันสกฤตอยู่เรื่อย ... ที่ผมบังอาจแย้งผู้รู้ เพราะฮีต-คอง ตามประวัติ มีมาแต่ครั้งขุนบรม (ขุนบอลม) ก็ยุคน่านเจ้า หนองแส ตาลีฟู หนองกระแสแสนท้าง ...นั่นไง บอกแล้วว่าเรื่องนี้ มันพันไปหลายเรื่อง
แค่บอก ฮีต มีมาแต่ยุคน่านเจ้า... ประเภทแก่ประวัติศาสตร์ก็หูผึ่งทีเดียว... ก็อั๊วบอกแล้วไงว่า... คนไทยไม่ได้มาจากไหน คนไทยอยู่ที่นี่...จะมาหนองสงหนองแสอะไร บ้า...ชาตินิยม...คับแคบ... นั่นมันข้อมูลเก่า สมัยหลักไทย ของขุนวิจิตรมาตรา ...
ไม่มีหรอก.. อัลไต ...หนองแส น่านเจ้า... คนไทยอยู่ที่นี่ อัลไตมันมีแต่หิมะ คนอยู่ไม่ได้... อั๊วไปดูมาแล้ว มีแต่สถานีเรดาร์ของรัสเซีย...
ท่านนี้ถึงกับตั้งสำนักพิมพ์ เพื่อพิมพ์เผยแพร่งานและแนวคิดของตัว ขับกล่อมคนไทยให้เคลิ้มอยู่นานปี ... ในปี 2545 ผมพิมพ์งาน ลูกทุ่งอีสาน มีส่วนที่กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของคนไทย ทำนองว่า ชนชาติไทยมาจากหนองแส น่านเจ้า ... แล้วท่านผู้นั้นก็ฝากเด็กมาด่าผมว่า...คร่ำครึ
ผมก็ฝากเด็กไปเรียนท่านว่า ...ช่วยด่าออกสื่อที่ท่านมีอยู่ในมือหน่อยเถอะ ผมจะได้ดังกับเขามั่ง ... คงกลัวว่าผมจะดังหรืออย่างไรไม่ทราบ... ท่านเงียบมิดจ้อย
ความจริงเรื่อง ความเป็นมาของชนชาติไทย มีทฤษฎีของฝรั่งว่าไว้ถึง 5 ทฤษฎี ผมก็เลือกเอาทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง ตามหลักฐานที่มี ท่านเองก็ปักใจเชื่อโดยเลือกจาก 1 ใน 5 ทฤษฎีนั้นเหมือนๆ กัน... ไม่เห็นจะวิเศษวิโส
เขาว่า... ประวัติศาสตร์ คือ ความจริง ตราบเท่าที่ยังไม่มีข้อมูลใหม่มาหักล้าง ... ทุกวันนี้ ท่านก็ยึดมั่นถือมั่นในแนวคิดทฤษฎีของท่าน (ที่เอาขี้ปากฝรั่งมาเสริมต่อ) ไม่เปลี่ยน ... ไม่เชื่อเชิญเปิดยูทูบดูได้
และไหนๆ ก็ไหนๆ ถ้าเปิดยูทูบดูท่านโชว์เสื้อลายสก็อตแบะอกแล้ว ช่วยคีย์คำว่า altai music ดูเสียหน่อย จะได้รู้เสียทีว่า ... อัลไตไม่มีคนอยู่ คนอยู่ไม่ได้ มีแต่หิมะ บรรพบุรุษไทยไม่อยู่ที่นั่น ... จริงหรือมั่วนิ่ม?
อัลไตคือเทือกเขา เหมือนเทือกเขาภูพาน ไปดูที่หนองบัวลำภู แล้วแหกปากบอก... ภูพานมีแต่ลูกหลานพระวอ-พระตา เป็นลาว พูดภาษาหน่องแนว... สูๆ กูพ้องู้ เอาค้อนม้าฆ่างู้แหน่... แบบเดียวกับชาวภู้เขียวภู้เวี้ยง ไซญะภู้มิ ไม่มีญ้อ ผู้ไท คะเลิง แสก ... มันจะถูกหรือ?
มันต้องไปดูภูพานสกลนครด้วย.... แล้วอัลไตมันไม่ยิ่งกว่าภูพานดอกหรือ? เพราะมีหลายชนชาติ หลายประเทศ สุมกันอยู่ในนั้น ทั้งเป็นเขตรอยต่อของทวีปยุโรปกับเอเชีย... จะสรุปแบบนั้นมิได้
เนี่ยะ... เห็นมั้ย ลืมประเด็นเลย....
ผมแย้งปราชญ์ว่า... ฮีต ไม่น่าจะมาจาก จารีต จาริตะ ที่เป็นสันสกฤต เพราะเรารับสันสกฤตมาจากเขมรอีกต่อหนึ่ง สมัยที่เราอยู่น่านเจ้า เขมรหน้าตาเป็นยังไง ยังไม่รู้เลย จะไปเอามาได้อย่างไร
ถ้าผมจะบอกบ้างว่า ฮีต มาจากฝรั่งยังจะเข้าท่ากว่า เพราะฝรั่งมีคำว่า rite (อ่านว่า ไรท์ แปลว่า พิธีกรรม) ไร้ท์ กับ รีต มันไปกันได้ และความหมายยังเข้ากันได้อีกด้วย แล้วเรายังใช้คำนี้จนเป็นเรื่องปกติ เช่น คนนับถือพุทธ แล้วเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ เราเรียกว่า "ไปเข้ารีต"
แต่ผมไม่ว่าแบบนั้น ที่จะว่า คือ ฮีต ก็มาจากฮีต นี่แหละ คนชาติเรา (ผมหมายถึง ไต-ไทย-ลาว) มันจะเอกอ้างทะนงตนไม่ได้เชียวหรือว่า เป็นเจ้าของคำที่ตัวเองใช้ มันจะต้องมาจากชาติอื่นตะพึดหรืออย่างไร
นั่นไง... บอกแล้วเรื่องนี้มันต้องข้องแวะหลายมิติ พอบอกว่า ไต-ไทย-ลาว ว่าเป็นชาติเดียวกัน ทุกคนก็จะหูผึ่ง ...จริงหรือ??... แล้วผมจะพิสูจน์ให้ท่านเห็น ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า ฮีตและคอง นี่แหละ
อนึ่ง ฮีต อ่านว่า ฮีด ออกเสียงเหมือน รีด คือ เสียงโท หลายท่านอาจคิดว่า เรื่องแค่นี้ทำไมต้องมาบอกด้วย ... ก็เพราะมันมีเหตุสิครับท่านสารวัตร...
ผมฟังวิทยุแห่งประเทศไทย ประจำจังหวัดที่ผมอยู่ มีรายการส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่น รายการนี้จะมีมานานแล้วหรือไม่ ผมไม่ทราบ เพราะบังเอิญเพิ่งย้ายไปอยู่ และเพิ่งเปิดฟัง ฟังชื่อรายการแล้วรู้สึกดี ผมก็อยากรู้ว่า เมืองที่ย้ายมาอยู่เขามีวัฒนธรรมแบบไหน จะได้ปรับตัวได้ถูก...
แล้วสิ่งที่ผมไม่คาดว่าจะได้ยินจากสถานีวิทยุของรัฐ ชึ่งเป็นสื่อสายอนุรักษ์ ธรรมะธรรมโม เชี่ยวชาญเรื่องพิธีกรรมพิธีการเป็นอันดี จะมาตกม้าตายด้วยคำว่า ฮีต
โฆษกเสียงใสท่านอ่านคำว่า ฮีต โดยออกเสียงว่า "ฮี้ด" เหมือน heat ที่แปลว่าร้อน หรือการนับช่วงการแข่งขันกีฬาประเภทลู่และลาน เช่น การแข่งจักรยาน เป็นต้น เขาแบ่งเป็นช่วงๆ หรือ heat แล้วสรุปรวมคะแนนหาผู้ชนะ โดยรวมคะแนนในแต่ละ heat
ผมไม่เคยนึกหรือฝันว่าจะมีคนอ่านแบบนี้ ที่จริงก็ไม่ผิดหรอก... เพราะภาษาอังกฤษเวลาถ่ายเป็นคำไทย ไม่จำเป็นต้องใส่วรรณยุกต์ให้วุ่นวาย อย่าง heat ก็เหมือนกัน เวลาถ่ายเป็นคำไทยก็เขียน ฮีต แต่เวลาอ่านก็ออกเสียง ฮี้ด
ท่านโฆษกคงมึน หรือไม่ก็มาจากสายกีฬา ... จึงเป็น
heat 12 คอง 14 -- heat ที่ 1 คือ heat เข้ากรรม heat ที่ 2 คือ heat คูณลาน ... heat ที่ 3 ที่ 4....
heat เป็นวัฒนธรรมมที่ทรงคุณค่า heat เป็นหลักปฏิบัติอันควรยึดถือให้ดำรงอยู่คู่สังคมไปชั่วกาลนาน... เฮ้อ... กูจะบ้าตาย!!
 

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (2)
 
เมื่อวาน ผมเริ่มต้นคุยเรื่องฮีตคองด้วยประโยค...โกญจนาท พากย์... ไม่รู้มาได้ยังไง?
"โกญจนาท" ชื่อนี้เป็นเหมือนกล่องเก็บไฟฝัน เก็บประสบการณ์ กระทั่ง เก็บจินตนาการแห่งวัยแตกเปลี่ยว เวลานึกถึงชื่อนี้ ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวย...
บรรยากาศก่อนจะถึงประโยคที่ว่า... โกญจนาท พากย์ ... มันต้องเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เงียบแบบที่เรียกว่า เงียบขนาดได้ยินเสียงเข็มหล่นบนพรม แล้วประโยคนี้ก็ดังขึ้น จากนั้นเราก็ใจจดจ่ออยู่ที่จอ...
ผมว่า ถ้าเราจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง แล้วมีประโยคนี้ดังเตือน จะเริ่มงานได้อย่างสนุก ท้าทาย ตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น ... ก็แค่นั้นแหละครับ ...
และถ้าจะให้สมบูรณ์แบบ ต้องมีเสียงไอ แค้กๆ!! นำมาก่อน จะขลังขึ้นอีกเยอะ
เอาละครับ เรามาว่าเรื่องของเราต่อ ....แค้กกๆ... โกญจนาท พากย์
ก่อนอื่น จะขอนำตัวบทหรือฮีตมาขึงให้ดูก่อน
ฮีต ๑๒ ชื่อก็บอกแล้วว่ามี 12 อย่าง โดยไล่ไปตามเดือน จนในสมัย ร.5 มีการประกาศ "ประเพณี ๑๒ เดือน" คือล้อตามฮีต ๑๒ และนั่นจึงทำให้สารัตถะหรือแก่นแท้ของฮีตมีความหมายกลายไปเป็นเพียงเรื่องของ "งานบุญ" หรือ "งานประเพณี"
ฮีต ๑๒ มีดังนี้
ฮีต ที่ 1 บุญเข้ากรรม
2. บุญคูณลาน
3. บุญข้าวจี่
4. บุญพระเวส
5. บุญสงกรานต์
6. บุญบั้งไฟ
7. บุญซำฮะ
8. บุญเข้าพรรษา
9. บุญข้าวประดับดิน
10. บุญข้าวสาก
11. บุญออกพรรษา
12. บุญกฐิน
จากฮีตทั้ง 12 ฮีต จำแนกเป็นรายกิจกรรม ได้ 3 ประเภท คือ
1) กิจกรรมทางพุทธศาสนา 5 อย่าง ได้แก่ เข้ากรรม พระเวส เข้า-ออกพรรษา กฐิน
2) กิจกรรมทางการเกษตร 4 อย่างได้แก่ คูณลาน ข้าวจี่ บั้งไฟ ข้าวประดับดิน ข้าวสาก
3) กิจกรรมทางผี 3 อย่าง ได้แก่ ข้าวจี่ สงกรานต์ ซำฮะ
สูตร 5-4-3 นี้ มี บุญข้าวจี่ คือ บุญเดือน 3 สามารถแปรไปเป็นทุกประเภท คือเป็นได้ทั้งพุทธ เกษตร ผี
จากชื่อฮีตทั้ง 12 ฮีต ทำให้มีประเด็นคิดคำนึงไปได้ในหลายเรื่องราว ซึ่งล้วนแล้วแต่น่าใส่ใจทั้งสิ้น
แต่จะขอยกไว้ก่อน ไปว่ากันในภายหลัง อยากขอทำความเข้าใจถึงที่มาของฮีตและกุศโลบายที่ซ่อนไว้ข้างหลัง ผมจะขยายให้เห็นว่า คนที่สร้างกฎเกณฑ์ที่เรียกว่าฮีต เป็นคนแบบไหน มีผลประโยชน์อะไร มีเป้าหมาย/วัตถุประสงค์ใด แล้วเหตุใด มันถึงอยู่ยั้งยืนยงมานับพันปี
อย่างที่บอก ฮีต มิใช่ประเพณี คำว่าประเพณี นี้มาทีหลัง เพื่อด้อยค่า หรือปิดบังหน้าที่อันแท้จริงของฮีต
ฮีต คือ การเมือง หรือรัฐศาสตร์ หรือการปกครอง ปกครองใคร? ก็ปกครองผู้อยู่ใต้อำนาจปกครองน่ะซี!... โปรดอย่าดูเบาฮีต หรือคิดว่าคร่ำครึ เป็นฟอสซิลที่รอวันย่อยสลาย!
เป็นที่ทราบกันดีว่า การอยู่รวมกันของมนุษย์ ที่ว่ากันว่าเป็นสัตว์สังคมนั้น ถ้าเจาะให้เห็นภายในของการอยู่รวมกันแล้ว เราจะเห็นสายระโยงระยางของความสัมพันธ์ และสายที่ห้อยๆ กันนี้ เป้าหมายหลักๆ ก็เพื่อให้กลุ่มก้อนมีความเหนียวแน่นยิ่งๆ ขึ้นไป
ถ้ากลุ่มก้อนที่ว่า เป็น ชนเผ่า รัฐ รัฐชาติ ประเทศ สายสัมพันธ์นี้ก็เพื่อให้หน่วยทางสังคมเหล่านี้มีความเข้มแข็ง สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อคงสถานะ ความมั่นคง เพื่อป้องกันการรุกรานจากกลุ่มก้อนอื่น ขณะเดียวกัน ก็เพื่อจะสร้างโอกาสในการครอบครอง-ครอบงำกลุ่มก้อนอื่นๆ ด้วย
ถ้ากลุ่มก้อนนั้นเป็น ศาสนา ก็เพื่อให้รักษาองค์ธรรมของตนไว้ให้มั่นคง ไม่ให้มีการบิดเบือนคำสอน และพร้อมเผยแผ่องค์ธรรมของตนไปสู่ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส
ดังนั้น ทุกกลุ่มก้อนจึงจัดกิจกรรมเพื่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายดังกล่าวขึ้น
อย่างแรกที่ต้องทำ คือ ดึงคนที่อยู่ในอณูที่เล็กสุดในสังคมกลุ่มก้อน คือ ครอบครัว ให้ออกมาเพื่อร่วมกิจกรรมตามกำหนดวาระ
หากขืนปล่อยให้ตัวใครตัวมัน บ้านใครบ้านมัน หรือพูดให้เพราะ คือ อยู่อย่างปัจเจกบุคคล (individual) ก้มหน้าก้มตางุดๆ หาอยู่หากินกันไปวันๆ ในที่สุด กลุ่มก้อนหรือสังคมนั้นก็จะอ่อนแอ และล่มสลายในที่สุด
ตัวอย่างในเรื่องนี้ ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือกิจกรรมทางศาสนา
เหมือนเป็นสูตรตายตัว... ทุกศาสนาที่เรารู้จัก มักกำหนดเอารอบสัปดาห์ 1 รอบ เป็นเวลาที่ต้องผละจากครอบครัวไปทำกิจกรรมกลุ่ม
พุทธ ถือเอาวันพระ 8 ค่ำ 15 ค่ำ คริสต์เอาวันอาทิตย์ (เขาเรียกว่า วันสะบาโต (sabbato) หรืออะไรนี่แหละ เพื่อนๆ คริสตังโปรดให้ความกระจ่างด้วย ผมมันขาร็อค จำได้แต่...วง Black Sabbath) ส่วนอิสลามก็เอาวันศุกร์
แท้จริงแล้ว การไปวัด เพื่อทำบุญ ไปโบสถ์ เพื่อสวดมนต์ ไปมัสยิด เพื่อละหมาด เป็นเพียงหน้าฉาก แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของกิจกรรม คือ ความรักสามัคคี ความเป็นกลุ่มก้อน เพื่อตอบวัตถุประสงค์/เป้าหมายหลัก ทั้งสิ้น
เมื่อ 7 วันพบกันครั้งหนึ่ง 1 เดือน หรือวาระพิเศษ แล้วแต่จะเสกสรรกัน ก็จัดกิจกรรมใหญ่เสียครั้งหนึ่ง เพื่อให้ไม่เซ็ง เรียกว่า ให้บรรยากาศฟดฟื้น มีพลวัต (dynamics)
กล่าวเฉพาะพุทธศาสนา (ในอีสาน) เมื่อพบกันทุก 7 วันชักเริ่มๆ เซ็ง เราก็จัดงานบุญใหญ่เสียทีหนึ่ง จึงเรียกว่า ฮีต ในรอบ 1 ปีมี 12 เดือน ก็จึงเป็น ฮีต ๑๒
แล้วจัดงานบุญไปเพื่ออะไร...
กุศโลบาย หมายถึง อุบายที่เป็นกุศลที่อยู่เบื้องหลังงานบุญเป็นสิ่งสำคัญและเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ดำรงชาติพันธ์ ไต-ไทย-ลาว ให้หลงเหลืออยู่ ท่ามกลางการล่มสลายของชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่รายรอบตัวเรา
งานบุญ คือ การรวมตัวของคนในสังคม ที่มารวมตัวกันเพื่อประกอบกิจกรรม "ใหญ่"
ที่ว่าใหญ่ เพราะมันเกินกำลังของคนๆ เดียว หรือเพียงครอบครัวเดียว ดังนั้น การร่วมทำบุญมิใช่การเอาซองไปถวายพระ หรือตั้งหน้าตั้งตาไปดูลำซิ่ง แต่ มันคือการออกแรงงานร่วมกัน เพื่อทำกิจกรรมใหญ่นั้นให้ลุล่วง ภายในเวลากำหนด
ดังนั้น เวลามีงานบุญ ทุกคนต้องหยุดทุกกิจกรรมที่เป็นส่วนตัว เพื่อไปร่วมออกแรงงาน ใครไม่ไปร่วมหรือไม่หยุดงานส่วนตัว... ถือว่าผิด
และมีมาตรการทางสังคม ตั้งแต่มองด้วยหางตาเหยียดหยาม ไปจนถึงตั้งข้อรังเกียจ และหนักสุด ถึงกับไล่ออกจากชุมชน
แล้วสังคมยังสร้างกลไกกดดันคนไม่ไปร่วมงานขึ้นสำทับอีก เช่น ถ้าทำงานในวันทำบุญจะได้รับอันตราย เช่น ประสบอุบัติเหตุ งูกัด ฟ้าผ่า คือ เอากันถึงตาย
งานบุญมีกิจกรรมอะไรบ้าง อย่างแรกที่ขาดไม่ได้ คือ กิจกรรมทางศาสนา ก็ว่ากันไปตามวาระในเดือนนั้นๆ เป็นเรื่องของพระกับฆราวาสที่รอบรู้ในกิจทางศาสนา
ต่อมา ก็เป็นกิจกรรมของฆราวาสญาติโยม ที่สำคัญ และเป็นเรื่องใหญ่ คือ เรื่องกิน
เรื่องอาหารการกินที่สำคัญ คือ การทำอาหารเพื่อการขบฉันของพระ ที่ต้องทำพิเศษ และมีปริมาณที่มากกว่าปกติ เพราะหลังพระฉัน ญาติโยมก็นำอาหารนั้นมาแจกจ่ายสู่กันกิน เป็นบุฟเฟต์ที่มีอาหารหรูหราหลากหลายยิ่งกว่าโรงแรมระดับ 5 ดาว เพราะอาหารมาจากทุกบ้าน ต่างฐานะ ต่างรสนิยม แต่ก็ทำกันอย่างสุดฝีมือ
นอกจากนี้ ชุมชนใดมีบุญ ยังถือกันว่า ทุกบ้านต่างก็เป็นเจ้าภาพ แขกจากต่างถิ่น จะเป็นญาติหรือไม่ ไม่ถือ สามารถขึ้นเรือนไปนั่งขัดตะหมาดรอเสิร์ฟได้ทุกบ้านทุกเรือน
กิจกรรมการเลี้ยงดูปูเสื่อในงานบุญถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องร่วมมือ คือ ลงแรงกัน ในยุคที่ไม่พร้อมไปเสียทุกด้าน สมาชิกต่างคนต่างก็ต้องได้ร่วมกันทำ
โปรดสังเกต การประกอบเลี้ยงในงานบุญ พ่อครัวมักเป็นผู้ชาย เพราะต้องล้มสัตว์ใหญ่จึงจะพอเลี้ยงดูคนจำนวนมาก จึงเห็นว่า พวกเมนูเนื้อสัตว์ใหญ่ ประเภทลาบ ก้อย ซกเล็ก ซอยถี่ซอยห่าง ต้มแซ่บ จะให้ถึงรสมันต้องผู้ชายทำ
หากเข้าร้านประเภทลาบขมต้มแซ่บ ถ้าเห็นกุ๊กผู้หญิงเดินหนีได้เลย ...บ่เป็นตาซาต
ผู้หญิงถนัดพวกแกง ปิ้ง ต้ม อ๋อ อ่อม หมก ที่เป็นเมนูรายวันกินกันในครอบครัว
การที่ต้องร่วมกันทำกิจกรรมใหญ่ด้วยความจำเป็นต้องลงแรงช่วยกัน ...นี่แหละคืออุบายอันเป็นกุศล เพราะมันขจัดสิ่งที่เคยผิดข้องหมองใจกันของคนในชุมชน ให้มลายไปสิ้น ...
แล้วบุญเสร็จงานบุญ สามารถกอดคอกันกินเหล้าและรักกันได้อย่างสนิทใจ
ฮีต จึงเป็นกลไกหรือสิ่งเกาะเกี่ยวยึดเหนี่ยวผู้คนให้รักสามัคคีกัน ...จากชุมชนเดียว ก็เป็นหลายชุมชน หลายชุมชนก็เป็นบ้าน หลายบ้านก็เป็นเมือง หลายเมืองก็เป็นประเทศ
แต่เคล็ดลับที่จะทำให้บุญเวิร์กได้ ต้องอาศัยความไม่พร้อม ความฉุกละหุก ความเร่งรีบ สิ่งเหล่านี้ คือ ปัจจัยสำคัญ เพราะมันทำให้เกิดความจำเป็น มันต้องได้ช่วยเหลือกัน
เช่น การทำขนมเส้น หรือขนมจีน หรือข้าวปุ้น อันเป็นเมนูยอดฮิตของคนอีสาน ในวันปกติธรรมดา อย่าได้ฝันว่าจะได้กินเด็ดขาด เพราะกรรมวิธีมันยุ่งยาก ต้องทำกันทั้งคุ้ม เรียกว่า "หญุ้งเหมิดคุ้ม"
ความยุ่งยากมันเริ่มตั้งแต่ เอาข้าวสารเหนียวไปหาแลกข้าวสารจ้าว เพื่อมาทำแป้งข้าวปุ้น
ในสมัยเด็ก ผมต้องปวดหัวกับการที่มีคนมาขอแลกข้าวเตรียมทำบุญ เพราะผมมีนาติดหนองหาน เป็นนาลุ่ม นาลุ่มจึงปลูกข้าวจ้าว นาดอนไม่ปลูกข้าวจ้าว
จากนั้นก็วุ่นหากระทะใบบัวใบใหญ่ ผมเห็นกระทะทำขนมเส้นทีไร นึกถึงรูปที่ศาลาวัด ที่วาดโดยครูเหม เวชกร ที่วาดเรื่องราวของพระมาลัยเหาะไปดูขุมนรก มีกระทะทองแดงเดือดปุดๆ
คนที่มีแต่แรงไม่มีฝีมือ ก็ไปหาหลัวหาฟืน มาเตรียมไว้เป็นอันมาก และใช้เวลาหากันเป็นวันๆ จากนั้นต้องช่วยกันตำ ... ตำตั้งแต่ขั้นตอนทำแป้ง และตำก้อนข้าวหนมที่ต้มสุก ก่อนนวดและบีบ
คนมีฝีมือบีบเป็นเส้นสวยและยาวไม่ขาดตอน จะถูกจองตัวให้ไปบีบคุ้มนั้นคุ้มนี้ เรียกว่าเหนื่อยทั้งวัน
งานทำขนมจีน เริ่มแต่ตี 4 ตี 5 ไปจบเอาตอนเที่ยง กว่าจะเสร็จเป็นส้นเป็นจับ ก็เล่นเอาสะบักสะบอมไปตามๆ กัน
สิ่งที่ได้ไม่ใช่แต่ข้าวปุ้น แต่... มันคือความรัก ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจและรอยยิ้ม
สิ่งดีงามนี้หายไป เมื่อมีอุตสาหกรรม "ข้าวปุ้นซาว" คืบคลานเข้ามา...
กดมือถือไม่ถึง 5 นาที ... จะเอากี่กิโล กี่หาบได้ทั้งนั้น แถมมีกินทุกวันทุกมื้อ เลือกน้ำยาได้ตามชอบ...
ความสะดวก อีกด้านหนึ่งคือการบั่นสายสัมพันธ์ของคนในสังคมให้ขาดจากกัน ส่งเสริมให้สมาชิกในชุมชนมีความเป็นปัจเจก ความเป็นส่วนตัวทวีขึ้น
ยิ่งสะดวกก็ยิ่งห่างเหินกัน
 
 
คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (3)
 
ผมต้องขอโทษทุกท่าน โดยเฉพาะผู้รู้ ที่จั่วหัว "อย่าได้คิดว่ารู้ดี" เหมือนกับรู้อยู่คนเดียว
สาเหตุก็เพราะ เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้ๆ กันอยู่ ไม่เห็นจะมีอะไร.... ก็ด้วยคำที่ว่า...ไม่เห็นจะมีอะไรนี่แหละ มันท้าทาย...เพราะผมเห็นว่ามันมีอะไร และมีมากด้วย
ฮีต-คอง เป็นเหมือนหญ้าปากคอก และคนที่รู้ก็เป็นแบบลิงได้แก้ว ลูบคลำสิ่งมีค่า แต่ดูเบาและมองข้ามผ่าน
ผมถึงบอกไว้ก่อนไงว่า ต้องตีตั๋วนอน งานนี้ยาว ประเภทดำน้ำไม่อึดก็รออยู่ข้างสระไปก่อน.... เพราะนี่เป็นเวลาที่เราจะมา "ตบทอบ" หรือ เกลี่ย (grading) คือ ทำให้ทุกคนรู้เท่าทันกันก่อน เรียกว่ามาเรียนปรับพื้นฐาน ก่อนเปิดเทอม
เหตุที่ผมต้องจั่วหัวแบบนั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อกันพวกแมงขี้นาก ที่ชอบ "กวนหน้าดาง" ... ฮีต ชาวบ้านเขารู้กันแล้ว... ก็เพราะพวกที่คิดว่า... รู้แล้ว...รู้แล้ว... นี่แหละที่สร้างปัญหาให้บ้านให้เมืองให้อีสานอยู่ทุกวันนี้
อย่าลืมว่า... ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในเวลานี้ เราล้วนอยู่กันในวงแหวนแห่งอัคคี Ring of Fire คือ อยู่ในยุคพัฒนาด้วยแผนพัฒนาชาติ (ไม่รู้ตอนนี้เขาใช้แผนที่เท่าไหร่แล้ว เพราะผมเลิกใส่ใจตั้งแต่แผน 7 แล้ว)
มนุษย์ที่อยู่ในวงแหวนแห่งอัคคี คือ พวกหิวเงิน เพราะเบ้าหลอมๆ ให้ออกมาเป็นแบบนั้น เราถูกเขาโปรแกรมให้ต้องเป็นกันแบบนั้น ... We are programed to recieve. แบบที่ The Eagles ว่าไว้ใน Hotel California นั่นแหละ
การทบทวนของเก่าที่เป็นหลักคุณค่าของเรา คือ สิ่งที่พึงกระทำในเวลานี้ เพราะโลกมันจะหมุนกลับไปหาหลักคุณค่าดั้งเดิม (ผลงานของเฮียหวิด COVID-19 เขาละ) แต่ถ้าเราไม่รู้จักหลักที่ว่านั้นให้ถึงแก่น เราก็จะพลาดโอกาส...เป็นลิงเลียแก้วไปวันๆ อย่างที่ผ่านมา
ฮีต-คอง คือ หลักที่จะทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นของดีที่เรามองข้าม เพราะเห็นมันเป็นเพียงประเพณี เป็นเพียงความบันเทิงเริงใจ เป็นจารีตคร่ำครึ ...ไม่ได้มองว่า นี่คือการเมือง-การปกครอง แต่ไปหลงใหลขี้ปากฝรั่ง ถึงกับตั้งมหาวิทยาลัย ตั้งคณะขึ้นมาศึกษารัฐศาสตร์ของฝรั่งกันเป็นบ้าเป็นหลัง
แล้วก็ปกครองกันตามที่เรียน...มันก็จึงยุ่ง จึงขัดแย้ง จึงแบ่งแยกผู้คนในสังคม แบ่งแบบไหน แบ่งอย่างไร ก็แบ่งเอาตามที่ฝรั่งมันบอกให้แบ่ง ตามทฤษฎี ไม่แบ่งแบบซ้าย ก็แบ่งแบบขวา
ผมว่า ...ผมก็เห็นโลกมามากเกินพอแล้ว ผมยังไม่เห็นการจัดการสังคมที่มันนุ่มนวล ไม่ต้องใช้อาวุธ แต่ทุกคนต่างยินยอมพร้อมใจกันยอมรับ ... และนับเป็นพันปีแล้ว ผู้คนก็ยังหวนคิดและโหยหา เท่ากับฮีตและคองเลย
ใครจะเห็นว่า ฮีต-คอง เป็นอะไรก็แล้วแต่เถอะ ...แต่ผมเห็นว่า ฮีต คือ การเมืองการปกครอง ส่วนคอง คือ ระบบกฎหมาย เป็นประมวลกฎหมายด้วย แปลกไหม... เรามีประมวลกฎหมายก่อนมีหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงเป็นร้อยๆ ปี แต่นักเรียนกฎหมายไม่เคยเรียน.. ไม่เคยรู้...
ผมก็จึงลงมือศึกษา... ผมใช้คำว่าศึกษา เพราะมันเป็นมากกว่า เรียนรู้ ท่องจำ...
ที่ว่า ชาวบ้านเขารู้กันหมดแล้ว... ผมไม่เถียง เพราะเด็กตั้งแต่อนุบาล 1 ถึง ม.3 ที่มาเรียนที่ "โรงเรียนฮีต ๑๒ คอง ๑๔" ริมฝั่งหนองหาน กุมภวา เขาท่องกันได้ทุกคน... แล้วจะไปหาประโยชน์อันใดจากนกแก้วนกขุนทอง
วันนี้ ... สัมโมทนียกถานานไปหน่อย เพราะไม่ต้องการพูดซ้ำๆ อีก
การดึงคนออกมาจากครอบครัว เพื่อให้มารวมตัวกัน แล้วร่วมกันทำบางสิ่งบางอย่าง ... เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าการเมืองการปกครอง การศาสนา และการทหาร
การดึงคนให้มาร่วมกับฝ่ายตน หรือใครสมัครใจจะเรียกว่า...การแย่งชิงมวลชน ก็เชิญ มันมีปัญหามาทุกยุคทุกสมัย เราเกือบเสียเมือง เมื่อล้านนาดึงชาวบ้านไปสร้างเหมืองฝาย อันเป็นนวัตกรรมทางสังคมที่โดดเด่นที่สุดของล้านนา แต่ศาสนาต้องการให้ชาวบ้านเข้าโบสถ์ จึงตั้งแง่...และโยงให้เป็นเรื่องการเมือง
ขนาดทหาร ที่เอาคนให้ไปอยู่ในกรมในกอง ซ้ำยังบังคับบัญชาด้วยระเบียบวินัยอยู่แล้ว ยังจัดให้ทุกวันพุธเป็น "วันโยธา" เพื่อให้ทหารทั้งทหารประจำการและกองประจำการได้มาทำงานร่วมกัน
และทุกวันพุธ ยังเป็นวันโยธาของพม่า ด้วย ตั้งแต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ ชาวหม่องทุกคนต้องออกจากบ้านมาทำงานร่วมกัน ใครไม่มาก็ให้จ่ายเงินแทน
มิพักต้องพูดถึงการทำงานของ พคท. ที่งานดึงมวลชนถือเป็นงานใหญ่ และการสูญเสียกำลังพลจำนวนมาก... ก็เพื่อการนี้
แต่ฮีต...สามารถดึงผู้คนโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ แต่ทุกคนสมัครใจที่จะเดินออกจากบ้านมารวมตัวกันอย่างเต็มใจ
หัวใจสำคัญในการรวมตัวกัน คือ เมื่อมีคนมาพรักพร้อมกันดีแล้ว ก็ทำการร่วมกันสร้างสรรค์สังคม... ถ้าสังคมมีปัญหาก็ร่วมกันแก้ไข ตั้งแต่ปัญหาใหญ่ไปถึงปัญหาเล็กปัญหาน้อย
มีศึกสงคราม มีโรคภัยก็ร่วมกันต้านทานต่อสู้ มีปัญหาเรื่องทำกิน เรื่องผัวเรื่องเมีย พ่อตา-แม่ยาย ลูกเขย-ลูกสะใภ้ ก็ได้อาศัยฮีตนี่แหละจัดการปัญหาร่วมกัน
แต่ถ้าสังคมเป็นสุขดีแล้ว หรือเมื่อร่วมกันขจัดปัดเป่าปัญหาไปจนสิ้นแล้ว ก็จึงฉลองชัย
นั่นคือบทบาทหน้าที่อันแท้จริงของฮีต
มิใช่สังคมมีปัญหารุมเร้ารอบด้าน แต่กลับฉลองกัน 3 วัน 7 คืน เพราะนั่นคือการเข้าใจว่า ฮีต เป็นเพียงประเพณี เป็นงานบุญที่ต้องมีมหรสพ... ต้องเฉลิมฉลอง ทุกข์-สุข กูไม่รับรู้ ซิ่งมันลูกเดียว
การดึงคนจากครอบครัวให้มารวมกัน ก็เพื่อให้มาร่วมกันจัดการงานร่วมกันให้ลุล่วง เมื่อเสร็จงาน งานสำเร็จแล้วก็จึงฉลอง ใครมีศิลปะทางใดก็นำมาอวดมาแสดง หรือถ้าไม่มีจริงๆ ...ก็แค่มองตากันก็สุขล้นทรวงแล้ว
จากข้อมูลที่ระบุว่า ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ มีมาแต่ครั้งขุนบรม ในสมัยน่านเจ้า แล้วฮีตส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา แสดงว่า ศาสนาพุทธได้แผ่ขยายสู่ชาวไต-ไทย-ลาว มานานแล้ว ไม่ใช่พุทธเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ที่แผ่จากล้านนาขึ้นไปถึงชาวไตอย่างที่เข้าใจเสียแล้ว...
 
 
คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (4)
 
เมื่อวานว่าไว้หนัก... ว่า พวกเราที่มีชีวิตอยู่ในแผนพัฒนาชาติ คือ ผู้มีชีวิตอยู่รอดมาตั้งแต่ปี 2504 จนถึงทุกวันนี้ เป็นพวก "หิวเงิน" ถ้าจะว่าให้นุ่มนวลขึ้นมาหน่อย ก็ต้องว่า ..เห็นแก่เงิน
คำว่า "เห็นแก่" แท้จริงมันคือที่มาของคำหรูที่ว่า "นิยม" นั่นเอง ส่วนจะเป็นวิภัติหรือปัจจัย (suffix หรือ prefix) ก็มึนๆ ไปแล้ว ก็น่าจะเป็น suffix นั่นแหละเพราะต่อหลังคำ คือ คำว่า -ism
ทุนนิยม capitalism เห็นแก่ทุน (เงิน)
สังคมนิยม socialism เห็นแก่สังคม
คอมมูนิสต์ communism เห็นแก่คอมมูน เห็นแก่คนหมู่มาก
พวกเราที่อยู่ภายใต้แผนพัฒนาชาติ ที่วางกรอบโดยสหรัฐฯ แบบก้าวทีละขั้น เพื่อไปสู่จุดหมาย คือ เป็นทุนนิยมเต็มตัว โดยเริ่มที่แผน 1 (2504-2509) เป็นการผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้า แผน 2 (2510-2515) ผลิตเพื่อการส่งออก
พอเข้าแผน 3 ตายละ... พัฒนาไปพัฒนามาดันเกิดปัญหาแทรกซ้อน คือ ปัญหาทางสังคม จากแผน 3 จากแผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติเฉยๆ ก็จึงต่อเติมให้เป็น แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน และยังจะตั้งหน้าพัฒนาต่อไป...เป็นแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมจนถึงชาติหน้า...
ในเมื่อกรอบเขาวางไว้ตามนี้ แล้วเราที่อยู่ในโครงครอบนี้ ... เราจะล่วงพ้นจากความเห็นแก่เงินไปไม่ได้... ล้อตามแม่ออก (สีกา) สวดมนต์เย็น ที่ว่า ... ชาตะ พยาธิ ชรา มรณา ... โมมฺหิ อนตีโต ... เรามีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นธรรมดา เราจะล่วงพ้นความเกิดแก่เจ็บตาย ไปไม่ได้...
ถ้าจะให้เห็นรูปธรรมต้องฟังจากปากของชาวปากมูล ... จับปลาได้ตัวใหญ่ๆ เอาไปขาย แล้วซื้อปลาทูมาให้ลูกกิน... เขาอธิบายอาการ "เห็นแก่เงิน" ได้ถึงกึ๋นดีแท้
ดังนั้น สิ่งมีค่าที่จะทำให้คนเห็นแก่คนหมู่มากหรือเห็นแก่สังคมอย่างฮีต ๑๒ นั้น จึงค่อยๆ เลือนลางไปตามความเห็นแก่เงิน ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แบบเราไม่รู้ตัว... มันค่อยๆ พอกหนาขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับหมายเลขของแผนพัฒนา
แล้วพอมีคนกระตุก...ให้หวนคิดถึงหลักคุณค่า คือ ฮีต จึงรู้สึกว่ามันโบราณคร่ำครึ เพราะม่านมันบังตา
ม่านบังตา นี้สำคัญนัก เพราะมันกั้นมิติ ทำให้เรามองเห็นบางด้าน มืดบางด้าน ... ด้วยเหตุนี้แหละ ไฉน แสงทองสุข หรือ เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์ อาชีพมายากลจึงไม่เคยตกงาน
ตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา คนไทยถูกมอมด้วย...เพลงบ่เป็นตาซาตอย่างหนัก เป็นเสมือนม่านปิดบังหู-ตาผู้คน จนคนไทยฟังเพลงของ ทูล ทองใจ ฟังเสียงแคน แล้วเฉยๆ ไม่รู้สึกรู้สา
มันเป็นไปได้ยังไง ...ก็ไหนบอกดนตรีเป็นภาษาสากล คนสมัยหนึ่งฟังแล้วไพเราะ อีกสมัยหนึ่ง ทำไมเฉยๆ ทั้งๆ ที่เป็นอิฏฐารมณ์ ตัวเดียวกัน?
อ้อมโลกซะสองรอบ... เพียงเพื่อจะบอกว่า สิ่งที่เคยมีคุณค่า เมื่อถูกสร้างม่านมาบังตา คนเราก็ตาฟาง และหลงใหลได้ง่ายๆ
ฮีต ไม่ล้าสมัยดอก เพียงแต่ฮีตฝรั่งมันสร้างม่านบังตาเรา เท่านั้น
ฮีต ๑๒ ทำให้ครุ่นคำนึงได้หลายมิติ อย่างแรก คือ ทำให้รู้ว่า พุทธศาสนาเข้าสู่สังคมไต-ไทย-ลาวนานมากแล้ว นานกว่าที่บอกว่ามีพราหมณ์อาบังล่องเรือเผยแผ่ทางเมืองชายทะเล แล้วแพร่ขึ้นบกจากทางใต้ขึ้นไปถึงสุโขทัย ล้านนา
ข้อด้อยของวงวิชาการไทย คือ ใส่ใจแต่ภาคส่วนทางตอนใต้ และขึ้นเหนือได้ไม่เกินสุโขทัย อย่างเก่งก็แค่เชียงใหม่เชียงราย ปล่อยปละความสำคัญของผู้คนทางเหนือไปอย่างน่าเสียดาย แหล่งความรู้ คลังแห่งองค์คุณ องค์ความรู้ที่อยู่ทางเหนือมีมากกว่ามากนัก ผมหมายถึง ภาคเหนือและเหนือเลยเส้นพรมแดน
พูดไปแล้วก็อายตัวเอง ... ขึ้นเหนือไปแม่สอด ตกเย็นอากาศร้อนแล้วบ่น...อะไรกัน ขึ้นเหนือคิดว่าจะเย็นฉ่ำ เห็นแม่คะนิ้ง นี่อะไร ร้อนแล้วยังเหนียวตัวยังกับอยู่แถวบางแสน ระยอง...
เพื่อนที่ไปด้วยบอก... จะบ่นไปทำไม แหกตาดูแผนที่สิ เราอยู่ห่างทะเลไม่ถึงยี่สิบโล...
จริงด้วย แม่สอด จ.ตาก อยู่ใกล้อ่าวมะตะบัน หรือเมาะตะมะ และปากน้ำย่างกุ้ง มิน่า คนแม่สอดจึงกินอาหารทะเลกันพุงปลิ้น เพราะราคาซีฟู้ดพม่าแสนถูก
การที่เราขดอยู่แต่ในกรอบของเส้นแบ่งประเทศ ทำให้โลกและทัศนวิสัยพลอยหดแคบไปด้วย
หลังๆ นี้ หากจะเรียนรู้อะไร ผมจึงเลิกพรมแดนทิ้ง แล้วก็พบกับสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่าง เช่น เรื่องฮีต ๑๒ นี้เป็นต้น
ผมพยายามไม่จำกัดตัวเองแค่ ไทย อีสาน แล้วไปจบที่ลาว แต่ได้เลยขึ้นเหนือ ท่องความลี้ลับ และความรู้ที่หมกตัวอยู่บนภูสูงของทางเหนือ เมื่อกลับมามองเรื่องยุ่งๆ ทางใต้ ... บางทีก็ตลก...และเป็นตลกร้ายซะล่วย
อย่างเรามักเรียนกันว่า ภาษาไทย คือ ภาษาคำโดด พูดแล้วเข้าใจได้เลย ไม่ต้องแปล เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ไก่ กา เป็นต้น และเมื่อต้องการให้เกิดคำที่มีความหมายใหม่ เราก็จับมารวมกัน เรียกว่าคำประสม แต่ผมขอใช้ว่า คำผสม เพราะเข้าใจง่ายกว่า ... เราก็เข้าใจกันและท่องกันแบบนั้น
ผมถามว่า "ข่มเหง" คืออะไร ใช่คำไทยหรือไม่ แน่นอนเป็นคำไทย และเมื่อมี
2 คำก็จึงเป็นคำผสม
"ข่ม" พอรู้ คือการกดให้ต่ำลง แต่ "เหง" นี่มันอะไร
เปิดพจนานุกรมไทยที่มีทั้งหมด แล้วไม่เคยกระจ่าง มักรวบเป็นข่มเหง เป็นคำเดียว แล้วให้ความหมายเหมือนกัน ทำนองว่า ใช้กำลังรังแก แถมเติมสร้อยเป็น ข่มเหงคะเนงร้าย เข้าไปอีก
วัจนานุกรมลาวก็ไม่แยกคำ แถมเติมสร้อย ..ข่มเหงเต็งเต็ก ..มึนหนักเข้าไปอีก
ส่วนสารานุกรมพ่อปรีชา ก็บอกได้น่าขนหัวลุก บอกว่า คือ ไม้แก่นสองท่อน วางทับปากหีบศพ เพื่อกันไม่ให้ศพตกจากเชิงตะกอน บรื๊อๆๆ..
แต่พอถึงกวามไต หรือคำไต ก็กระจ่างทันที แถมยังให้นัยได้กว้างขึ้น ข่ม ก็มีความหมายเหมือนไทยและลาว ส่วน "เหง" ในภาษาไต คือ พัน ... เป็นจำนวนนับ สิบคือสิบ ปากคือร้อย เหงคือพัน...
ข่มเหง จึงมีนัยหมายถึงการปกครอง เหง คือ จำนวนบ้านเรือนราษฎรเป็นพันหลังคา สมัยก่อน พันหลังคาก็เมืองดีๆ นี่เอง เมื่อมีคนมาข่มเหง ก็คือมีการปกครอง ข่มเหง ในระยะแรกจึงไม่ใช่การกระทำในทางร้าย หมายถึง การปกครอง
ผมชอบใจเวลาคนไตเขาผสมคำ เพื่อให้เกิดคำใหม่ และมีความหมายใหม่..
เมื่อมีปรากฏการณ์ใหม่ มีภาษาต่างชาติ หรือมีนวัตกรรมใหม่ คนไทยเรามักสรรหาคำในภาษาต่างชาติมาอธิบายภาษาต่างชาติอีกต่อหนึ่ง มันจึงยุ่ง เช่น globalisation เราทำให้เป็นคำไทยว่า โลกาภิวัตน์ แล้วไอ้โลกาๆ นี่มันคืออะไร ก็ต้องเหนื่อยมาแปลกันอีก
ผมไม่โทษผู้ใหญ่ลี ที่ไม่รู้จักสุกรดอก ผมโทษคนที่เรียกหมูว่าสุกร...เรื่องแบบนี้เราถนัดนัก
เมื่อมีคำต่างชาติเข้ามาใช้ในสังคม คนไตจะเอาคำไตนี่แหละมาผสมกัน แล้วนิยามว่าหมายถึงคำต่างชาตินั้นๆ เช่น development คนไทยใช้คำแขกว่า การพัฒนา ลาวก็ตามไทย เป็น กานพัดทะนา แต่ไต บัญญัติคำนี้ว่า "ใหม่สูง" ฟังแล้วซึ้งเข้าไปถึงทรวง
ไหนๆ ก็ไหนๆ ขออีกเรื่องเถอะ
อย่างเรื่องข้าว... ข้าวมีสองข้าว คือ 1) ข้าวเหนียว และ 2) ข้าวจ้าว ฟังชื่อเรียกแล้วก็งั้นๆ ...ข้าวเหนียว...อุ๊ยติดมือ ไม่สื่ออะไร
แต่ถ้าเรียกชื่อแบบทางเหนือที่เรียกว่า ข้าวนึ่ง จะเกิดความรู้ขึ้นทันที ว่า ข้าวชนิดนี้ต้องเอาไปผ่านไอร้อน คือ นึ่ง
แล้วข้าวจ้าวล่ะ ต้องเอาไปจ้าวหรืออย่างไร... คำตอบคือ ใช่ ... ต้องเอาไปจ้าวจึงจะกินได้
การจ้าวข้าวชนิดนี้ คือ นำไปต้มพอเป็นเมือกลื่นๆ ก็นำไปรินน้ำออก หรือเช็ดน้ำ จนน้ำสะเด็ดดี ก็นำมาตั้งไฟอ่อนๆ จนข้าวสุก...
กระบวนการทำข้าวให้สุกนี้เรียกว่า การจ้าว ข้าวนี้ก็จึงเป็น "ข้าวจ้าว"
คำทางเหนือ รวมถึงลาวด้วย เขียน "จ้าว" และ "เจ้า" ต่างกัน จ้าวก็จ้าว เจ้าก็เจ้า ไม่ปนกัน เพราะความหมายมันต่างกัน
แต่ไทย ทำให้สับสน เพราะอ่านออกเสียงเหมือนกัน จะเขียนแบบไหนก็อ่าน "จ้าว" เหมือนกัน แล้วยังนิยามให้มีความหมายอย่างเดียวกันด้วย จึงมี..จ้าวอินทรี จ้าวโลก จ้าวพายุ ชาวบ้านจึงสับสน ไม่รู้อันไหนเป็นอันไหน..
ที่สำคัญ... นักวิชาการก็สับสน จากข้าวจ้าว-ข้าวเหนียว กลายเป็น "ข้าวเจ้า" แม้แต่ในพจนานุกรมก็ใช้คำนี้
เมื่อมี "ข้าวเจ้า" ก็จึงมี "ข้าวไพร่" กลายเป็นหนังสือขายดี คือ "ข้าวเจ้า-ข้าวไพร่" ลากยาววิเคราะห์มันปากไปเลย ผู้คนก็แห่กันซื้อ... ก็จำเริญกันไป
ประวัติศาสตร์ไต ระบุว่า ปีใหม่ไตมาว ถือเอา พฺ.ศ. 450 เป็นต้นศักราชของตัวเอง ระบุว่า เนื่องจากเป็นปีที่พระพุทธศาสนาได้สถาปนาขึ้นในปีนั้น ส่วนประวัติศาสตร์ไทใหญ่ ถือเอาต้นศักราชในปีเดียวกัน แต่ให้เหตุผลว่า เป็นปีที่การปกครองของขุนบรมรุ่งเรืองสุด
ถึงปีนี้ ศักราชของชาวไตจึงเป็น ต. ศ. (ไตศักราช) 2013 (ต.ศ. และไตศักราช ผมว่าเอง)
วันปีใหม่ไต ตรงกับ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน เจ๋ง (เดือนเจียง หรือเดือนอ้าย) ชาวไตถือว่า นี่เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไต-ไทย-ลาว อย่างแท้จริง
ฟังเขาว่า... ไทยเอาแบบฝรั่ง (1 มกราคม) ส่วนลาวก็เอาแบบแขก (สงกรานต์)
เฮ้อ... พรุ่งนี้ค่อยมาเริ่ม ฮีต ที่ ๑ กันครับ
 
 
คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
อย่าได้คิดว่ารู้ดี (5) : ฮีต ที่ 1 บุญเข้ากรรม
 
เข้ากรรม ก็คือ เข้าปริวาสกรรม ซึ่งเป็นกิจของสงฆ์โดยแท้ เป็นการทรมานตน ถึงต้องเรียกว่า เข้ากรรม เพื่อให้พ้นจากบาป (ความผิด) ที่ได้กระทำ
เป็นพิธีและวัตรสำหรับพระภิกษุที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
บุญปางนี้ มีขึ้นในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนเจ๋ง ในภาษาไต เดือนเจียงหรือเดือนอ้าย ในภาษาลาวและไทย ดังนั้น ชื่ออีกชื่อหนึ่งของบุญปางนี้ คือ บุญเดือนอ้าย
ญาติโยมที่หวังบุญกุศลก็ไปบริจาคทาน รักษาศีล ฟังธรรม
ฮีตที่ 1 อย่างแรกที่ผมคิด คือ ทำไม ฮีตต้องเริ่มกันในเดือนที่ 1 คือ เดือนเจ๋ง เจียง อ้าย?
สิ่งที่ตอบตัวเอง คือ ฮีต ๑๒ คือ การกำหนดกฎเกณฑ์ให้สังคม จำเป็นต้องให้ล้อไปกับฤดูกาล เพราะในแต่ละเดือนทั้ง 12 เดือนในรอบปีนั้น สภาพภูมิอากาศแตกต่างกันไป
การดำรงชีพ หรือการทำมาหากินก็หมุนเวียนไปตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละเดือน มันเกี่ยวแก่ฤดูกาล
แล้วทำไมต้องมาเริ่มที่เดือนอ้าย เจียง เจ๋ง? ทำไมไม่เริ่มเดือนที่ 3 เดือนที่เป็นช่วงข้าวใหม่ปลามัน ที่ทำบุญข้าวจี่ หรือไม่ก็เป็นเดือนที่ 5 ช่วงสงกรานต์ รดน้ำกันสนุกสนาน หรือเป็นเดือนอื่นๆ ที่มีให้เลือกอยู่อีกต้ัง 11 เดือน
ทำไมมาเริ่มเอาเดือนนี้!?
อย่างแรกที่คิดได้ ก็คือ ก็ อ้าย เจียง เจ๋ง มันเป็นเดือนแรกของปี และเป็นเดือนเริ่มต้นศักราช คือ ปีใหม่ นั่นเอง
ดังนั้น ผมจึงคล้อยตามพี่น้องชาวไต ที่ว่า วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนเจ๋ง คือ วันขึ้นปีใหม่ที่แท้จริงของไต ไทย ลาว
และผมพยายามคิดต่อไปอีกว่า ...
ทำไมคนที่คิดเรื่องฮีต ทำไมต้องบรรจุบุญเข้ากรรมของพระมาเป็นฮีตที่ 1 ทำไมไม่เริ่มที่สงกรานต์ หรือบุญบั้งไฟ.... แบบว่าเอามันไว้ก่อน เพื่อล่อให้คนสนใจ ตามวิธีการโฆษณาชวนเชื่อ
ทำไมเอาเรื่องพระเรื่องเจ้า เรื่องที่เซ็งโคตรๆ มาขึ้นก่อน...แบบนี้ใครจะมาสนใจ
ด้วยคำถามนี้เอง ที่ทำให้ผมมั่นใจว่า ฮีต...แท้จริงก็คือ เรื่องของการเมืองการปกครอง ...ไม่ใช่เรื่องของงานรื่นเริงบันเทิงใจ ต้องมีมหรสพขบงันเต็มที่
บุญเข้ากรรม ฟังชื่องานแล้ว วัยรุ่นต้องเบือนหน้า...เซ็ง... ไม่จ๊าบ ไม่แนว... ไม่อิน... ไม่เทร็นด์... เอ๊าท์โคตร
คนคิดเรื่องฮีต...เขาคิดอะไรของเขา ทำไมเริ่มก็เอาเรื่องหนักๆ มาว่ากัน ...
ถ้าคิดได้แค่นี้ ฮีตก็คงดับแนวดับสูญตั้งแต่สมัยน่านเจ้าแล้ว.... ไม่อยู่ยงคงกระพันจนทุกวันนี้แน่!!
นี่แหละที่ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่า ฮีต คือ การเมืองการปกครอง มิใช่สถาปนาขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่น...
ฮีต แท้จริงมันคือ การวางกรอบระเบียบในสังคม เพื่อความสงบเรียบร้อย และสร้างความเป็นนัำหนึ่งใจเดียว เพื่อเอาชาติเอาเผ่าพันธุ์ให้รอดพ้นจากการรุกรานของศัตรู ที่มีอยู่รอบด้าน ล้วนแต่พวกโหดเหี้ยม อนารยะ กระหายสงครามทั้งสิ้น
การเข้ากรรม แท้จริง มันคือการสารภาพที่ตนได้กระทำผิดบาปไป จะโดยคนอื่นรู้หรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวเองรู้... และยังเผื่อเหนียวไปถึงผิดบาปที่ได้กระทำโดยพลั้งเผลออีกด้วย ... แล้วมาสารภาพผิดรวมๆ กันไป มาเปิดมาเผยมาแจ้งแก่สงฆ์ ซึ่ง คำว่า สงฆ์ ไม่ได้หมายถึงพระ แต่หมายถึงหมู่คนที่มารวมกัน
อาบัติสังฆาทิเสส คือ กรรมหนัก หรือครุกาบัติ รองลงมาจากปาราชิก คือ รองจากโทษประหาร
การแจ้งความผิดของตนต่อหน้าธารกำนัล ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากสำหรับมนุษย์ปุถุชน เป็นเรื่องทำได้ยากยิ่งสำหรับคนที่มีจิตฉ้อฉลสกปรก
แต่หากทำได้... คนนั้นถือได้ว่า ได้ฝ่าข้ามผ่านเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่ว ระหว่างเปิดเผยแบอกพูดกับงุบงิบปกปิด
ซึ่งเส้นแบ่งที่ว่านี้ ถ้าข้ามพ้นได้ ถือว่าคนนั้นเป็นบุคคลควรแก่การลุเสียซึ่งโทษ ควรรับกลับเข้าสังคม เพราะไม่ใช่สารภาพผิดแล้วก็แล้ว... เฮอะ...ชิลๆ ไม่เห็นมีไร... ไม่ใช่เลย สารภาพว่าผิดอะไรไปบ้างแล้ว ยังต้องมาทรมานตน ปลีกตัวจากสงฆ์ (หมู่คน) เพื่อทบทวนความผิดและทรมานตน เท่ากับจำนวนเวลาที่ทำ
ด้วยเหตุนี้ ผู้สารภาพผิด จึงควรได้รับการยกย่อง ผู้ให้อภัยก็สมควรแก่คำสรรเสริญ เช่นกัน ... แล้วสังคมนั้น ก็จึงใหม่สูง เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป..ด้วยมีแต่ผู้มีจิตใจงาม
"การวิจารณ์ตัวเอง" ของชาวสังคมนิยม ก็นำเอาหลักการนี้ไปใช้ ไม่อย่างนั้นคงล่มสลายไปนานแล้ว ไม่อยู่ถึงให้ "เฮียสี" สี จิ้นผิง มาลงดาบเชือดเสือให้แมลงวันดู แล้วทำให้จีนเป็นชาติยิ่งใหญ่ใหม่สูงอย่างที่เห็น
แท้จริงแล้ว... พระธรรมวินัย ของพุทธศาสนา คือ ต้นเค้าของหลักการการปกครองและหลักกฎหมายที่สังคมใช้ๆ กันอยู่ เพียงแต่เราไม่ใส่ใจเท่านั้นเอง
...บุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอด แล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย... ตัวบทเรื่องบุคคลมาตราแรกๆ ที่นักกฎหมายท่องกัน แท้จริงก็คือหลักการที่ล้อหลักธรรมทางพุทธศาสนา ที่ถือเอาการเกิด-ดับของคนตามสภาพเป็นจริง
แต่พุทธลึกซึ้งกว่าเพราะ พิจารณาลึกถึงเรื่องของจิต โดยเริ่มจากปฏิสนธิจิต ภวังคจิต วิถีจิต กระทั่งวาระสุดท้ายที่จากโลกนี้ไป คือ จุติจิต
หากบุคคลยังพะงาบๆ อยู่ได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ กฎหมายไม่ถือว่าเป็นการสิ้นสุดของบุคคล คือ ยังไม่ตาย มรดกทรัพย์สินอย่าเพิ่งแบ่ง ทางพุทธอธิบายอาการพะงาบนั้นว่า เป็นภวังคจิตยังทำภวังคกิจ ... ยังไม่ตาย ยังไม่สิ้นสุดความเป็นบุคคล...
การจัดวางให้ "การเข้ากรรม" เป็นกิจกรรมแรกของฮีต ก็เพื่อวางกฎเกณฑ์ให้สังคมก่อน โดยยึดเอาหลักการของพุทธเป็นหลักอ้างอิง เพื่อให้คนในสังคมได้กล้าหาญ ... เกิดมโนธรรมสำนึก.... ทำผิดต้องกล้าที่จะแอ่นอกยอมรับผิด
ให้คนในสังคมสร้างภูมิคุ้มกันที่สูงตามมาตรฐานของหลักการพุทธ ที่ให้เกิดขึ้นที่ใจของทุกคน แม้คนอื่นไม่รู้... แต่ตัวรู้ ...ต้องกล้าหาญพอที่จะยืดอกออกมาวิจารณ์ความผิดของตัวเอง
จะเห็นได้ว่า สังคมไต ไทย ลาว มิได้เริ่มควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมด้วยการบัญญัติกฎหมายขึ้นมาบังคับก่อน ... แต่สร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นภายในใจก่อน นั่นก็คือฮีต
หากฮีตเอาไม่อยู่...จึงถึงขั้นตอนของคอง คือ กฎหมาย เข้าจัดการ
จะเห็นว่า พระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติข้อห้าม หรือวินัย หรือสิกขาบท ไว้ดักคอสาวกไว้ล่วงหน้า ...
ถามว่า...ถ้าจะทำ ทำได้ไหม มันสมองระดับนั้น ระดับหยั่งรู้จิตคนอื่น เรื่องแค่จะดักคอ หรือกันท่าไว้ก่อน มันง่ายนิดเดียว... แต่พระองค์ไม่ทำ ... แต่คอยสร้างกฎขึ้นเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้นแล้ว จึงบัญญัติตามผู้กระทำ อันสงฆ์ (คนหมู่มาก รวมถึงชาวบ้านร้านตลาด) ติตียน
แล้วพระองค์ก็ใช้ชีวิตอยู่รวมกับหมู่สาวกตลอดเวลาถึง 45 พรรษา แล้วองค์ธรรมและหลักการของพุทธ จะไม่เข้าถึงผู้คน และเป็นที่ยอมรับได้อย่างไร
แล้วบรรพบุรุษของเรา ได้นำเอาหลักการนั้นมาเป็นหลักการของบ้านของเมือง... ทางจักไม่จำเริญย่อมไม่มี!!
นั่นคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพิธีกรรมในฮีตที่ 1 ... บุญเข้ากรรม
 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (6)
 
เรายังผ่านฮีตที่ 1 ไปไม่ได้ ...
มีเหตุให้มีเรื่องต้องคุยอีกหน่อย คือ ฮีต เขามีมาเป็นพันปี เพื่อคนรุ่นหลังจะได้ประพฤติปฏิบัติ แล้วจะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง หมายถึง หากได้กระทำตามแล้ว จะทำให้สังคมโดยรวมและชีวิตส่วนตัวพบแต่ความสุข โดยเฉพาะสุขทางใจ หมายถึงการยกระดับจิตใจให้สูงและดีขึ้น นั่นคือลดความเห็นแก่ตัว เพิ่มความเห็นแก่ส่วนรวมมากขึ้น
แต่ครั้นพอมาถึงยุคเรา กลับเปลี่ยนแปรไปชนิดคาดไม่ถึง ...คือ ฮีต เขากำหนดให้ทำปีละครั้ง ตามวาระ เป็นเดือนๆ ไป 12 เดือนก็จึงเป็นฮีต ๑๒
ทั้งนี้โดยกำหนดให้สอดคล้องกับดินฟ้าอากาศ ซึ่งเกี่ยวโยงถึงวิถี การประกอบอาชีพของผู้คน
แต่ปัจจุบัน... การณ์กลับเป็นว่า แทนที่จะรณรงค์ให้คนปฏิบัติตามฮีต... กลับจะต้องมารณรงค์ให้ต้องลดการทำตามฮีต!!... ต้องขอกันให้เพลาลงบ้าง...ในหลายฮีต
อย่าง บุญเข้ากรรม หรือ บุญปริวาสกรรม หรือ บุญเดือนอ้าย... เพราะแทนที่จะกระทำในเดือนเจ๋ง เจียง อ้าย หรือเดือนที่ 1 และทำเพียงครั้งเดียวในรอบปี แต่กลับมีการจัดแบบรัวๆ หรือกระหน่ำจัดตะบี้ตะบันจัดกันทั้งปี ทุกเดือน ยกเว้นช่วงเข้าพรรษา เท่านั้น
ทุกอย่าง หากขาดแคลนก็เป็นปัญหา และหากมากเกินก็สะท้อนปัญหา เช่นกัน ดังกรณี การเช้าปริวาสกรรมของพระสงฆ์ไทยในปัจจุบัน ที่มีจัดกันจนพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะในภาคอีสาน ที่คุยนักคุยหนาว่ามีการปฏิบัติตามฮีตคองมากกว่าคนในพื้นที่อื่น และหัวขบวนที่จรรโลงฮีตคอง คือ พระสงฆ์
ผมจะไม่แตะเรื่องความเหลวแหลกในวงการสงฆ์ ทั้งๆ ที่ผมเห็นด้วยตัวเอง ตั้งแต่เด็กยันแก่ เพราะเสนียดปาก ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง เพราะมีมากเหลือเกิน ถ้าจะให้จาระไนเรื่องนี้ ... ชาตินี้เป็นไม่ต้องทำอะไรกัน
บุคลากรทางพุทธศาสนาของเรามีปัญหา... และปัญหามากเหลือเกิน หากจะให้ศาสนาหมดจด จำเป็นต้องมี "อโศกมหาราช" อีกสักสององค์ จึงจะกวาดล้างอลัชชีและโลกวัชชะได้หมด
ที่อยู่หอคอยงาช้าง ก็ทำบาปแบบไฮโซ จับเข้าคุกไม่หวัดไหว ไอ้ที่หนีก็มาก... ที่อยู่ตามวัด สำนักสงฆ์บ้านนอกบ้านา...ก็ผิดบาปแบบบ้านๆ ...เลยไม่รู้จะเริ่มตรงไหน?!
วันนี้ที่ต้องพูดเพราะมันเกี่ยวกับฮีต... จึงจำต้องหยิบมาคุย
ทุกวันนี้ ได้เกิดแฟชั่นการจัดปริวาสกรรม หมายถึง การจัดให้พระสารภาพบาปที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสต่อสงฆ์ ตามวินัย คือ 4 รูป เพื่อความบริสุทธิ์
แต่มีการจัดมันทุกเดือน เว้นเฉพาะช่วงเข้าพรรษา และพระรูปหนึ่งๆ ต้องเข้าพิธีให้ได้อย่างน้อย 2 ครั้ง นัยว่าจะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ตามพระธรรมวินัย
อาบัติสังฆาทิเสส คือ ความผิดที่เรียกว่า ครุกาบัติ คืออาบัติหนัก รองจากปาราชิก ที่เปรียบเหมือนโทษประหารชีวิต คือต้องขาดจากการเป็นพระ
สังฆาทิเสส น้องปาราชิก มันก็ประมาณโทษจำคุกตลอดชีวิต ... ซึ่งมีข้อหาหรือฐานความผิดอยู่ 13 อย่าง 5 อย่างแรก เป็นความผิดเกี่ยวแก่เรื่องทางเพศ นอกเหนือจากนั้นก็เป็นเรื่องปะเหลาะ (แดก) ญาติโยม และทำสงฆ์ให้แตกกัน หรือสังฆเภท
เมื่อมีการจัดปริวาสกรรมกันอย่างมากมาย ก็แสดงว่า... อย่าให้พูดเลย...
อย่างที่บอก บุญปริวาสฯ มันเป็นแฟชั่น มันเป็นการเห่อ เรื่องนี้เท่าที่สัมผัสด้วยตัวเอง มันมีมาก่อนปี 2529 ที่จำได้เพราะเป็นปีที่บวช คือ บวชตรงกับที่พระเข้าปริวาสฯ พอดี ก็เลยต้องเข้ากรรมไปด้วย ทั้งๆ ที่เพิ่งบวช ยังไม่รู้พระธรรมวินัยซักข้อ ยังไม่มีโอกาสได้ทำผิดอะไรเลย ... ก็ถูกต้อนให้ไปรวมกับผู้ต้องหาอุกฉกรรจ์ ที่มีโทษรองจากโทษประหารและรอการตัดสิน
สิ่งที่ผมสัมผัสได้ในครั้งแรก โดยสัญชาตญาณคนข่าวที่รับได้ คือ มันมี ผู้ดำเนินงาน ที่ทางโลกย์เราเรียกว่า "ออร์แกนไนเซอร์" (organiser) ใช่... มันมีทีมรับจัดงาน... โดยทีมชำระบาปนี้จะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ
แน่นอน... เมื่อมีทีมงาน มันก็ต้องมีสิ่งล่อใจ หรือโปรโมชั่น เพื่อให้ศาสนิกผู้งมงายกระเป๋าฉีก
สรุปง่ายๆ คือเป็นการหาเงินอีกรูปแบบหนึ่ง ยิ่งจัดมากก็ยิ่งได้เงินมาก ส่วนพระสงฆ์รูปใดจะละเมอเพ้อพกว่า จะได้ความบริสุทธิ์จากพิธีที่มีเบื้องหลังนี้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเวรกรรม
คำเตือน...สำหรับญาติโยม ผู้ถือหุ้นในพุทธบริษัท... เมื่อเห็นความไม่ถูกต้อง อย่าได้แหกปากกล่าวหาเป็นอันขาด เพราะพวกที่จัดงานถือว่าเป็นเอกในชั้นเชิงการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยปากเปล่า... เจ้ากูไม่ฟังดอก...
มีนักพัฒนารุ่นเก๋าเคยคุยกับผมว่า มีบุคคล 2 ประเภทที่ประสานงานด้วยยาก คือ พระ กับ ครู แล้วที่ยากไปกว่านั้น คือการทำงานร่วมกับ... พระครู... เพราะได้รวมความยุ่งยากไว้ที่คนๆ เดียว จึงไม่อยากวิจารณ์มาก ...
เรื่องนี้ ... เพียงแต่ใช้สามัญสำนึก ใช้แค่พื้นฐานของฮีต ว่าแต่และฮีตให้ ทำภายในเดือนที่ระบุ บุญเดือนอ้าย ก็ต้องทำในเดือนอ้าย... แค่นี้ก็รู้แล้วว่า ... มันผิดฮีต
เป็นพระอีสาน แล้วทำผิดฮีตเสียเอง...จะให้สังฆ์การีย์ว่ายังไง?!
การจัดบุญมากกว่าที่กำหนดในฮีต ๑๒ ยังมีอีก และหนักกว่าบุญเข้ากรรม เดี๋ยวให้ถึงฮีตนั้นจะสาธยายให้ฟัง ...เพราะทำวิจัยมากับมือ
ไปที่ฮีตที่ 2 เลยดีกว่า
ฮีตที่ ๒ บุญคูณลาน หรือบุญคูณลานข้าว หรือบุญคูณลานขวัญข้าว
เห็นชื่อก็รู้ว่า เป็นฮีตเกี่ยวเนื่องทางการเกษตร การเกษตรที่สำคัญพอที่จะบรรจุเข้าเป็นฮีต คือ การปลูกข้าว หรือ การทำนา
เมื่อถึงเดือนยี่ ชาวนาจะทำการ "ฟาดข้าว" หรือ ตีข้าว หรือ นวดข้าว คือกระบวนการที่ทำให้เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวง นั่นเอง
เมล็ดข้าวจะหลุดออกจากรวงได้ ต้องฟาด ตี นวด สถานที่ที่ใช้ฟาดตีนวด คือ ลาน ... การทำให้เมล็ดข้าวที่ร่วงจากรวงมากองรวมกันเรียก "กุ้มข้าว" จึงมีบางพื้นที่เรียกบุญปางนี้ว่า บุญกุ้มข้าว หรือบุญกู้มข้าวใหญ่ ก็มี
อนึ่ง ลักษณะนามของบุญ คือ ปาง เช่น บุญปางนี้คือบุญคูณลาน เป็นต้น
เมื่อทำนาได้ผล ชาวนาก็จัดงานขึ้นที่ลาน บางครอบครัวก็นิมนต์พระมาสวดพระปริตตมงคล จากนั้นก็เชิญเอาหมอพราหมณ์ หรือหมอพรมาสวดมนต์ เพื่อเป็นศิริมงคล หรือสูตรขวัญ ... คือทำพิธีทั้งพุทธและพราหมณ์
และด้วยเหตุที่ทำในเดือนยี่ก็จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญเดือนยี่
 

 

 

คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์
NONT'S T A L K
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (7)
 
ผมนั่งมองฮีต ในความเป็นการเมืองการปกครอง มากกว่าประเพณี หรือเรื่องรื่นเริงบันเทิงใจ ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ไม่มีบรรพบุรุษชนเชื้อใดดอก ที่จะตะบี้ตะบัน entertain อนุชน ด้วยเกรงว่าคนรุ่นหลังเขาจะไม่มีเครื่องบันเทิงเริงรมย์ ถึงกับจัดให้มีงานรื่นเริงกันได้ทุกเดือน จนครบ 12 เดือน
ท่านที่คิดว่า บรรพชนของเรากำหนดให้มีฮีต ๑๒ ก็เพื่อให้เป็นงานสวนสนุกทุกเดือนในรอบปี ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อน-ฝน-หนาว ต้องรื่นเริงเข้าไว้ ท่านที่คิดแบบนั้น...จะไม่ดูถูกบรรพบุรุษของตัวเองมากไปหรือ?
ควรคิดเสียใหม่
เรื่องฮีตเรื่องคอง มิใช่เรื่องเล่นๆ เป็นเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องของความมั่นคง เรื่องของความอยู่รอดปลอดภัยของชนชาติชนเชื้อ...อย่าได้คิดเป็นเรื่องเล่นๆ เป็นอันขาด
อย่างฮีตที่ 2 คือ บุญคูณลาน นี้เป็นต้น ผมนั่งมองกิจกรรมประจำฮีตนี้แล้ว ต้องกลับมาคิดมาใคร่ครวญใหม่ ... คำถามที่ถามตัวเอง คือ... แล้วไง?!
เก็บเกี่ยวข้าวในนาเสร็จ เอาพระเอาพราหมณ์มาสวด เพื่อให้ผลผลิตปีหน้าได้ผลดียิ่งๆ ขึ้น ... คิดได้เพียงแค่นี้มันง่ายไปไหม?
มันหน่อมแน้มเกินไป... บอกลูกหลานไปหาบฝุ่นขี้งัวขี้ควาย (ปุ๋ย -fertilizer) ใส่นา จะไม่ดีกว่าหรือ?! ถ้าอยากได้ผลผลิตที่ดีในการเพาะปลูกครั้งใหม่ หรือขร็อบ (crop) หน้า
ฮีต ๑๒ มีกิจกรรมเกี่ยวแก่การเกษตรอยู่ 4 กิจกรรม (ตามสูตร 5-4-3) และทั้งสี่กิจกรรมล้วนแต่เกี่ยวเนื่องด้วยข้าว ทั้งสิ้น
ในข้าวมีอะไร?!
ในข้าวต้องมีอะไรมากกว่า ความเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิตของคนอย่างแน่นอน!!
ความเป็นมาของข้าว หรือตำนานแม่โพสพ หรือเรื่อง "สัง" ในปรัมปรานิทาน หรือกลอนลำที่กล่าวถึง การกำหนดตาตะรางของจีวรพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ที่บอกว่า พระพุทธเจ้าทรงกำหนดเอาตามรูปคันนาของชาวมคธ
แล้วยังมีอีกมากมาย ล้วนแต่ทำให้เห็นคุณค่าของข้าวที่เป็นมากกว่าอาหาร
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า บริเวณพื้นที่โลกที่อยู่ระหว่างสองอารยธรรม คือ อินเดียกับจีน (อินโด-ไชน่า/Indo-china) นี้ ถูกสงวนไว้สำหรับเป็นพื้นที่ปลูกข้าว!!
แล้วชนเชื้อที่อยู่ในร่องระหว่างแขกกับจีนนี้ จะเป็นคนประเภทไหน... แท้จริงก็คือคนที่ได้รับเลือกแล้วว่า จะต้องทำหน้าที่ปลูกข้าวให้คนทั้งโลก เพราะไม่มีพื้นที่ใดจะเหมาะกับพืชประเภทหญ้าชนิดนี้อีกแล้ว (ธัญ คือ หญ้า ข้าวคือหญ้าชนิดหนึ่ง)
กระบวนการทำนาของคนในภูมิภาคนี้ มันเป็นยิ่งกว่าการปลูกพืชธรรมดา หากมองในแง่ศิลปะ มันคือศิลปะชั้นสูง ไม่ว่าจะเริ่มที่ขั้นตอนไหน..ก็ล้วนแต่มีเรื่องราว
ผมเป็นลูกชาวนา และเป็นชาวนาที่ทำนาแบบดั้งเดิม คือ ทำนาด้วยแรงควาย ถ้าให้ออกกลิ่นเพื่อชีวิตหน่อยๆ ต้องบอกว่า ยุคคนกับควาย ...
แค่การฝึกควาย ให้รู้จักเดินตามร่องไถ (ฮ่องขี้ไถ) เพื่อให้ "ตาคำ" ได้ไถแวะไปแวะมา... ทั้งๆ ที่ฝืนธรรมชาติของสัตว์เดรัจฉาน...ผมว่าฝรั่งมาเห็น มันทำวิจัยได้เป็นปีๆ
มิพักต้องพูดถึงการไถ คราด ปักดำ เก็บเกี่ยว ล้วนแล้วแต่มีระเบียบวิธีที่ซับซ้อน เต็มไปด้วยเหตุด้วยผล
เอาง่ายๆ แค่เรื่องคันนา หรือ คันแท หรือ คันแทนา เรื่องนี้เรื่องเดียว ... ถกหรือฝอยกันได้เป็นวันๆ ...
ในคันแทนา ...มันเต็มไปด้วยเรื่องราว
เอาพอเป็นกระษัยยา... สังเกตกันบ้างไหมว่า....คันแทนาแต่ละเส้นหรือแต่ละคัน มันมีขนาดไม่เท่ากัน... ทั้งด้านกว้าง ยาว และสูง ก็เพราะ แปลงนาแต่ละแปลงต้ังอยู่บนพื้นที่ต่างระดับกัน แปลงแรกๆ ต้องทำให้ด้านที่ติดกับอีกแปลงมันต่ำกว่าด้านอื่นๆ เพื่อให้น้ำล้นไปเติมให้นาอีกแปลงจนทั่วที่นาทั้งผืน
แปลงใดที่เป็นดินเค็ม จะป้องกันไม่ให้น้ำไหลไปสู่แปลงอื่น เพราะจะเป็นการกระจายความเค็ม เขาจะปล่อยทิ้ง ให้น้ำไหลออกได้ทุกทาง ให้มันเจือจาง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ดินเค็มไม่สามารถปั้นคันแทนาได้อยู่แล้ว
แล้วเรื่องเหมือง หรือฮ่องเหมือง ที่เป็นนวัตกรรมเพื่อป้องกันข้อพิพาทของเจ้าของนาที่อยู่ติดกัน และยังใช้ประโยชน์ได้ใส่ไซยามปลาขึ้น เป็นต้น
แล้วยังอุปกรณ์การทำนาอีกเล่า ... ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องน่าศึกษา.... นี่ยังเข้าไม่ถึงแก่นของการทำนาเลย
บรรดาความขยัน อดทน มีสมาธิ รู้จักการรอคอย ละเอียด รอบคอบ วินัย เอื้ออาทรต่อคนรอบข้าง อดทนต่อความกดดัน หาความสุขจากการออกแรงงาน ความสามัคคี การถนอมน้ำใจคน ความมีสัมมาคารวะ ความมีเหตุมีผล ความกตัญญูรู้คุณ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเสียสละ ความมีทักษะ คล่องแคล่วทะมัดทะแมง ใช้อวัยวะทุกส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ ความเป็นลูกผู้ชาย
ในผู้หญิง ความอุตสาหะ อดทน ใจเย็น ร่วมเป็นร่วมตาย ปากกัดตีนถีบบ่าแบกหลังหนุน รู้ข่มใจ รู้เจียม รู้จักปลอบใจ รู้ให้กำลังใจ เห็นแก่ครอบครัว ฯลฯ
คุณความดีเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่หาได้จากแปลงนา...
ผมเคยเห็น (ที่จริงคือการสังเกต ถ้าจะพูดแบบนักวิชาการต้องบอกว่า เป็นการสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง ก็คือดูเฉยๆ นี่แหละ) การทำนาของคนหลายสัญชาติ ทั้งคนไทยทุกภาค ลาว พม่า มอญ กะเหรี่ยง อาข่า ม้ง จีน เวียดนาม เขมร ไทใหญ่ ไทลื้อ ไทขืน และอื่นๆ ที่นึกไม่ออก
แต่เสียดาย ไม่มีอินเดีย เคยเห็นแต่ในวิดีโอ
ด้วยความเป็นลูกชาวนา เห็นพ่อทำนาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ทำนาเป็นตั้งแต่เกิด ฝึกซ่อมแจไฮ่นา ฝึกไถนาเป็นก่อนจะเล่นขายของเฮือนน้อยเป็น... ผมสรุปได้เลยว่า ไม่มีคนชาติใดที่ทำนาเผี่ยน (หมดจดสวยงาม) เท่าคนในร่องอินโด-จีน
คนในร่องนี้เกิดมาเพื่อทำนาโดยแท้ ยามทำนา คนแถบนี้เคลื่อนไหวร่างกายคล่องแคล่วทะมัดทะแมง รื่นไหล สวยงาม ... เห็นแล้วเพลินตา เหมือนดูนักมวยเอกออกอาวุธยามพันตูกับคู่ชก ดูมันพลิ้วไปเสียหมด
คนจีนทำนา ดูเก้งก้าง ตลก สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ขาดการเตรียมการ ขาดทักษะ งุ่มง่าม เห็นแล้วอยากไล่ให้ไปค้าขายหงายมือ อย่ามาเปื้อนดินเปื้อนโคลนเลย มีอย่างที่ไหน... ทำนาเหมือนปลูกผัก ยกร่องแปลงปลูก แต่ละแปลงมีขนาดเท่าแปลงผัก สูญเสียพื้นที่ไปกับทางเดินไปกว่าครึ่งค่อน
เถียงนา หรือเถงนา (ไทใหญ่) ขนำ หรือกระท่อมที่พัก อย่ามองหาเสียให้ยาก... ไม่มี ถ้าอยากรู้ว่าชาวนาจีนเขาดำนาหรือเกี่ยวข้าวอยู่แถวไหน ต้องมองหา... กระติกน้ำร้อนน้ำชา เขาจะกองสุมกันใกล้ๆ แปลงผัก ..เอ๊ย..แปลงข้าว
ทีนี้ ...มาดูชาวนาพม่า... แถบแม่น้ำอิรวดี หรือเอยาวดี แม่น้ำนี่ก็แปลก ตลิ่งสองฝั่งมีก็เหมือนไม่มี เพราะเป็นทราย มีแต่ทรายกับทราย (เห็นแล้วคิดอยากชวนเสี่ยๆ ที่ทำลายตลิ่งแม่น้ำทุกสายในไทยไปทำธุรกิจแถบมัณฑะเลย์ จะได้ดูดกันสมใจ)
ในฤดูทำนา น้ำจากแม่น้ำเอ่อท้นท่วมไร่นา สูงระดับสะเอวถึงคอ... อ้าวแล้วจะดำนากันยังไง?
ก่อนจะพูดถึงวิธีดำนา มาดูนี่ก่อน... หน้าน้ำน้ำท่วม พี่หม่องเขาไม่สะทกสะท้าน หรือโวยวายให้รัฐช่วยเหลือเงินชดเชยเยียวยานาน้ำท่วม...ไม่ เพราะหน้าน้ำๆ มันก็ต้องท่วม เออ..ถ้าน้ำไม่ท่วมสิแปลก...
น้ำท่วมทุ่ง ต้องออกไปดำนา...หม่องทำไง... หม่องถกโล้งหยี่ หรือโสร่งออก แล้วคล้องเข้ากับเสากระโดงเรือลำน้อย จับชายโสร่ง ไสเรือออกรับลม แล้วลมทุ่งก็หอบเอาเรือหม่องให้ลอยละลิ่วถึงที่นาเพลินๆ ไม่ต้องเดินให้เมื่อยตุ้ม
ที่นา ซึ่งตอนนี้ คนอื่นดูไม่รู้ดอกว่า อะไรอยู่ตรงไหน เพราะมองไปคืบก็น้ำศอกก็น้ำ
หม่องเขารู้เขตที่นาตัวเอง ถึงนาแล้ว ดึงโสร่งออกจากเสาไม้กางเขนในเรือ หยักรั้งให้แน่น หย่อนขาข้างหนึ่งลงน้ำ คอยราน้ำ คัดซ้าย-ขวา หรือกวักพุ้ยน้ำให้เรือเดินหน้า-ถอยหลัง
มือข้างหนึ่งหยิบเอาคันเหล็ก รูปร่างเหมือน "เหล็กเกาะ (เกี่ยว) ปลาหลด" หรือที่เด็กอีสานเรียก เหล็กสระโอ เพราะเหมือนสระโอ เวลาเกี่ยวปลาหลดก็ใช้หางสระโอนี่แหละเกี่ยว ไม่มีปลาหลดที่ถูกสระโอแล้วดิ้นหลุดไปได้
แต่เหล็กของหม่องมีไว้เพื่อเกาะเกี่ยวต้นกล้าข้าว ต้นกล้าของชาวนาอิรวดียาวเป็นวา หรือหลายวา (ยาวตามระดับน้ำในนา) เมื่อสอดต้นกล้าเข้ากับเหล็ก ก็เสียบลงไปที่พื้นนา พอต้นกล้าถูกปักลงดินเรียบร้อย ก็ชักเหล็กกลับ ตีนพุ้ยน้ำ นำเรือไปอยู่ที่ตำแหน่งระยะห่างของต้นข้าว และเตรียมเสียบต้นต่อไปและต่อไป....
กระบวนการเสียบๆ ถอดๆ หรือดำนานี้ดำเนินไปอย่างรื่นไหล คนไม่รู้ นึกว่าหม่องนั่งเรือกินลมเล่นๆ ดำนาได้สักพักหนึ่ง ต้นกล้าก็เขียวชะอุ่มเต็มผืนนา


คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์
NONT'S T A L K
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (8)
 
ใน "ข้าว" มีอะไร?
นี่คือปริศนาที่คนกินข้าวต้องทำความเข้าใจ
ผมเคยดูหนังจีน พระเอก คือ เจ็ท ลี ชื่อนี้คอหนังกังฟูรู้จักกันดี ท้องเรื่องพระเอกเป็นเจ้าสำนักกังฟู แต่แพ้คู่ต่อสู้ที่โกง ทำให้เสียมวย และสูญเสียทุกอย่าง จึงหนีไปสุดหล้า ไปอยู่กับชนเผ่าหนึ่งในจีน ที่ฉากอธิบายว่า เป็นชนเผ่าที่มีอาชีพทำนา
ไม่ต้องสงสัยว่า ชนเผ่านี้คือ ชาวไต เพราะผู้กำกับย้ำให้เห็นถึงความเป็นไตให้ชัดลงไปอีก ด้วยการให้นักมวยเอกของไทย สมรัก คำสิงห์ เข้าฉากโชว์ลวดลายมวยไทยกับพระเอกด้วย
ฉากต่างๆ (sequences) เหล่านี้ สะท้อนให้รู้ว่า ในหมู่ชาวจีนก็ยอมรับว่า คนไตไทยลาว คือ ชนชาติทำนา เก่งเรื่องข้าวเรื่องนา ในสำนวนลาวเรียกคนทำนาอย่างเห็นภาพว่า "พ่อนา" และแปลกที่ไม่เรียกผู้หญิงว่า "แม่นา"
ผู้ชายกับนา มีความสัมพันธ์กัน.... งานนาเป็นงานหนัก ยืดเยื้อ ขณะเดียวกัน ผู้ทำนาต้องพิถีพิถันอย่างยิ่ง ชาวนาเขารักทะนุถนอมข้าวทุกเมล็ด กว่าจะได้ทีละกอบทีละกำ
ชาวนารักและบูชาข้าว พิธีกรรมที่กอปรขึ้นโดยมีข้าวเป็นส่วนประกอบ ย่อมศักดิ์สิทธิ์ เพราะถือว่าข้าวคือแม่โพสพ แต่...ข้าราชการกระทรวงเกษตร ต่อให้เป็นผู้แทนพระองค์ในนาม "พระยาแรกนา" ก็หาได้สำเหนียกในเรื่องนี้ไม่
สิ่งที่บ่งบอกพฤติกรรมว่าลบหลู่พระแม่ คือ การที่กระทรวงเกษตร "ติดเบอร์" ให้พระแม่เป็นดั่ง "หมอนวด" มิต่างจาก ช็อกการี นั่นอย่างไรล่ะคือหลักฐาน
ฟังชื่อข้าว... ชาวนาเคยมีพันธ์ุข้าวปิ่นแก้ว สันป่าตอง เสาไห้ ป้องแอ้ว เหลืองประทิว หมากหม้วย ฯลฯ ตั้งแต่ปี 2503 เป็นต้นมา นับแต่มี IRRI - International Rice Research Institute ที่ Los Banos ฟิลิปินส์ เราก็มีข้าว กข.1 กข.2 กข.5 กข.6 กข.14 และเบอร์อื่นๆ
ผมไม่ได้พูดเอง แต่จำคำพูดของ เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ ผู้ที่ชาวไทยรู้จักกันในนามผู้ต้องหาและผู้นำการรณรงค์น้ำมันกัญชา ซึ่งงานกัญชาเป็นแค่กระผีก เป็นไซด์ไลน์ (งานเสริม) งานหลักของศิษย์เก่าเกษตร มข. ท่านนี้คือ งานวิจัยข้าว
เป็นคนที่ทำให้ผมหัวเราะเยาะภาษิตไทยที่ว่า "ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสาร" นัยว่า ผู้ชายตกไปที่ไหนก็งอกเงย เหมือนข้าวเปลือก แต่หญิง ตกไปที่ไหนก็มีแต่เน่าบูด งอกไม่ได้ เพราะเป็นข้าวสาร
แต่การคัดพันธุ์ข้าวตามหลักวิชาการ คือ ต้องแกะเปลือก ให้เหลือจมูกข้าวและเปลือกใสๆ ห่อหุ้ม ไม่ได้ใช้ทั้งเปลือก แล้วนำไปเพาะในแปลงทดลอง ซึ่งนั่นก็คือเอาข้าวสารมาเพาะ นั่นเอง เห็นว่างอกงามดี เพราะคัดเอาแต่เมล็ดสมบูรณ์ ไม่แตกหัก และยังไม่กลายพันธุ์ด้วย
ด้วยความเคารพต่อข้าว เดชา (ลูกเถ้าแก่โรงสีใหญ่เมืองสุพรรณ) จึงเคารพแม่โพสพอย่างยิ่ง เขาอธิษฐานจิตแล้วเดินเข้าสวนจตุจักร ตรงไปร้านขายของเก่า แล้วได้พบรูปแม่โพสพ ถูกทิ้งรวมๆ กับกะโหลกกะลาที่เตรียมขนไปทิ้ง
มูลนิธินี้ก็จึงมีขวัญของข้าว นับแต่วันที่เขาขัดสีและเข้ากรอบใหม่ให้รูปนั้น
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเดือดทุกครั้งเมื่อได้ยินใครเรียกแม่ อันเป็นขวัญของชาวนาโดยมีเบอร์ติดมาด้วย
คนจีนแม้ทำนาไม่เก่ง แต่ก็ให้ความนับถือต่อคนทำนา ว่าเป็นคนทำคุณแก่มนุษยชาติ จะเห็นจากตัวอักษรจีน คำว่า "หนัน เหริน" แปลว่า ผู้ชาย นั้น ตัวหนัน คือ รูปแปลงนา คนจีนเห็นว่า คนจะเป็นชายโดยสมบูรณ์ต้องทำนา
ท่านจำ สายัณห์ เล็กอุทัย ได้ไหม?
ที่ผมเขียนถึงวันก่อนๆ โน้น ถ้าจำไม่ได้ผมจะย้อนให้ฟัง เขาคือ คนทำตัวติดดิน กินข้าวด้วยมือ หุงข้าวด้วยฟืน-ถ่าน เป็นคนแรกๆ ในประเทศนี้ที่พูดถึงคุณอันอเนกอนันต์ของข้าวกล้อง
รสนิยมการแต่งตัวเหมือนกุ๊ยข้างถนน แต่ขับรถโฟล์ก เยอรมัน โดยเลือกจากอู่ส่วนตัว 1 ในจำนวนร่วมๆ 20 คัน และคือผู้ดูแลการเกาะสัญญาณดาวเทียมของสถานีโทรทัศน์ และเขาคือผู้ที่บอกกับทุกคนทีเล่นทีจริงว่า ...ที่ต้องหนีกลับเมืองไทย เพราะกลัวว่าฝรั่งมันจะจับไปเป็นประธานาธิบดี!!
ทุกวันพฤหัสบดี หนังสือพิมพ์ต้องสละหน้าคู่กลางให้เขาเขียน "คารวะแผ่นดิน" เขาเขียนถึงข้าวว่า...
ข้าว เป็นพืชเพียงชนิดเดียวที่มีความเจริญสูงสุด คือ สมบูรณ์ครบ 7 ขั้น ดังนั้น ผู้บริโภคข้าว จึงเป็นผู้ที่สามารถยกระดับวิจารณญาณ หมายถึง สามารถเจริญสมาธิ จนบรรลุธรรมขั้นสูงสุด
และว่า... ผู้ที่ไม่กินข้าว (ข้าวกล้อง) ต่อให้ปฏิบัติให้ตายก็ไม่บรรลุธรรม
แล้วแกก็วาดรูปต้นข้าว ที่เห็นทั้งราก ที่แผ่ลงเบี้องล่าง และยอดทะลุเสียดขึ้นในอากาศ พร้อมอธิบายว่า ... จักรวาล มีพิ้นผิว คือ โลกมนุษย์ ต่ำลงไป 3 ชั้น และสูงขึ้นไป 3 ชั้น มีแต่ข้าวเท่านั้นที่เป็นสื่อในจักรวาลได้ครบ 7 ขั้น จึงเป็นสื่อให้วิจารณญาณเจริญใน 7 ชั้นได้
 
 คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์
NONT'S T A L K
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (9)
 
ผมว่าเราไปต่อ ฮีตที่ 3 กันเลยดีกว่า เดี๋ยวจะเข้าตำรา ... เว้าหลาย มันยาวมันยืด ปืดพุ่มไม้ ความเว้าแฮ่งหลาย...
ภาษิตหรือผญาบทนี้ แก่ตัวลงจึงรู้ความหมาย คนแก่ชอบพูด และพูดมากด้วย
"ปืดพุ่มไม้" คืออะไร ปืดก็คือ เปิด แล้วพอเปิดพุ่มไม้ ทำไมคำเว้าหรือคำพูดมันจึงหลาย (เยอะ)
ก็ขนาดคุยกันท่ามกลางแดดเปรี้ยง คนแก่ก็ฝอยซะ... พอเปิดพุ่มไม้ เข้าไปหลบแดด มันเย็นสบายกว่าอยู่กลางแดด ทีนี้...มันจึงฝอยกระจาย แบบที่เพลงพูดของ เพลิน พรมแดน เรียกว่า "คุยขี้เป็นเลือด" คือ มันฝอยจนไม่รู้จะนิยามหรือสรรหาคำใดมาเทียบ
ฮีตที่ 3 บุญข้าวจี่ หรือ บุญมาฆบูชา ระยะแรก เป็นเพียงบุญข้าวจี่ ต่อมาจึงเป็นบุญมาฆบูชา และเนื่องจากทำในเดือน ๓ จึงเรียกอีกอย่างว่า บุญเดือน ๓
นี่ก็บุญอีกปาง ที่บรรพบุรุษของเราได้บรรจุเรื่องการเกษตรเข้าไว้ในฮีต ผมถึงบอกว่า ข้าวเป็นหัวใจของการเกษตร และข้าวก็เป็นปริศนาที่คนในยุคน่านเจ้าทิ้งไว้...
ข้าว อาจเป็นทางรอด (survival kit) เป็นชุดความรู้ให้แก่ให้คนในร่องอินโด-ไชนา!!
สังเกตหรือไม่ว่า ... ทำไมผมไม่เรียกว่า อินโดจีน หรือ อินดูจีน (แบบโบราณ) หรือ Indochina ... ก็เพราะว่า ฝรั่งเศสเมื่อเข้ายึดครองเวียดนาม ลาว กัมพูชา 3 ประเทศให้เป็นเมืองขึ้น แล้วเรียกอาณานิคมของตนว่า Indochine หรือ Indochina ในภาษาอังกฤษ
จะ Indochine หรือ Indochina หรือ อินโดจีน คำๆ นี้มันจึงมีความหมายแคบ จำกัดพื้นที่อยู่เฉพาะพื้นที่ 3 ประเทศ คือ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา
แต่ ร่องอินโด-ไชนา คือ พื้นที่ระหว่างอินเดียกับจีน มันหมายถึงประเทศอื่นๆ นอกเหนือจาก 3 ประเทศ รวมถึงจีนตอนใต้ พม่าและ ไทยด้วย
คำว่า อินเดีย (India) เวลาสนธิกับคำว่า จีน (China) เพื่อให้เป็นคำใหม่ คำเดียวกัน จึงเปลี่ยนพยางค์ท้ายให้เป็น สระโอ จากอินเดีย (India) ก็จึงเป็น อินโด (indo-) จึงได้คำใหม่ เป็น อินโดจีน (Indo-china หรือ Indochina)
เหมือนชื่อบริษัทของตระกูล ฯพณฯ อาตี๋หนู นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซิโนไทย หรือ ชิโนไทย ก็คือ เมื่อจะเอาคำว่า จีน หรือไชนา (China) มาสนธิกับคำว่า ไทย หรือ Thai ก็จึงเป็น ชิโนไทย หรือซิโนไทย หรือ Sinothai หรือ Sino-thai หมายถึงไทยที่เป็นจีน หรือ คนไทยเชื้อสายจีน
แล้ว China ทำไมถึงเป็น Sino ก็เพราะคำแท้หรือรากศัพท์ของ China มันคือ Sin Sino Sine (ไม่คำใดก็คำหนึ่ง) ในภาษาละติน เหมือนหลายๆ คำของไทย เวลาเราจะนำไปสมาสหรือสนธิ ก็ต้องกลับไปหารากศัพท์ก่อน คือภาษาบาลี แล้วค่อยสมาส (ชน) หรือ สนธิ (เชื่อม)
เช่น เมืองข้าว คือ เมืองที่ปลูกข้าวได้มาก หรือเมืองที่ชาวบ้านชาวเมืองร่ำรวยมาจากข้าว เวลาจะจำกัดความให้กระชับ เราต้องถ่อสังขารไปที่รากของคำ จึงเป็น ธัญบุรี ... คือจะเรียกว่า เมืองข้าว มันไม่ขลัง ดังนี้แล
เฮ้อ...ฝอยขี้เป็นเลือด
กลับมาที่บุญข้าวจี่ ...
อะไรคือข้าวจี่ ..ข้าวจี่ คือ ข้าวเหนียวนึ่งสุก ทำเป็นปั้นหรือก้อน โรยเกลือนิดหน่อย แล้วใช้ไม้เสียบ นำไปจี่ (ย่างไฟ) พอข้าวเกรียมก็ทาด้วยไข่ ย่างต่ออีกนิด จะได้ปั้นข้าวสุกเหลือง หอม ชวนรับประทาน
ข้าวจี่ สมัยก่อน มักทำกันเฉพาะตอนเช้าตรู่ คือยังไม่สว่างดี หรือ ก่อนงาย พอสายแล้วจะไม่ทำข้าวจี่ ยกเว้นมันยืดเยื้อมาจากตอนเช้า เพราะต้องทำจำนวนมาก เพื่อนำไปทำบุญ
ข้าวจี่ จึงเป็นเมนูเฉพาะคนตื่นเช้า บุญเดือน 3 คือบุญในฤดูหนาว คนตื่นเช้าในหน้าหนาว ซึ่งก็คือคนขยัน นั่นเอง ในทางกลับกัน ถ้าเห็นใครจี่ข้าว หรือกินข้าวจี่ตอนสายๆ ชี้หน้าได้เลย ... ไอ้คนขี้คร้าน สันหลังยาว
แต่สมัยนี้ เขาไม่ถือกันแล้ว เพราะเห็นกินกันทุกช่วงของวัน ดึกดื่นยังเห็นเดินแทะกันอยู่เลย ไม่เชื่อไปดูที่ถนนคนเดินเมืองที่ผมอยู่
ข้าวจี่ คือ สุดยอดของภัตตาหารที่จะนำถวายพระ ของที่จะถวายพระย่อมเป็น
สิ่งของที่คัดสรรแล้วว่าเป็นเลิศ สำหรับคนในร่องระหว่างอินเดียกับจีนที่นับถือศาสนาพุทธ ...สิ่งใดจะเลิศไปกว่าข้าวเป็นไม่มี
และข้าวใดจะเลิศไปกว่า ข้าวใหม่
หลังจากทำบุญคูณลานที่ลานข้าวแล้ว กว่าจะจัดการเรื่องไร่เรื่องนาเสร็จ ก็ตกเข้าเดือน 3 พอดี
ถึงเดือน 3 ภารกิจในนาจบสิ้นดีแล้ว ชาวนาต่างมีความสุข เพราะอาหารจำเป็นคือข้าวก็เต็มยุ้งเต็มเญียเต็มเล้า
ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป... คณะแก้วฟ้า...เอ๊ย ช่วงเวลาแล้วนาถึงช่วงจะลงนา คือช่วงเวลาแห่งความสำราญของชาวนาโดยแท้
แล้วอะไรจะสุขใจเท่า เวลาที่ได้เห็นน้ำพักน้ำแรง คือ ข้าวส่งกลิ่นหอมในหวด
แต่... ชาวนาจะไม่สุขอยู่แต่ภายในครอบครัว แต่อยากส่งความสุขให้คนที่ประเสริฐกว่าตน คือ พ่อแม่
พ่อแม่จะได้กินข้าวใหม่จากลูกก็แต่...ข้าวสุกใหม่ในกระติบ
แต่พระสงฆ์จะได้ข้าวที่ดีกว่านั้น คือ ข้าวจี่ทาไข่จากข้าวใหม่ในเดือน 3
พระจึงได้สิ่งของที่เหนือกว่า เลิศกว่าพ่อกว่าแม่ของชาวนา...
สุดยอดไหม?
แล้ว...สมณะที่ฉันภัตตาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธา ควรเป็นสมณะเยี่ยงใด?
พระก็จึงต้องดำรงตนให้เหนือกว่าพ่อแม่ของญาติโยม!
และไม่มีอะไรจะเหนือกว่าพ่อแม่เท่ากับ...ทำให้ขาวบ้านได้เข้าใจหลักธรรมที่เป็นคำสอน (ที่แท้) ของพระสัมมาสัมพุทธ จึงจะเรียกว่าได้ตอบแทนคุณข้าวคุณน้ำของชาวบ้าน
แล้วอะไรล่ะคือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า...?
ก็ปรมัตถธรรม ธรรมอันละเอียดยิ่ง...ได้แก่ จิต เจตสิก รูป ...ทำความกระจ่างในปรมัตถ์ธรรม ๓ นี้ แล้วสอนชาวบ้าน
เพราะนี่คือธรรมที่ตรงที่สุด อย่าอ้อมค้อมไพล่ไปสอนนั่งสมาธิที่เป็นมิจฉาสมาธิ มิจฉาทิฏฐิ ...นั่งให้ตายจะไปรู้อะไร
วัตรปฏิบัติของพระแท้ มีอยู่เท่านั้น!
นอกนั้นก็ประพฤติให้อยู่ในพระธรรมวินัยและสิกขาบท อย่าเฉไฉ ล่วงละเมิดคำสอน... พระไทยทำได้แค่นี้เท่านี้ก็หรูแล้ว!
พระองค์ไม่ให้รับเงิน (รับทอง) ก็อย่าไปรับ จึงจะถือว่าเป็นพระ คือ วร คือ ผู้ประเสริฐ
อย่าได้คิดเชียวนะว่า...ในสมัยพระพุทธเจ้ามันไม่เหมือนสมัยนี้... สมัยนี้เขาใช้แต่เงิน เอะอะก็ต้องใช้เงิน จะไปไหนมาไหนมันก็ต้องขึ้นรถ เบ่งขึ้นฟรีเดี๋ยวกระเป๋าจะได้เตะลงรถกันพอดี...
พระพุทธเจ้าไม่เข้าใจพระสมัยนี้หรอก... ฮั่นแน่...ว่าเข้าไปนั่น
คิดง่ายๆ ... ถ้าเรื่องหยาบๆ แค่นี้พระพุทธเจ้าคิดไม่ถึง..ก็เลิกนับถือเถอะ ถ้าญาณระดับนั้นไม่เข้าใจเพียงเรื่องแค่นี้ ก็อย่าเป็นพระพุทธเจ้าเลย...
ทำไมพระ (สมัยนี้) ไม่คิดมุมกลับล่ะว่า... ก็เพราะพระพุทธเจ้า ผู้สั่งสอนแม้แต่เทพและพรหม ได้เล็งเห็นแล้วว่า... พระยุคเราๆ นี้และยุคหน้า มันจะหลงใหลในลาภในเงิน ก็เลยให้คงสิกขาบทข้อนี้ไว้...คิดได้ยังไงว่าพระพุทธเจ้าโง่...ไม่เข้าใจพระจ๊าบ
พอละ เดี๋ยวทะเลาะกับพระครู
ข้าว ... ทำไมสำคัญถึงขนาดต้องบรรจุไว้ในฮีต ๑๒?
บรรพบุรุษของเรา เขาเห็นอะไรในข้าว..?
ผมคิดแบบโง่ๆ เร็วๆ คือ มันเป็นรหัสที่บรรพบุรุษส่งผ่านฮีต เพื่อให้เราได้ตระหนักว่า ข้าวนั้นสำคัญนะ... สำคัญสำหรับคนในร่องอินโดจีนในทุกยุคทุกสมัย และมันเป็นชุดความรู้ในการนำพาชีวิตให้รอดพ้นจากความทุกข์จน เป็น survival kit
ภาษาเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น สำหรับคนโง่แบบผม....มีอยู่ 3 คำ คือ supply, demand, price คำ 3 คำนี้มันสัมพันธ์กัน ถ้าอย่างหนึ่งมาก อีกอย่างก็จะน้อย และทำให้อีกอย่างพลอยตามไปด้วย
supply คือ สิ่งที่ผลิตได้ หรือสินค้า
demand คือ ความต้องการสินค้า
price คือ ราคาสินค้า
โปรดสังเกต price หรือ ราคา มันเป็นลูกแหล้ง (ลูกน้อง) ของ demand มันจะตามลูกพี่ของมันไปต้อยๆ
เช่น ถ้า supply มาก demand จะน้อย และ price ก็จะตก หรือน้อยตามไปด้วย
แต่ถ้า supply น้อย demand ก็จะมาก และ price ก็จะมาก หรือขึ้นตามไปด้วย
ข้าวคือสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ ไม่กินข้าว หรือไม่มีข้าว มนุษย์ก็ต้องตาย
แต่เมื่อ supply ข้าวมีมาก มากจนล้นเกิน ทำนาปีแล้วยังไม่พอ ต้องทำนาปรัง นาปรังครั้งเดียวไม่พอ ต้องต่อเป็น 2 เป็น 3 ... แล้ว demand มันก็ต้องน้อยลงๆ แล้ว price ของข้าวมันจะไม่ให้มันตกยังไงไหว!
เคยได้ยินไหม...เจ้าสัวขนไก่ไปทิ้งทะเล แทนที่จะขายถูกๆ เคยได้ยินไหม กลุ่มผลิตน้ำมัน OPEC เขาทะเลาะกันเรื่องกำหนด supply น้ำมัน ห้ามปรามกันอย่าได้หล็อยผลิตเป็นอันขาด supply มันจะล้นเกิน demand จะน้อย และ price หรือราคามันก็จะตก
แล้วยังมีผู้ส่งออกสินค้าชนิดอื่นๆ ทั่วทั้งโลก ก็ล้วนพยายามลด supply ลง เพื่อไม่ให้ราคาสินค้าตก!
แต่ชาวนกลับเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากันผลิต แข่งกันเพิ่มผลผลิตต่อไร่ รัฐบาลแต่ละประเทศก็ปรบมือเชียร์ชาวนา
...เอ้าเร่งผลิตกันเข้าไป...ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้... นี่ปุ๋ย นี่ยา นี่พันธุ์ข้าวชั้นดี...เอ้าฮ้าไฮ้....ตะละล้า...หุย...แข่งกันไปตาย!
แล้วถ้า...คนในร่องอินโดจีนร่วมมือกันลด supply ลงบ้าง ผลมันจะเป็นยังไง?!
ไม่อยากจะจินตนาการ...
คนมันไม่มีน้ำมัน มันไม่ตายดอก ต่อให้ไม่มีน้ำมันเป็นปีๆ ก็อยู่กันได้ ไม่มียาง ไม่มีอ้อย ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอินเตอร์เน็ต...(อ้าว!) ไม่มีอื่นๆ ....อื่นๆ มันไม่ตาย
แต่อดข้าว ไม่มีข้าวกิน... มันตาย!
ที่ข้าวไม่มีความสำคัญทุกวันนี้ ก็เพราะ supply มันล้นเกิน ไม่รู้จะล้นยังไง
ราคาก็จึงถูก..เหมือนได้เปล่า
ก็ลอง...คนทำนาลดการผลิต... ลดจนมันต้องใช้ถาดใช้ไม้เขี่ยข้าวทีละเม็ดๆ เหมือนอาตี๋เขี่ยเม็ดยาขาย...
ผลจะเป็นยังไง?!
ฮีต บุญเดือน 3 จึงอาจเป็นกุญแจอีกดอกที่บรรพชนทิ้งไว้ให้
และกุญแจดอกนี้ มันก็เข้าสนิมหรือเปื่อยพังไปแล้ว เพราะอนุชนไม่สำเหนียกถึงความสำคัญที่ปู่ย่าส่งรหัสมาเป็นพันๆ ปี
 

 

  คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์
NONT'S T A L K
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (10)
 
ฮีตที่ 4 บุญพระเวส หรือ บุญมหาชาติ เป็นบุญที่มีการเทศน์มหาชาติ จากหนังสือมหาชาติ หรือ เวสสันดรชาดก ซึ่งแสดงถึงจริยวัตรของพระพุทธเจ้า คราวเสวยพระชาติเป็นเวสสันดร เป็นหนังสือเรื่องยาว 14 ผูก
เนื่องจากกำหนดให้ทำในเดือน ๔ จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า บุญเดือน ๔
อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ช่วงเวลาจากเดือน ๓ ถึงเดือน ๘ จำนวน 5 เดือนนี้ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสำราญของชาวนา ซึ่งตามประวัติปูมหลังของฮีตคอง ชาวนาในที่นี้ หมายถึงคนไตไทยลาว ที่อยู่ในร่องอินเดีย-จีน นั่นเอง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ว่างจากงานนา อันเป็นงานหนักและงานหลัก บรรดาบุญหรือกิจกรรมที่ผู้คนต้องร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้น ล้วนอยู่ในบรรยากาศของการรื่นเริง แม้เนื้อหาของกิจกรรมจะเป็นเรื่องทางศาสนา ก็มิวายถูกดึงให้เป็นเรื่องความสดชื่นรื่นเริง
บุญพระเวส ที่ออกเสียงเป็น ผะเหวด... บางจังหวัดในภาคอีสานถึงกับตราเป็นชื่อบุญตามเสียงเรียก เช่น ร้อยเอ็ด ซึ่งถ้าถามว่า ทำไมถึงเรียกหรือเขียนเช่นนั้น สามารถตอบแทนผู้ว่าฯ หรือชาวเมืองเกินร้อยได้เลยว่า คำว่า ผะเหวด คือคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า พระเวส
แต่ผมสงสัย ขอถามชาวร้อยเอ็ด ซึ่งผมค่อนข้างเชื่อตามพิจิตร ศรีศิลป์ หรือ "เขียวหางไหม้" หรือ "จันทร์โสภา" ชาวตำบลธงธานี อ.ธวัชบุรี สมัยที่เคยร่วมงานกับผม ที่ว่า เมืองร้อยเอ็ด เป็นเมืองนักปราชญ์ที่ แท้จริง เพราะบุคลากรของเมืองนี้ ล้วนมีบทบาทและผลงานโดดเด่น แต่ไม่โฆษณาตัวเอง ยกตัวอย่างบางท่านก็ได้ ว่า เมืองนี้สมกับฉายานี้หรือไม่
มหาสิลา วีระวงส์ ชาวบ้านหนองหมื่นถ่าน อ.อาจสามารถ เพียงชื่อนี้ชื่อเดียวคงพอจะประกันได้กระมัง
ในความเห็นของผม ผะเหวด ไม่น่าจะเพี้ยนมาจากพระเวส หรือ พระเวสสันดร เพราะไม่เคยมีที่ คำว่า "พระ" จะเพี้ยนเสียงเป็น "ผะ" มีแต่ คำว่า "ปร" หรือ "ประ" เท่านั้นที่เพี้ยนเป็น "ผ" เช่น ผญา มาจาก ปรัชญา ประรำ มาเป็น ผาม เปรต มาเป็น เผต
ดังนั้น ผมจึงทึกทักเอาว่า คำว่า ผะเหวด น่าจะมาจาก ประเวศ ซึ่งมีคำนี้ปนอยู่ในชื่อกัณฑ์เทศน์ ที่มีทั้งสิ้น 13 กัณฑ์ คือ กัณฑ์ที่ ๕ คือ วนประเวศกัณฑ์
แต่ถ้าถามว่า เพราะเหตุใดคนถึงให้ความสำคัญเฉพาะกัณฑ์นี้ ถึงกับตั้งเป็นไตเติล (title) หรือชื่อของบุญ ...
ตอบว่า ...ผมไม่ทราบ อาจเป็นเพราะกัณฑ์นี้ พระเทศน์ใกล้เวลาฉันเพล หรือได้เวลาหยุดพักยก คนก็เลยจำกัณฑ์นี้ได้ หรือเป็นกัณฑ์ที่ประทับใจ เพราะพูดถึงป่าดงพงไพร ซึ่งถูกจริตคนในยุคก่อน เหมือนคนนิยมเรื่องราวของป่าดงพงไพร ที่ชื่นชอบ รพินทร์ ไพรวัลย์ ใน เพชรพระอุมา ... อันนี้ผมเองก็จนปัญญา
คนในยุคก่อนเขา "อิน" หรือซึมซาบใจต่อฮีตอย่างยิ่ง เวลาจากบ้านจากถิ่น มักนึกถึงวันชื่นคืนสุขที่ได้ร่วมกันประกอบบุญ เห็นได้จาก คำนำในหนังสือ ไม่ "กำแพงลม" ก็ "ฟ้าบ่กั้น" ของลุงคำสิงห์ ศรีนอก (ลาวคำหอม) ที่บรรยายการคิดถึงบ้านไว้ว่า ..
คึดฮอดบ้าน
บุญพระเวสคือสิหลาย
คือสิมีกัณฑ์หลอน แห่งันรำฟ้อน
ทศพรกัณฑ์ต้น
มหาพนใกล้สิเที่ยง
เสียงมะลึกคึกครื้น
อย่าลืมอ้ายผู้อยู่ไกล
มาว่าถึงอิทธิพลของการเทศน์ชาดกเวสสันดร ความซาบซึ้งในบุญบารมีที่โดดเด่นในชาดกนี้...นั่นคือ ทานบารมี ไม่มีอะไร หรือชาดกใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าทานบารมีดั่งในพระเวสสันดรชาดกไปได้
เรื่องราวอันสนุกสนานของชาดกนี้ ก็เริ่มที่การให้ทานของพระเวสสันดร นี่เอง นั่นคือ พระเวสให้ทานช้างปัจจัยนาค ให้แก่พราหมณ์อีกแคว้นหนึ่ง ทำให้ชาวเมืองสีพี เมืองของพระเวสไม่พอใจ แล้วก่อม็อบขับไล่ ผู้เป็นถึงองค์รัชทายาท... พระเวสออกไป... พระเวสออกไป๊ๆๆ ออก.....ไป๊....... (อาจมีมือตบด้วย)
พระเจ้าสญชัยมิอาจต้านทานเสียงเรียกร้องของประชาชนได้ จึงให้ขับลูกตัวเอง คือ พระเวส พร้อมครอบครัว คือเนรเทศให้ไปอยู่ป่า
จะเห็นได้ว่า ระบอบประชาธิปไตย (ที่แท้จริง) ไม่ได้มีสหรัฐฯ หรืออังกฤษ ฝรั่งเศสเป็นแม่แบบเลย ... อินเดียนี่แหละเจ้าทฤษฎีและปฏิบัติจริงๆ เจ็บจริง ตายจริง ..ไม่ใช่เฉพาะชาดกนี้ ในเรื่อง อื่นๆ ยังมีอีกมากที่แคว้นต่างๆ ในอินเดีย ถือเอา หรือเห็นแก่ประชาชน และปกครองด้วยคณะบุคคล มิใช่ราชาธิปไตย หรือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และมีมาก่อนจะมีประเทศทางยุโรป และอเมริกาจะเกิดเสียอีก
แขกอินตระเดียนี่แหละ คือ ศูนย์รวมของทุกสิ่งทุกอย่าง บรรดารูปแบบการเมืองการปกครองต่างๆ ล้วนถูกผลิตขึ้นที่นี่... ก่อนชาวละติน กรีกโบ (กรีกโบราณ) ก่อนโสกราติส ก่อน ม็องเตสกิแยร์ จอห์น ล็อค คาร์ล มาร์กซ์ ... พวกเจ้าทฤษฎีเหล่านี้ยังเป็นวุ้นอยู่เลย
เรื่องทานบารมี คือ การสร้างบารมีด้วยการให้ทานของพระเวสสันดรนั้น มิใช่เป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ (talk of the town) หรือ การเว้าพื้น ไม่ได้มีแต่ในยุคโบราณเท่านั้น แม้แต่ในบ้านเรา ก็มีกล่าวถึงเป็นระยะ แม้เมื่อมี social media ก็มีกระทู้ในเรื่องนี้
ใช่... ปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลสย่อมเข้าไม่ถึงบารมีแม้กระผีก แต่ได้วิพากษ์วิจารณ์ตามกำลังของกิเลส เอาความหยาบหนาของตนเป็นเสมือนไม้บรรทัด เที่ยวไปวัดคนนั้นคนนี้...
จนอาจเอื้อมวัดการกระทำของโพธิสัตว์ ผู้กำลังจะเป็นพระพุทธเจ้า
ข้อหาอันหนักสุดที่พวกหยาบหนาด้วยกิเลสวิพากษ์พระเวส คือ ข้อหาให้ทานลูก-เมีย...บอกว่า...รับไม่ได้!
พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ กว่าจะได้เป็นพระโคดม มิใช่อธิษฐานจิตแล้วเป็นได้เลย นอกจากจะตั้งใจแน่วแน่ถึงกับกระทำด้วยวจีกรรม คือ หลุดคำอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้า แล้วบำเพ็ญบารมีไม่รู้กี่กัปป์กี่ชาติ จึงมีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้าพระองค์หนึ่ง กล่าวรับรอง พร้อมพยากรณ์ ว่าจะได้เป็นพระพุทธต่อ... จึงจะได้เป็น
กรณีของพระพุทธโคดมนี้ ผู้รับรองและพยากรณ์ คือ พระพุทธเจ้านามว่า ทีปังกร ขณะที่พระโคดมยังเป็นฤๅษี ชื่อ สุเมโธ แล้วหลังจากนั้นอีกตั้ง 4 อสงไขยกับอีกแสนกัปป์ จึงได้เป็นพระพุทธเจ้า
ผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่และดำรงตนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายยาวนานขนาดนั้น โดยไม่บกพร่องแม้แต่ชาติเดียว จะเป็นคนเยี่ยงใด?
เรา..ท่าน...จินตนาการ หรือคิดไปไม่ถึงดอก การจะวิพากษ์ หรือตัดสินการกระทำของผู้จะได้เป็นพระพุทธเจ้า เหลืออีกเพียงชาติเดียว อย่างพระเวสสันดรนั้น ... เป็นสิ่งเกินวิสัย
กัปป์หนึ่งมีเท่าใด มีหลายทฤษฎี... แต่ที่จำได้คือ ผู้อธิบายไม่รู้จะอธิบายยังไง จึงอุปมาอุปมัยว่า... มีภูเขาลูกหนึ่ง กว้างXยาวXสูง ทุกด้านเท่ากันคือ 1 โยชน์
ลูกเต๋า 1 ลูกบาศก์โยชน์นี้ ใน 1 ปี จะมีนางฟ้าเหาะมาเสียทีหนึ่ง แล้วชายสไบที่นางฟ้าทรงนั้น ไประไปปัดหรือผัดไปโดนผิวลูกเต๋า
1 ปีเหาะมาเสียทีหนึ่ง แล้วที่ใช้ปัดหรือผัดนั้นก็บางแสนบาง ไม่ใช่ใช้กระดาษทรายขัด จะระคายผิวลูกเต๋าแค่ไหนกัน นั่นแหละ.. การปัดปีละหน จนภูเขาลูกนั้นสึกกร่อนจนราบเสมอพื้น มันจะนานเพียงใด นั่นจึงจะเป็น 1 กัปป์ แล้ว 4 อสงไขยกับอีกแสนกัปป์ มันยาวนานแค่ไหน
ในระหว่างนั้น พระพุทธเจ้าได้มุ่งมั่นที่จะเข้าใจธรรมะ ซึ่งธรรมะ มิใช่อะไรอื่นเลย แท้จริงมันก็คือ ความจริง หรือ สภาพความเป็นจริง ความจริงแท้มีเพียง จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
นั่นแสดงว่า ความจริงแท้มีอยู่ก่อน แล้วพระพุทธเจ้าจึงเข้าใจกลไกของความจริงว่า แท้จริงมันมีอะไหล่สำคัญแค่ 4 ตัว คือ ปรมัตถ์ธรรม ๔ จิต เจตสิก รูป นิพพาน การรู้ทัน รู้การทำงานของชิ้นส่วน 4 ตัวนี้ คือการรู้ทันการเกิด-ดับของสภาพธรรม
อธิบายง่ายๆ คือ มองพัดลมเบอร์ล้าน แล้วรู้ว่ามันมีอะไร และเป็นไปอย่างไร คือ มองเห็นทุกอย่างเหมือนหยุดพัดลมไว้ที่เบอร์ ๐ (ศูนย์)
แล้วการจะวิพากษ์พระพุทธเจ้าด้วยกิเลส หรือแม้จะต่อให้ผู้วิพากษ์มีปัญญาที่มากเกินมนุษย์ ก็หาได้เข้าใจการกระทำของพระเวสไม่...
อุปมาง่ายๆ เหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องเกมหมากฮ็อด (หมากฮอร์ส) หรือฝึกเล่นพองูๆ ปลาๆ เห็นเซียนเขาปล่อยให้คู่ต่อสู้กินหมากของตัวเอง ยังไม่พอ...ยังเดินหมากให้เขากินเพิ่มอีกตัวหนึ่งเสียอีก
คนแบบนั้นจะรู้ไหมว่า เหตุใดเซียนจึงทำแบบนั้น...
แถมยังดูเกมไม่จบ ก็ลุกหนีไป... แล้วไปโพนทะนาว่า เซียนโง่ ปล่อยให้คู่ต่อสู้กินหมากของตัวเองไปฟรีๆ
โดยไม่อยู่จนเห็น...เซียนกิน 3 ต่อ แล้วเข้าฮอร์ส จับกินหมากคู่ต่อสู้จนเกลี้ยงกระดาน ฉันใด
การสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า มันซับซ้อนกว่ากระดานหมากฮอร์สไม่รู้กี่ล้านเท่า ... คนกิเลสหนาอย่างผม ก็คงอธิบายให้คนกิเลสหนาได้เข้าใจแบบนี้แหละ...
เราจะไปอธิบายตรีโกณมิติกับเด็กอนุบาลให้เข้าใจได้ยังไง? ผมยังสงสัย..
บุญพระเวส ถือว่าเป็นฮีตที่ 2 แล้ว ที่บรรพบุรุษของเราได้บรรจุกิจกรรมทางพุทธลงในฮีต ๑๒
หากย้อนไปในสมัยน่านเจ้า ... เพื่อดูว่า เหตุใดคนไตไทยลาวจึงบรรจุกิจกรรมนี้ลงในฮีต คงเป็นเพราะ ผู้ปกครองในยุคนั้น ต้องการที่จะปลูกฝังเนื้อหาของพุทธลงในจิตใจของประชาชน ด้วยเห็นว่า วิถีพุทธ เป็นแนวทางแห่งสันติ ขณะที่รอบข้างเต็มไปด้วยการแก่งแย่ง และกระทำทารุณกรรมต่อกัน ต่อชนชาติชนเผ่า
ต้องการใช้พุทธเชื่อมประสานรอยร้าวระหว่างคนไตไทยลาวด้วยกัน ใหัรักสามัคคีกัน เพราะต่างก็เป็นคนไม่ชอบการรุกรานและกระทำหยาบช้าต่อชนเชื้อเดียวกัน หรือต่อชนเชื้ออื่น
หรือไม่ ...
ศาสนาพุทธอาจหยั่งลงในใจของคนไตไทยลาว ก่อนชาวฮั่นและจิ๋น ที่มีพระถังซำจั๋งจาริกไปอินเดีย เพื่อศึกษาธรรม และนำพระไตรปิฎกมายังแผ่นดินจีน แต่ผู้คนชาวฮั่นหรือจิ๋น ก็มิได้สำเหนียกในองค์คุณของพุทธธรรม
เอาแต่สวดมนต์ ...แล้วก็รำกังฟูไปวันๆ
 

 

 
คุย บ า ง เรื่องกับ...นนท์ 
NONT'S T A L K
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (11)
 
เรายังจะอยู่กับฮีตที่ 4 อีกวัน เพราะยังมีเรื่องฝอยอีกหน่อย ...ถ้ารีบก็ไปก่อน
ด้วยบุญเดือน ๔ เป็นบุญที่อยู่ในช่วงเวลาแห่งความสำราญของชาวนา แม้เป็นกิจกรรมเกี่ยวแก่ศาสนา ชาวนาก็ยัง (อุตส่าห์) สามารถหาความสุขได้จากความคร่ำเคร่ง
บุญพระเวส เป็นบุญที่มีกิจกรรมส่งเสริมศิลปะวัฒนธรรมโดยอ้อม อันเกิดจากอารมณ์สนุกรื่นเริงแบบที่ฝรั่งเรียก Holiday Mood งานการสำคัญต่างก็ได้ทำไปหมดแล้ว ถึงคราต้องสนุกสนานกันบ้าง ก็ปลดปล่อยกันให้สิ้น
ตกตาเหล้น เหล้นสาให้มันม่วน
ตกตำกวน กวนสาให้มันขุ่น
กวนขุ่นแล้ว ซิวกุ้งหากสิงอม
คือเล่นจนให้เห็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์
และก็ด้วยอารมณ์สนุก และเล่นแบบเอาจริงๆ จังๆ นี่เอง บุญพระเวสก็จึงเป็นบ่อเกิดของมหรสพ ที่คลี่คลายกลายเป็นศิลปะและวัฒนธรรมอันสำคัญ
เริ่มที่การเทศน์ของพระสงฆ์ ซึ่งก็คือการท่องบ่นเรื่องราวตามชาดก เพื่อให้ญาติโยมได้ซาบซึ้งในทานบารมีของพระโพธิสัตว์ ที่เสวยพระชาติครั้งสุดท้ายก่อนเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าในชาติต่อมา ก็จึงเรียกว่า มหาชาติ คือ ชาติอันยิ่งใหญ่
ได้มีการถ่ายคาถา (โศลก) มาเป็นภาษาของตนๆ คือ ไตก็แปลเป็นไต ไทย ลาวก็แปลเป็นภาษาไทยลาว ผู้ที่แปล หรือนายภาษานี่แหละสำคัญ เพื่อให้ผู้สืบสานต่อได้ซาบซึ้ง ก็จึงแปลงโศลกโดยยังรักษารูปฉันทลักษณ์ ด้วยเห็นว่า มีความไพเราะเพราะพริ้ง ไม่ต้องการถ่ายแบบดื้อๆ หรือเป็นร้อยแก้วหรือ ภาษาธรรมดา หรือแปลเอาแต่เนื้อหา ก็จึงเอาโศลกในชาดกเป็นแม่แบบ แล้วใช้คำในภาษาของตนแทนที่ภาษาในคัมภีร์
อย่างแรกที่ได้ คือ ได้รับรูปแบบฉันทลักษณ์จากโศลก และที่ได้ต่อมา คือ ได้การประดิษฐ์ถ้อยคำจากภาษาของตน เมื่อต้องการความซาบซึ้งออนซอนในการเขียนเรื่องราวอื่นๆ ก็ใช้วิธีเดียวกัน ก็จึงกลายมาเป็นฉันทลักษณ์ และแตกแขนงไปเป็นรูปฉันทลักษณ์อื่นๆ ตามมา
จากโศลกที่แปลงภาษาแล้ว เมื่ออ่านออกเสียง ก็ให้ความซาบซึ้งออนซอนยิ่งกว่าการเห็นตัวอักษรด้วยตา หากปากยังสามารถเปล่งความซาบซึ้งนั้นด้วย ก็จึงกลายเป็นการขับ เป็นสัทวิธี (phonetics)
แล้วเมื่อสอดใส่อารมณ์ตามความหมายของคำ ก็เกิดอารมณ์อิ่นอ้อย รำพึงรำพัน กลายเป็นมิติของเสียงที่ทำหน้าที่โน้มนำอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฟัง กลายเป็นคีตลักษณ์ (musical form)
สำนวนสำเนียงจากภาษา ทั้งไต ไทย ลาว ในการเทศน์มหาชาติ หรือเทศน์ทำนองเสนาะน้ัน ไพเราะในทุกภาษา
ต่อมา มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเทศน์ทำนองเสนาะ โดยแบ่งหน้าที่ของผู้เทศน์ตามตัวละคร สมมติให้พระรูปนี้เป็นพระเวส รูปนี้เป็นนางมัทรี รูปนี้เสียงเล็กแหลมรับบทเป็นกุมาร กัณหา-ชาลี
ถ้ามี 3 รูป อยู่คนละธรรมสน์จำนวน 3 รูป ก็เรียก เทศน์ ๓ ธรรมาสน์ หรูขึ้นมาอีกก็เป็น ๖ ธรรมาสน์ หรือ ฉกษัตริย์ หรือเทศน์ ๖ กษัตริย์
จากรูปแบบการเทศน์ของพระ ฆราวาส หรือญาติโยมก็จำลองแบบมาเล่นล้อเลียน และเนื่องจากไม่ต้องห่วงเรื่องฐานานุรูปแบบพระ (สมณสารูป) ก็จึงใส่ได้เต็มที่ ก็จึงกลายเป็นการแสดงรูปแบบต่างๆ ทั้งหมอลำกลอน (ลำคู่) ลำหมู่ และละเม็งละครอื่นๆ
จากการแสดงที่มีที่มาจากบุญพระเวส หรือบุญมหาชาติ ได้แตกแขนงด้านการแสดงหลากหลาย
เมื่อมีวัฒนธรรมอื่นแพร่เข้ามา ก็ได้อาศัยพื้นฐานการแสดงเดิม แล้วจึงปรับให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่มาใหม่ ...กลายเป็นสากล ซึ่งแท้ที่จริง มันก็คือการเล่าเรื่องราวให้คนฟัง เพียงแต่ปรับ เสริม เติมแต่งสีสันเท่านั้น ธาตุแท้มันก็คือการสื่อสารกันธรรมดา นี่เอง
ผม ... คนแปลกคน ผมชอบลำกลอนตอนที่เขาเนิ้ง (decline) ลายแคน คือทางเปลี่ยน เปลี่ยนทำนองจากลำทางสั้น เป็นทำนองคล้ายๆ อ่านหรือเอ่ยหนังสือ ถ่ายทอดอารมณ์สนุกของพวกควาญ ที่นำช้างอีกเชือกไปตอบแทนพระเวสสันดร ที่ให้ทานช้างปัจจัยนาค จนเป็นเหตุให้ถูกขับจากเมือง เมื่อสำนึกในบุญคุณ นอกจากคืนช้างเชือกเดิมแล้ว ยังแถมช้างให้อีกเชือก
การนำช้างมาถวายพระเวส ในช่วงใกล้อวสานแบบ happy ending ก็จึงมีอารมณ์สนุก แม้จะต้องบังคับช้างฝ่าหล่มโคลน ภูผาป่าไม้ ผมไม่แน่ใจว่า ทำนองนี้เป็นทำนอง "ช้างหล่มบะ (บ๋า)" หรือไม่
และจากการเทศน์ ๓ ธรรมาสน์นี่เอง ได้แตกแขนงกลายมาเป็นที่มาของเพลงลูกทุ่งไทย...
การเทศน์ทำนองเสนาะของพระ-เณรชาวอีสาน สร้างความประทับใจให้แก่ญาติโยม ถึงบทสนุกสนานหรือเศร้าโศกจนถึงแก่นใจ คนอีสานมักแสดงออก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เราจะเห็นได้ทั่วไปถึงการแสดงออกนี้ เช่น เมื่อฟังลำ แล้วพอใจอิ่มเอิบใจ ความสุขมันเอ่อท้น จะทำยังไง ให้คนเขารู้ว่าตัวเข้าถึงอารมณ์ จนอดหักห้ามใจไม่ไหว การแสดงของอีสาน ได้เปิดช่อง เหมือนพวยกา ปล่อยให้น้ำเดือดได้ระบายบ้าง ด้วยการให้แฟนๆ ได้ "สอย" แทรกการแสดง
สอย คือ การขอมีส่วนร่วมด้วยการเปล่งคำที่หลั่งจากภายในใจในรูปฉันทลักษณ์ง่ายๆ สั้นๆ เรียกว่า สอยใส่ลำ
แต่การฟังเทศน์ ไม่อาจสอยใส่เทศน์ได้ แต่เมื่ออารมณ์ร่วมมันเอ่อท้นขึ้นมา จะให้โยมทำยังไง? โยมจะไม่ไหวแล้ว... ทุกปัญหามีทางออกเสมอ แม้แต่ปัญหาการกระหายใคร่สอย
เมื่อใจอิ่มเอิบใจในการเทศน์ โดยเฉพาะตอนที่พระเทศน์เปลี่ยนทำนอง มันเร้าอารมณ์ ญาติโยมผู้ "อิน" กับเสียงเทศน์ ให้มีทางออก คือ เคาะแป้นใส่ หมายถึงเคาะพื้นศาลา เป็นจังหวะล้อไปกับทำนองเทศน์
หรือไม่...ก็พระ-เณรที่เทศน์นั่นแหละ เชิญชวนโยมเสียเอง... แบบที่เฟซบุ๊คเชิญให้กดถูกใจ นั่นแหละ ...
กำกำปั้นแน่นๆ ตีแป้นให้แหน่โยม......
ทั้งหมดนั้น ผมไม่ได้มั่ว คนที่ให้ข้อมูลอันมีค่านี้ คือ คำปัน ผิวขำ คนๆ เดียวกับนักร้องที่ชื่อ ปอง ปรีดา
ใครที่ไม่เคยเห็นคนอีสานเกิดอาการแน่นหน้าอก อันเนื่องมาจากอยากแสดงออกถึงความสนุก ...เชิญไปที่สวนดอนธรรม เฮือนกาฬสินธุ์
เจ้าของรวยจนเกินจะเป็นเจ้าสัวแล้ว พอละเลียดไวน์ (ไม่รู้ของจริงหรือปลอม) ได้ที่แล้ว เจ้าสัวจะเปิดเครื่องเสียงในจี๊ป เชอโรกี ด้วยลายพิณของ ทองใส ทับถนน กล่อมตัวเองพอกรึ่มๆ เห็นพี่น้องเพื่อนฝูงมาเยี่ยมยาม สะกดใจไว้ไม่อยู่ เปิดประตูรถ ให้เสียงพิณมันดังจนทั่วบริเวณ แล้วเจ้าสัวก็หอบพุงลงมา... ฟ้อนใส่พิณ แบบไม่สนใจฟ้าดิน... นั่นแหละอาการนั้นเลย
การเคาะแป้น หรือ เคาะพื้นศาลาประกอบจังหวะเทศน์ ได้กลายมาเป็นจังหวะเพลง คือ เพลงรำโทน-รำวง
แล้วชาวอีสานก็นำจังหวะนั้นมาถ่ายลงกลอง แรกๆ กลองก็ทำจากกระบอกไม้ไผ่ ใช้หนังกบหุ้มหน้า เรียก กลองหนังกบ ต่อมา ใช้ไม้หรือดินเหนียวเผาไฟทำเป็นหุ่น หรือ ตัวกลอง หนังกบมันเล็กเกินจะหุ้มได้ ก็ใช้หนังงูเหลือม เรียกว่า กลองหนังงูเหลือม
เนื่องจากเสียงกลองมันดัง ...โท่นๆๆ จึงเรียกว่า กลองโทน เมื่อมีผู้รำใส่กลองโทนจึงเรียกรำกลองโทน หรือรำโทน แล้วเมื่อรำเป็นวง ก็จึงเรียกว่า รำวง
จากนั้นก็มีการแต่งเพลงประกอบจังหวะ จึงกลายเป็นเพลงรำโทน หรือเพลงรำวง
เพลงรำโทน-รำวง แพร่กระจายไปทั่วในแผ่นดินอีสาน เพราะเพลงรำโทนแต่งง่าย มีเพียงท่อนเดียว คนแต่งร้องรอบเดียว ทุกคนในวงรำก็จำได้หมด แล้วก็ช่วยกันร้อง แบบร้องไป-รำไป
ตัวอย่าง ...รำวงประสงค์หลกกล้า ชาวนาหลกกล้าเป็นวง หลกแล้วเอาตอกมามัด เอามีดมาตัด มือยัดลงตม...
ชาวอีสานขับขานทั้งร้องทั้งรำกันเป็นปีเป็นชาติ จนต่อมา ครูเหม เวชกร ที่พิจิตร ศรีศิลป์ ชาวตำบลธงธานี อำเภอธวัชบุรี (เมื่อวานมองเห็นอนาคตไกลไปหน่อย บอกว่า ธงธานี เป็นอำเภอ) ให้ข้อมูลว่า ครูเหมมีสำนักงาน หรือบ้านอยู่ในเมืองร้อยเอ็ด
ครูเหม เวชกร แต่งเพลงรำวง ชื่อ โอ้เจ้าสาวชาวไร่ ประกอบบทภาพยนตร์เรื่อง เจ้าสาวชาวไร่ ซึ่งวงการเพลงลูกทุ่งไทยต่างยอมรับว่า เป็นเพลงต้นแบบ เป็นที่มาของเพลงลูกทุ่งไทย
แล้วถ้าจะบอกว่า เพลงลูกทุ่งไทยมาจากภาคอีสาน มันผิดตรงไหน?!
สิ่งยืนยันว่า คนอีสานเป็นผู้ให้กำเนิดเพลงลูกทุ่งไทย... คือ ผู้ได้รับฉายาว่า...ราชาเพลงรำวง คือ ครูเบญจมินทร์ หรือ ตุ้มทอง โชคชนะ หรือ คนชม โชคชนะ ลูกบ้านย่อ-โพนทัน คำเขื่อนแก้ว สมัยที่ยังเป็นจังหวัดอุบลราชธานี
เมื่อจอมพล ป. และภริยา ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม นำวงดนตรีกรมศิลป์ไปกล่อมขวัญทหารที่หนองคาย คราวที่ทำสงครามกับฝรั่งเศส จึงนำเพลงรำโทนเข้ากรุง แล้วกลายเป็น เพลงรำวงสร้างชาติ
จากนั้น กระแสเพลงรำวงก็เชี่ยวกราก ชาวกรุงก็ขวนขวายแต่งเพลงรำวง-รำโทนบ้าง แต่ก็เป็นเพลงแบบชาวกรุง ไม่ถึงรสถึงกลิ่นแบบต้นฉบับ
เบญจมินทร์ อดีตตำรวจเกณฑ์ที่หนีเวรไปรำวงเป็นประจำ ที่มีคลังเพลงรำวงเต็มหัว ก็ระบายออกแสดงจนได้ฉายาดังกล่าว ทำให้นักร้องอื่นอยากแข่งรัศมี จึงมีนักร้องที่มีเสียงคล้ายเบญจมินทร์ คือ สุรพล สมบัติเจริญ คิดจะคว่ำแชมป์ บังเอิญมีเพื่อนเป็นคนบ้านธงธานี อ.ธวัชบุรี ร้อยเอ็ด
คนร้อยเอ็ดที่เป็นเพื่อน นอกจากจะเป็นนักร้องแล้ว ยังเป็นนักแต่งเพลง และเพลงที่ถนัด คือ เพลงรำโทน-รำวง
จากที่เคยอาศัยเพลงจากทำนองเสนาะ จากการเทศน์มหาชาติแบบภาคกลาง เช่น เพลงชูชก สองกุมาร สุรพลก็ผงาดขึ้นท้าทายตำแหน่งกับเบญจมินทร์ ด้วยเพลงที่ถ่ายแบบจากเพลงรำโทน คือเพลงออกแนวอีสาน ใช้ภาษาลาวปนในเพลง
ผมนับดูแล้วเกือบๆ 30 เพลง นั่นคือเพลงที่สร้างชื่อให้ผู้ถูกขนานนามว่า "ราชาเพลงลูกทุ่ง" ในเวลาต่อมา
เอาตัวอย่างเสียหน่อย เดี๋ยวหาว่ามั่ว ... พี่เว้าซื่อๆ ว่าพี่คือคนจน... กินข้าวบ่มีหยังกับ นอนบ่หลับบ่มีสาวกอด....สาวเอยแม่สาว เจ้าสืไปใส... เป็นต้น
เพลงเหล่านี้นี่แหละ ที่สร้างตัวสร้างตนให้สุรพลได้เป็นสุรพล...ราชาเพลงลูกทุ่ง
เพื่อนของราชาเพลงลูกทุ่ง ที่เปรียบเหมือนอาวุธลับ คือ เฉลิมชัย ศรีฤๅชา ผู้หนีความวุ่นวายมานอนเล่นที่กุดสะทุง บ้านเกิด แต่ถูกสุรพลตามมาหิ้วปีกลงเรือล่องน้ำชี ไปขึ้นรถเข้ากรุง เพื่อให้ไปช่วยสู้รบด้านเพลงกับเบญจมินทร์
ผมสงสัย..ผู้ศึกษาประวัติและผลงานสุรพล ไม่ว่ากี่คนต่อกี่คน ที่เรียกตัวเองว่า กูรูเพลงลูกทุ่ง ทำไมไม่กล่าวถึงคนที่ค้ำบัลลังก์เกียรติยศ ให้ราชาเพลงลูกทุ่ง อย่าง เฉลิมชัย ศรีฤๅชา??
ท่านกูรูจงใจทิ้งเพลงแนวอีสานกว่า 30 เพลงที่สร้างเนื้อสร้างตัวให้กับสุรพลไปได้อย่างไร...
สุรพลแต่งเพลงพวกนั้นเองล่ะหรือ?
ฝันไปเถอะ แม้เกิดที่สุพรรณ สุรพลก็เป็นจีน แถมสอนโรงเรียนจีนซะด้วย พูดลาวยังไม่ชัดเลย..แถมร้องคำลาวยังเพี้ยน มีหรือจะหาญแต่งเพลงสู้กับเบญจมินทร์!!
ใครก็ได้ กูรูไหนก็ได้ ช่วยตอบที!!
 

 

 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ :อย่าได้คิดว่ารู้ดี (12)
 
ฮีตที่ 5 บุญสรงน้ำ หรือสงกรานต์ หรือสังขารขึ้นปีใหม่ มีการสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นช่วงที่พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อน เรียกว่าตรุษสงกรานต์ และเนื่องจากทำในเดือน ๕ จึงเรียกอีกอย่างว่า บุญเดือน ๕
ในอดีต ชาวไทยถือว่าเป็นขึ้นปีใหม่ ส่วนชาวลาวยังถืออยู่จนถึงปัจจุบัน
แล้วเราก็มาถึงฮีตที่ 5 คือ ตรุษสงกรานต์ ซึ่งถือว่ายังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความสำราญของชาวนา และเป็นความสำราญที่ไต่ระดับความสูง หมายถึงเพิ่มขีดความสนุกสนานขึ้นเรื่อยๆ
ถึงสงกรานต์ ขีดความสุขที่ไต่ระดับขึ้นยังสามารถไต่ขึ้นไปได้อีก ดังกฎไตรลักษณ์ หรือ ทฤษฎี 3 ขณะ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างที่เราท่องๆ กัน
แต่น้อยคนจะคิดละเอียดลงไปว่า การเกิด-ตั้ง-ดับ นี้ ระหว่างกลางของ 3 ลักษณะที่ว่า มันมีอะไรหล่อเลี้ยง... มิใช่ว่า เกิดแล้วก็ตั้งแล้วก็ดับในทันที แต่มันยังมีตัวที่ทำให้ประคองตัวระหว่าง 1 ไปหา 2 และระหว่าง 2 ไปหา 3
ก็ต้องกลับไปหาทฤษฎี... ที่จริงต้องบอกว่า ... กลับไปหาความจริง เพราะความจริง มิใช่ทฤษฎี เพราะทฤษฎียังไม่นิ่ง แต่ความจริงนั้นนิ่งแล้ว ไม่มีอะไรจริงไปกว่าความจริง ความจริงจึงทนต่อการพิสูจน์ นี่แหละที่ว่าๆ กันว่า พุทธเป็นวิทยาศาสตร์ ....เป็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าพบความจริงว่า จิตนั้นจะเกิดขึ้นลอยๆ มิได้ ต้องมีสิ่งที่เกิดร่วมด้วย นั่นคือ เจตสิก และมิใช่เจตสิกดวงเดียว แต่อย่างน้อยๆ ต้องมีถึง 7 ดวง เรียกว่า สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ดวง และเจตสิกที่ทำหน้าที่ดำรงรักษาการดำรงอยู่ร่วมกันจนถึงการดับ คือ ชีวิตินทริยเจตสิก ฉันใด
ความสนุกสนานของชาวนามันก็ต้องมีสิ่งหล่อเลี้ยง ไปจนถึงขีดสุดแล้วจึงค่อยดับไป ฉันนั้น
สิ่งหล่อเลี้ยงความสนุกสนานให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด (peak) ก่อนจะเบนหัวดิ่งลง คือ กิจกรรมในช่วงตรุษสงกรานต์ ซึ่งก็คือ การสรงน้ำ นั่นเอง
"สรงน้ำ" คือ สรงน้ำพระพุทธรูป และเผื่อแผ่มาถึงผู้หลักผู้ใหญ่ รวมถึงพ่อแม่ การสรงน้ำ ระยะต่อมาเรียกว่า "รดน้ำ" แถมมีดำหัวด้วย นั่นเป็นระยะที่ 2 ต่อมาอีกเป็นระยะที่ 3 เรียกว่า "สาดน้ำ"
ระยะที่ 1 และ 2 คือ สรงและรด ยังรักษาอาการความสงบเสงี่ยมภายใต้ความสนุกสนานไว้ได้ แต่พอถึงระยะที่ 3 คือ สาดน้ำ ถึงระยะนี้ ความเพลิน ความมัวเมา เมามันใส่กันไม่ยั้ง ไม่ไว้ท่า ไม่เก็บอาการหรือสงวนท่าทีกันแล้ว ใครมีความใคร่กำหนัด ความโกรธ ความชิงชัง ความรักราคะใดๆ ถูกระบายออกมาพร้อมกับการสาดน้ำสงกรานต์จนหมดสิ้น
ปัจจุบัน การเล่นสงกรานต์ได้เดินทางมาถึงระยะสูงสุด (จุด peak) ของมันแล้ว จะเห็นว่า อะไรๆ ที่อั้นๆ ไว้มันได้ระบายจนหมดสิ้นแล้ว
คนแก้ผ้าในวันสงกรานต์ ก็เห็นแล้ว คนแสดงการเสพสังวาส ในช่วงสาดน้ำสงกรานต์ ก็มีแล้ว ส่วนการเข่นฆ่ากันนั้น กลายเป็นเรื่องปกติสามัญไปแล้ว
ที่สำคัญ การตายหมู่ในทุกๆ ปีด้วยเรื่องอุบัติเหตุ ก็กลายเป็นเรื่องปกติสามัญเช่นกัน
เพียงแต่รอลุ้นกันว่า สงกรานต์ปีนี้ แจ็คพ็อตจะตกที่ใคร ลูกหลานใคร... เหมือนกับเป็นสภาพการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้...ทั้งๆ ที่แก้ไขได้
ดูจากปีนี้ ปี พ.ศ. 2563 ปีที่ COVID-19 ระบาด มีการยับยั้งการเดินทาง จึงมีคนตายน้อยที่สุด หรือไม่ตายเลย เพราะงดจัดงานสงกรานต์ ด้วยมีมฤตยูที่น่าเกรงขามมากกว่ามัจจุราชที่มากับสงกรานต์
หากพิจารณาให้ดี มองในเชิงเศรษฐศาสตร์ เทศกาลทุกเทศกาล ถือว่าเป็นช่วงระบายสินค้าส่งเสริมอบายมุขมากกว่าภาวะปกติ ดังนั้น ผู้ที่โปรดปรานเทศกาลที่สุด ไม่ใช่เจ้าพ่อเจ้าแม่ นางสงกรานต์ หรือผีสางนางไม้ใดๆ เลย หากแต่เป็น ... เจ้าพ่อน้ำเมา เจ้าแม่ดีพาร์ทเมนท์ สโตร์ (department store tycoons) และผีกองกอยที่มาในคราบ...ร้านสะดวกซื้อ (convenient store) ที่หล็อยจกดากโดยไม่รู้ตัว
จะเห็นได้จาก... การที่ห้างต่างๆ ได้ออกแคมเปญ (campaign) รณรงค์ให้อนุรักษ์ประเพณี หรือเทศกาล เอามันทุกชาติทุกภาษา ตั้งแต่สงกรานต์ คริสต์มาส ตรุษจีน แถมวาเลนไทน์ อะไรต่อมิอะไร ขอให้ผู้คนถือเป็นวันพิเศษ.. พวกห้างเป็นเอาด้วย เพราะ... เขาสามารถกระตุ้นการขายได้... สมใจเขาแล้ว เขาอยากให้มีวันพิเศษทุกวันด้วยซ้ำไป
เพราะวันพิเศษทำให้คนลืมทุกข์ลืมโศก ควักกระเป๋าแบบลืมตาย ... แล้วออกจับจ่ายซื้อหาของกินของใช้โดยขาดความยั้งคิด
สงกรานต์ ที่กลายความหมายเป็น "การสาดน้ำ" เกิดขึ้นเมื่อใด?
การเล่นสงกรานต์แบบเสียสติ ที่เรียกว่า การสาดน้ำสงกรานต์ เริ่มมีระยะฟักตัวในช่วง ปี 2524 ช่วงริเริ่มโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ อีสเทิร์นซีบอร์ด (Eastern Seaboard Development Project) จนถึงเริ่มเดินเครื่องได้ในปี 2527 และเดินเครื่องเต็มตัวในทศวรรษที่ 31
...อีกและ!!
หลายท่านที่อ่านข้อเขียนนี้ คงร้องแบบนั้น... จงเกลียดจงชังอะไรเขานักหนา คนเขาสรรเสริญกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า เป็นโครงการที่พลิกฟื้นประเทศ นับแต่ไทยลงนามในสนธิสัญญาเบาริ่ง (ในรัชกาลที่ 4)
ผมก็ไม่ว่าอะไร... แต่ผมพูดถึงผลกระทบในพื้นที่ที่มีการอพยพแรงงาน และความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ อันเป็นผลจากการผุดของโครงการนี้...
การมีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากมาจุกไว้ 2 แห่ง ที่บริเวณชายฝั่งตะวันออก คือ มาบตาพุด ระยอง และแหลมฉบัง ชลบุรี ในนามนิคมอุตสาหกรรม ได้ทำให้คนในชนบทที่อพยพมาเป็นแรงงานมีรายได้
และมีเครดิตพอที่จะใช้บริการสินเชื่อของธนาคารและบริษัทไฟแนนซ์ได้ นั่นคือข้อ 1
ส่วนข้อที่ 2 คือ แรงงานจากชนบทที่อพยพเข้ากรุงเทพฯ ก่อนหน้าจะมีอีสเทิร์นซีบอร์ด จากการที่ตรากตรำทำงานในโรงงานห้องแถวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แรงงานเริ่มมีอายุมากขึ้น
ขณะเดียวกันก็สะสมประสบการณ์และสะสมทุนเล็กๆ น้อยๆ จึงลาออกจากงาน มาประกอบธุรกิจส่วนตัว ได้แก่ การค้าขายเล็กๆ น้อยๆ
ส่วนใหญ่ คือ ธุรกิจอาหารพื้นเมือง เพราะมีทักษะประสบการณ์ เช่น ร้านข้าวเหนียว-ส้มตำ ร้านลาบ-ก้อย ไข่ปิ้ง ถั่วต้ม มันต้ม และอื่นๆ
ขณะเดียวกัน การค้าในระบบแฟรนไชส์ (franchise) ประเภท ชายสี่หมี่เกี๊ยว ก็ค่อยเจริญขึ้น กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจก็คือคนเบี้ยน้อยหอยน้อย ที่ต้องการตะกายดาวไปเป็นเถ้าแก่
หันกลับไปมองสถานประกอบการที่เรียกว่า โรงงานห้องแถวกันบ้าง โรงงานแบบนี้เริ่มทยอยปิดตัว ทั้งด้วยอายุเถ้าแก่มากขึ้น ทำต่อไม่ไหว และเปลี่ยนผ่านสู่ยุคลูกๆ ที่ร่ำเรียนธุรกิจแนวใหม่ จึงเปลี่ยนธุรกิจดั้งเดิมเป็นธุรกิจแบบใหม่
จะเห็นได้จาก...หน่วยงานเก่าของผม คือ มูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท (มยช.) ที่เคยทำงานช่วยเหลือเยาวชนที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานในโรงงานห้องแถว คนใช้ในบ้าน ในระยะนี้...เนื้องานหดหายไปเรื่อยๆ หดไปตามจำนวนแรงงาน แถมระยะหลังๆ กลับมีแรงงานต่างด้าวเข้ามาแทน ... เจ้าหน้าที่คงเหนื่อยที่จะไปเรียนพูดพม่า เขมร เลยดูเหมือนจะพับโครงการไปแล้ว
ความเป็นไปในระยะกาลนี้ ในทางเศรษฐกิจถือว่า แรงงานในนิคมอุตสาหกรรม และอดีตแรงงานที่ออกมาค้าขายเริ่มมีกำลังซื้อ และในสายตาของนายเงิน คือธนาคารและไฟแนนซ์ เห็นคนเหล่านี้มีเครดิต สามารถพอที่จะเป็นลูกหนี้สินเชื่อได้
แล้วรถกระบะ หรือ รถปิ๊กอัพ (pick-up truck) ก็ออกวิ่งเกลื่อนประเทศ หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่า... ระยะแรก รถกระบะที่วิ่งมุ่งหน้าเข้าสู่อีสาน ในช่วงสงกรานต์ หากไม่ใช้ทะเบียนกรุงเทพฯ ก็ทะเบียนชลบุรีและระยอง
รถกระบะ คือ ดัชนีชี้วัดฐานะทางเศรษฐกิจ และความสำเร็จในการอพยพแรงงาน เพราะรถประเภทนี้สามารถอำนวยความสะดวกในการประกอบอาชีพอย่างสมเหตุสมผล แบบที่เรียกว่า บรรทุกก็ได้ ขับจุ๊ยก็ดี
สภาพการณ์ทางสังคมที่มาพร้อมกับวัฒนธรรมกระบะ คือ ชื่อของลูกๆ ของเจ้าของรถกระบะ ซึ่งแสดงความภูมิใจด้วยการตัดสติกเกอร์ชื่อลูกๆ ติดกระจกด้านหลังของห้องโดยสาร ชื่อเด็กๆ ตามรถกระบะทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมขนานใหญ่
ชื่อเล่นของลูกๆ ได้แก่ พี่แอ็ปเปิ้ล น้องเชอร์รี่ พี่บาส น้องมายด์ พี่เอ น้องบี พี่เนสเล่ย์ น้องเบียร์ น้องลีโอ เป็นต้น
คือตั้งชื่อตามพื้นฐานความรู้ที่รัฐจัดการศึกษาภาคบังคับ ที่เลื่อนจาก ป.6 ขึ้นเป็น ม.3 ด้วยการขยายโอกาสทางการศึกษาในโรงเรียนชนบท ซึ่งเป้าหมายของรัฐไทย คือ ต้องการผลิตแรงงานให้แก่โรงงานในนิคมฯ ให้พออ่านอะไหล่ชิ้นส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษได้ เวลาเข้าโรงงาน เจ้าของกิจการจะได้ไม่ต้องเปลืองงบประมาณสอนกันใหม่
การตั้งชื่อลูกก็จึงต้ังตามฐานความรู้ที่พ่อแม่มี... เช่น เป็นชื่อผลไม้ที่เคยท่องตอนเรียนบ้าง ชื่อยี่ห้อสินค้าจากโฆษณาในทีวีบ้าง ชื่อน้ำเมา ชื่อเกมส์กีฬา เป็นต้น
ยังไม่ข้ามขั้นเป็นฝรั่งจ๋าแบบนักเรียนนอก อย่าง พี่มาร์ค น้องทอม พี่แม็ค น้องเจมส์
แล้ววัฒนธรรมปิ๊กอัพก็แห่กันเข้าสู่ชนบทในทุกภาค โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ แล้วจึงมีการยกโอ่งยกไหขึ้นรถปิ๊กอัพ
สงกรานต์ จากที่มีการสรงน้ำ... รดน้ำ... ก็กลายมาเป็นสาดน้ำสงกรานต์ เพราะน้ำจากโอ่งเคลื่อนที่ มีมากกว่าน้ำในขัน ในพาน เพียงพอที่จะสาดโดยไม่ต้องบันยะบันยัง
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (13)
 
วัฒนธรรมกระบะ (Pick-up Truck Civilisation)
เมื่อวานผมบัญญัติศัพท์ และวันนี้ เติมภาษาอังกฤษเสียหน่อย เห็นเขาพูดอังกฤษคำ-ไทยคำ แล้วดูเท่ แต่ผมไม่ได้พูดเพื่อเอาเท่ แต่ต้องการสะท้อนว่า ในภาคอีสานทุกวันนี้ และในเวลาอันใกล้นี้ จำเป็นต้องสื่อสารกันอย่างน้อย 2-3 ภาษาขึ้นไป
เว้าอีสาน-ลาว ใช้คุยกับเพื่อนฝูง คนเฒ่าคนแก่ ภาษาไทย คุยกับลูกกำพร้า พ่อแม่หนีไปทำงานต่างถิ่นแล้วทิ้งลูกน้อยไว้กับย่าและยาย อังกฤษไว้คุยกับลูกฝรั่ง บักเจสซี อีแมรี่ ซึ่งจะรับภาระต่อจากคนรุ่นเรา อนาคตอีสานอยู่กับคนเหล่านี้
ผมใช้คำว่า civilisation แทนคำว่า culture เพราะวัฒนธรรมกระบะ มันเป็นแค่วิถี ยังไม่ถึงขั้นเป็นองค์คุณหรือคุณงามความดี เลยใช้แบบนี้ไปก่อน จะว่าเป็นอารยธรรมมันก็ไม่เชิง เพราะมันมิได้อารยะ ก็เลยใช้มั่วๆ พอก้ำก่าไปก่อน
รถกระบะ หรือ รถปิ๊กอัพ เป็นรถบรรทุกขนาดเล็กที่ผู้ผลิตคือญี่ปุ่นลอกแบบรถอเมริกัน จำพวก Chevrolet, Dodge, Jeep ที่เรียกว่า wagon มาเป็น Toyopet, Datsun ในระยะต้นๆ
ชาวบ้านไม่คุ้นเคยดอก แต่ถ้าพวก 6 ล้อ Benz หรือบรรทุก 4 ล้อขนาดใหญ่จำพวก Izusu รุ่น elf เรารู้จักดี เพราะรถแบบนี้ เขานิยมนำมาทำเป็น รถโดยสารเข้าเมือง บ้างดัดแปลงเป็นรถบัส บ้างทำแบบสองแถว และประดิดประดอยแบบรถหมอลำ คือ ตัวถังเป็นไม้เนื้อแข็ง โดดเด่นที่ช่องหน้าต่างและหัวเก๋ง ทุกวันนี้หาดูได้ยาก
แถวพิษณุโลกเขาเอาซากไปทำร้านกาแฟ ที่เห็นยังใช้งานได้ ก็เห็นจะมีที่ วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ... ใครได้นั่งเป็นต้องยิ้มหน้าบาน
ต่อมา ก็ถึงมีรถญี่ปุ่น นำเข้า และเมื่อมีโรงงานญี่ปุ่น มาตั้งในนิคมอุตสาหกรรม ในโครงการอีสเทิร์น ซีบอร์ด จึงแข่งกันปั๊มเหมือนรถเด็กเล่น
แล้วปิ๊กอัพก็เกลื่อนถนน และครองความเป็น เจ้าถนน อยู่ในเวลานี้
จากการใช้สอย เพื่อการเดินทางสาธารณะและขนส่งสินค้า ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ รถบรรทุกที่ต่อมาเรียก ปิ๊กอัพ ได้กลายเป็นรถส่วนตัว แบบรถเก๋ง ซ้ำมีผู้ผลิตส่วนควบเสริมบุคลิกเข้าไปอีก ก็ยิ่งทำให้ รถปิ๊กอัพ กลายเป็นรถของปัจเจกชนหนักขึ้น ไม่ว่ากันชน กันแมลง คิ้ว ที่สำคัญ ยางห่อหุ้มกระบะ กันกระบะถูกขูดขีด รวมทั้งที่กันฝาท้ายกระบะด้วย
ในตอนแรกที่เขาติดให้ ผมไม่ค่อยสนใจว่าของเหล่านี้มันจะมีอรรถประโยชน์อย่างไร เห็นเขาแต่งก็เอามั่ง... จนเอารถไปจอดหันท้ายชนกันหลายๆ คัน แล้วเปิดฝาท้ายออก..จึงรู้ว่า ไอ้รอยบุ๋มที่เขาทำไว้ มันสำหรับวางแก้วเหล้า กระป๋องเบียร์ รวมถึงกระติกน้ำแข็งด้วย แหม..ช่างเข้าใจอำนวยความสะดวกดีเหลือเกิน
รถปิ๊กอัพ ส่งเสริมรสนิยมนักบริโภคแบบที่ฝรั่งเรียก Tailgate Party คือหันท้ายชนกัน แล้วตั้งเตาปิ้งย่าง นั่งหย่อนขาที่ฝาท้าย ดื่ม-กิน
แถมระยะหลังมีขบวนการขายเครื่องเสียงติดรถยนต์ เป็นที่น่าสังเกตว่า ร้านแบบนี้มีเกลื่อนหัวเมืองที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยจับจองพื้นที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า พบเห็นได้ในทุกจังหวัดชายแดน
วัยรุ่นมีเงิน ไม่ว่าลาว หรือพม่า ต่างบึ่งรถข้ามสะพานมาอุดหนุนกันให้ครึ่ด... สายตาทางการตลาดเขาเฉียบคมเหลือเกิน
แล้ว... เสียงเครื่องชนิดกระหึ่มจนขี้หักใน ก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักแต่งรถ
ในเมื่อรถปิ๊กอัพ ที่กลายมาเป็นปัจจัยที่ 5 ฝังเพชรออกขนาดนี้ มีหรือเจ้าของจะให้ผู้โดยสารคนอื่นนั่งรถด้วย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะนำรถไปบรรทุกพืชไร่พืชสวน หรือขนพระขนเจ้าไปงานกฐิน ผ้าป่า... เขาไม่ยอมให้เปื้อนรถดอก
แต่...เจ้าของปิ๊กอัพยอมให้เอาโอ่ง ตุ่ม ถังน้ำขึ้นรถเพื่อขับตระเวนเล่นสาดน้ำในช่วงสงกรานต์?!
วัฒนธรรมปิ๊กอัพ ได้ทำให้สถานการณ์ ในช่วงสงกรานต์เลวร้ายลงเรื่อยๆ
บุญสงกรานต์ ก่อนหน้าจะเกิดวัฒนธรรมปิ๊กอัพ สถานที่ละเล่น หากไม่ใช่ลานวัด ก็เป็นศาลากลางหมู่บ้าน หรือตามบ้านเรือน แต่อย่างหลังนี้มีน้อย เพราะอยู่ตามบ้านมีคนน้อย ... สนุกสู้ไปที่วัด หรือศาลากลางบ้านไม่ได้ เพราะมีการละเล่นมากหลาย
ที่สำคัญ ลานวัด ลานกลางบ้าน เป็นที่สาวๆ ไปประกวดประขันความงามกัน
เมื่อสถานที่เป็นลานกว้าง กิจกรรมจึงเป็นการแข่งขันและการละเล่นแบบลาน... คือ จะอธิบายยังไงให้เห็นภาพ.. คือ การแข่งกีฬา เขามีประเภทลู่และประเภทลาน (track & field) นั่นแหละ การละเล่นแบบลาน ได้แก่ เล่นโยนสะบ้า ขี่ม้าหลังโปก (ขี่ม้าส่งเมือง) บาลูน (ตี่จับ) เต้นตาตะโหลก หิงหื่ม หิงขี่ เตะตะกร้อ โยนลูกช่วง ปิดตาตีหม้อ มอญซ่อนผ้า ฯลฯ
การละเล่นพวกนี้ แท้ที่จริงก็คือการละเล่นในวัยเด็ก ....ถึงบุญสงกรานต์ปีละหนก็กลับไปเป็นเด็กเสียครั้งหนึ่ง
จะเห็นได้ว่า การเล่นบนลานเป็นการเล่นที่ผ่อนคลาย และสนุกสนาน บางเกมต้องใช้สมาธิ ความแม่นยำ แต่ที่สำคัญคือ การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น หรือนำกลุ่มฟันฝ่าอุปสรรค เป็นการละลายพฤติกรรมผ่านเกมสนุกๆ ที่สำคัญ เล่นได้ทั้งคนเฒ่าคนแก่ หนุ่มสาว และเด็กๆ
เกมส์หรือการละเล่นบนลานพวกนี้ เล่นให้ตายก็ไม่เกิดอันตราย เล่นเหนื่อยก็กอดคอกันไปกินข้าวปุ้น หรือข้าวต้มมัด หรือสาโท เท่านั้นเอง
มีเกมบางอย่างที่ผิดกฎหมาย แต่ได้รับการอนุโลมให้เล่นได้เฉพาะในช่วงสงกรานต์ เกมพวกนี้มักแอบเล่นกันในบ้าน กลางทุ่งนา ป่าละเมาะ เช่น สิโนลัก
ผมไม่แน่ใจว่าที่อื่นเรียกแบบนี้กันหรือไม่ เกมชื่อแปลกนี้ คือ ไฮโลว์ นั่นเอง ไม่รู้ชื่อนี้มาได้ยังไง คนอายุ 60 ขึ้นแถวบ้านผมรู้จักกันทุกคน
นอกจากนี้ก็มี เล่นบ้อ และกรอกหลุม หรือหยอดหลุม หรือล้อต๊อก เกมพวกนี้เล่นกินเงินกัน แต่ไม่ได้มากมายนัก นิยมเล่นตามลานหรือใต้ถุนบ้าน
คนในวัฒนธรรมปิ๊กอัพ เกิดไม่ทันสภาพชุมชนที่อบอุ่นชุ่มเย็นเช่นนี้ดอก
เขาลืมตาดูโลกพร้อมโฆษณาทางทีวีที่โหมกระหน่ำ เขาเข้าเรียนในช่วงที่บุคลากรทางการศึกษามุ่งแข่งขันกันทำอาจารย์ 3 ซี 9 และเป็นคนรับจ้างสอนหนังสือมากกว่าเป็นครู ขับรถปิ๊กอัพมาสอนๆ เสร็จก็ขึ้นรถกลับ ไม่เคยรับรู้ชีวิตชาวบ้าน ชุมชน
พอจบการศึกษาก็ออกจากหมู่บ้าน เข้าทำงาน ก็ได้งานที่คุยกับเครื่องจักร ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า และต่างวัฒนธรรม
ยามพักผ่อนก็ดูเกมแหกตาของกลุ่มอิทธิพลลูกหนัง บ้าบอไปวันๆ กับหงส์แดง ปิศาจแดง ท่องบ่นบริกรรมคาถา... You'll never walk alone.
มีลูกก็ส่งให้แม่เลี้ยงที่บ้านนอก ส่งเงินค่านมค่าขนมเป็นเดือนๆ ...สงกรานต์ก็ขับปิ๊กอัพมาเยี่ยมลูกเสียครั้งหนึ่ง โอบหลังโอบไหล่ บอก...พ่อ (แม่) รักลูกนะ อยู่กับยายนะ... ไปละ
แล้วเราจะหวังอะไรจากคนที่อยู่ในวิถีแบบนี้
ผมไม่โทษคนเหล่านี้ดอก... ผมก็เคยเป็น
แต่ผมโทษกลุ่มคนที่มันปั้นวิถีแบบนี้ให้คนไทยเดิน ...ทุกคนล้วนเป็น.... "คนทันสมัย แต่ไม่พัฒนา" กันทั้งประเทศ
มาว่าเฉพาะ...เรื่องสงกรานต์
เมื่อวิเคราะห์แล้ว พบว่า... ความอันตรายของงานสงกรานต์ มันอยู่ที่ความเร็ว ...
ไม่ว่าจะเร็วด้วยมอ'ไซค์ หรือปิ๊กอัพ ... ด้วยความเร็ว หากไม่ตายก็เดี้ยง เป็นภาระแก่ครอบครัวและประเทศชาติ ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ต่อสังคม
ดังนั้น ถ้าสังคมต้องการความปลอดภัย ต้องระวังเรื่องความเร็ว
ที่สำคัญ... และเป็นหัวใจของความปลอดภัย คือ ถนน ...
ไม่ว่าทางหลวงแผ่นดิน หรือถนนระหว่างจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน คือ พื้นผิวจราจรทุกประเภท ห้ามเล่นสงกรานต์ หรือสาดน้ำอย่างเด็ดขาด!
อยากเล่นให้เข้าไปในสถานที่ที่เป็นของส่วนรวม เช่น วัด สนามโรงเรียน กลางชุมชน หรือสถานที่ๆ จัดไว้เป็นการเฉพาะ
ผมเคยจะชนคนตาย เพราะพวกเล่นน้ำบนถนน มาแล้ว... บางหมู่บ้าน พวกปิดถนน โดยเอาสิ่งกีดขวางมากั้นถนนเล่นสงกรานต์กันเลยทีเดียว
ต้องเอาสงกรานต์ออกจากพื้นผิวจราจร ... ต้องทำกฎหมายจราจรให้ศักดิ์สิทธิ์ ... ต้องประกาศเป็นวาระแห่งชาติ
ไม่อย่างนั้น... ต้องยกเลิกประเพณีสงกรานต์กันไปเลย...
อย่าห่วงรายได้จากการท่องเที่ยว อย่าเอาสงกรานต์มาเป็นสินค้าท่องเที่ยว ต้องปรับทัศนคติพวกที่ทำงานในองค์กรการท่องเที่ยว ให้รู้จักการเลือกเอาสารัตถะของประเพณีออกขายต่างชาติบ้าง ...
สงกรานต์ มิใช่แค่การเล่นสาดน้ำ... การเล่นสาดน้ำ มันเป็นเพียงกระพี้เปลือก กาก ...
หัวใจของฮีตที่ 5 หรือบุญสงกรานต์ คือ กิจกรรมที่นำคนออกจากบัานเรือนให้มาร่วมกันกอปรกิจกรรมที่นำไปสู่ความรัก ความสามัคคี
หรือถ้าหากถึงขั้น...ร่วมกันคิดค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาให้แก่ชุมชน-สังคม ก็ถือว่า นั่นแหละคือวัตถุประสงค์ของสงกรานต์
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (14)
 
ฮีตที่ 6 บุญบั้งไฟ หรือ บุญวิสาขบูชา เป็นพิธีกรรมบูชาไฟต่อฟ้าแถน (เทวดา) เพื่อขอความชุ่มเย็น และขอน้ำฟ้าน้ำฝน เพื่อทำการผลิต ลงมือทำนาปี มีการทำบั้งไฟ และใส่ (หมัก) เหล้า สำหรับการเล่น-กิน
มีการแห่เซิ้งบั้งไฟ จุดบั้งไฟ และละเล่นตลกโปกฮา บางท้องถิ่นมีการแห่และเส็งกลองกิ่ง
ทำในเดือน ๖ แห่งวิสาขมาส คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ อันเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ในทางศาสนพิธีมีการสักการะด้วยธูปเทียนและปฏิบัติตามคำสอนแห่งพุทธองค์
ในที่สุด เราก็มาถึงจุดสูงสุดของช่วงเวลาแห่งความสำราญของชาวนาคือบุญบั้งไฟ
บุญเดือน ๖ หรือบุญบั้งไฟ ถือเป็นบุญปางสุดท้าย สำหรับความสนุกสนาน เพราะต้องเข้าสู่ฤดูทำนา บรรดาความสนุกรื่นเริงเท่าที่ไขว่คว้าได้ ต่างลงมาที่บุญบั้งไฟ อีกทั้งตัวเนื้อหาของกิจกรรม คือ การจุดบั้งไฟ ซึ่งให้ความระทึกตื่นเต้นอยู่แล้ว..คนร่วมงานจึงสนุกแบบลืมโลก ชาวอีสานเรียก "ม่วนฟ้าขาด"!
ก่อนพูดถึงตัวกิจกรรม ปรากฏการณ์ สภาพความเป็นจริง และความเห็น ขอออกนอกเรื่องนิด (อาจไม่หน่อย) เพราะมีเรื่องท้าทายให้ครุ่นคิด...
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า บั้งไฟ หรือที่ชาวไตเรียก "โบกไฟ" บุญบั้งไฟ จึงเป็น ปอยโบกไฟนั้น แท้จริงมัน คือการประกาศ ... ผมชอบคำลาว ที่ว่า เอกอ้างทะนงตน รู้สึกมันให้ความสง่าเวลาพูดอย่างที่สุด
บั้งไฟ ของไตไทยลาว มันคือ การเอกอ้างทะนงตนของเผ่าพันธุ์นี้ว่า บรรพบุรุษเราได้คิดค้นนวัตกรรม อันส่งผลต่อความเป็นอยู่ของคนทั้งโลก จากอดีตจนถึงปัจจุบันนี้
ท่านรู้หรือไม่ว่า ... บรรพบุรุษของท่านเก่งกล้าสามารถเพียงใดเมื่อพันปีมาแล้ว... บั้งไฟ คือ การคิดค้นดินปืน หรือหมื้อ หรือที่ฝรั่งเรียก gunpowder
แล้วประดาท่านรู้หรือไม่ว่า ดินปืน มันคือ 1 ใน 3 ของนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก ให้โลกนี้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้!!
สิ่งของ 3 อย่างได้แก่ 1) ดินปืน 2) เข็มทิศ และ 3) เครื่องพิมพ์
ดินปืน คือ อาวุธที่ทรงพลานุภาพ เป็นเครื่องมือในการยึดบ้านยึดเมือง เหยียบหัวกดขี่ชาติที่ด้อยทางอาวุธ ให้อยู่ใต้อุ้งตีน...
ลองคิดย้อนไป... จีน แพ้ฝรั่งในสงครามฝิ่น เพราะอะไร แล้วผลเป็นอย่างไร ...มันยืดเยื้อมาเป็นร้อยปี มันสร้างให้คนจีนในฮ่องกงลืมชาติลืมเชื้อลืมเผ่าพันธุ์ ขณะนี้ไฟยังกรุ่นอยู่เลย...
หันมาดูชาติไทย อันเป็นที่รักของเราบ้าง... เป็นไง...แค่เรือปืนฝรั่งแล่นมาจ่อที่เมืองปากน้ำ เราต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง และยืดเยื้อเป็นทาสฝรั่งโดยพฤตินัยอยู่ในเวลานี้... เอาตัวอย่างแค่นี้พอ
เข็มทิศ นวัตกรรมนี้ มันทำให้เรือปืนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลโดยไม่หลงทาง ทำให้ศาสตร์ด้านการเดินเรือพัฒนามาเป็นทั้งกองเรือพาณิชย์ และกองเรือยุทธการ และผู้ใดครองน่านน้ำ ผู้นั้นกุมเส้นเลือดและชีพจรของชาติอื่น
เครื่องพิมพ์ คือ เครื่องสนับสนุนอำนาจเถื่อน ให้เป็นอำนาจโดยธรรม ระยะแรก มันทำหน้าที่พิมพ์สนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม ให้ประเทศที่ถูกยึดครองเซ็นด้วยเลือดและหยาดน้ำตา
ระยะต่อมา มันคือเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ ให้คนในอาณานิคมก่อความรู้สึกนิยมชมชอบนายเหนือหัว คือ ผู้ใช้อำนาจยึดครอง ให้หลงใหลในกิริยามารยาท การดำเนินชีวิต ความเจริญก้าวหน้า แฟชั่น วิถีชีวิต ความเป็นอยู่อันหรูหรา ทั้งๆ ที่ ตีนเรียวๆ สวยๆ นั่นแหละเหยียบอยู่บนหัวของพวกชาวอาณานิคม
ต่อมา มันคือ เครื่องบั่นทอนกำลังใจศัตรู และเสริมสร้างความฮึกเหิมแก่เจ้าของมัน ในการทำสงครามโลกทั้งสองครั้ง
ในระยะไฟเย็น หรือสงครามเย็น (Cold War) หรือสงครามระหว่างค่ายโลกเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์ หรือค่ายอเมริกากับค่ายโซเวียต ช่วงนี้ มันได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีก คือ วิทยุและทีวี
คราวนี้สื่อ 3 มิตร นี่ก็แผลงฤทธิ์อย่างทรงพลังที่สุด
พวกมันทำหน้าที่ทั้งในสมรภูมิและในเมือง ที่สำคัญ มันกลับสถิตนอนเนื่องในหัวสมองและกัดกินจิตใจผู้คนที่อยู่ในรัศมีทำการของพวกมัน
เราจะเห็นได้ไม่ยาก... แถวๆ นี้ก็มี ก็บรรดาเอลวิส ทั้งหัวหงอก หัวล้าน หัวดำ บรรดาชาวร็อค ชาวป็อป นั่นแหละคือซากเดนของมหาฤทธาของสื่อ 3 มิตร มนต์เสน่ห์นี้ แกะไม่ได้ คลายไม่ออก ไม่รู้เป็นญาติข้างไหนของเรา แต่เรารู้เรื่องของมันไปหมด....
ผมด่าตัวเอง... ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน เพราะมันเป็นกันค่อนโลก นี่แหละฤทธาแห่งมันละ... ผมอบรมตัวเอง...
และบัดนี้ ผมเป็นไทแก่ตัวเองแล้ว ผมไม่เป็นทาสมัน ด้วยรู้ถึงกลไกของมัน .... มิใช่ใฝ่ดี รักวัฒนธรรมอะไรดอก... แต่ไม่อยากเสียรู้คน!!
อาจมีบางท่านแย้ง... เฮ้ย...ดินปืน คนจีนเขาคิดค้นมาก่อน เหมือนนวัตกรรมอื่นๆ เช่น เข็มทิศ เป็นต้น... ท่านเชื่อแบบนั้นก็เชิญเชื่อไป... แต่ขอได้พิจารณาข้อมูลที่ผมจะให้ต่อไปนี้...
ผมไม่ได้เป็นทหาร... เป็นแค่ไอ้เณรและอยู่ในกรมกองเพียงปีเดียว เพราะมีวุฒิการศึกษา เขาให้อยู่กินข้าวหลวงเพียงเท่านั้น แต่ผมคือคนร่างแผนยุทธการในการฝึกทหาร ทั้งการเดินทางไกล ภาคหมู่ตอนหมวด และภาคกองร้อย ภายใต้การกำกับควบคุมโดยผู้บังคับกองร้อย
วันหนึ่ง... ท่านผู้กองเรียกให้ผมไปพิมพ์แผนยุทธการ โดยเอาแผนฝึกภาคต่างๆ มาให้ดู ผมอ่านด้วยความตื่นเต้นและทักท่านว่า ทำไมมันเหมือนๆ กันไปหมด ข้าศึกมันจะไม่มีสมองพลิกแพลงเลยหรือไร?
ท่านว่า แกก็ลองพลิกแพลงดูซิ จะพลิกยังไง ผมก็บอกแผนการของผม...ท่านฟังแล้ว บอกเออ...แปลกดี... ไหนแกลองทำตุ๊กตามาให้ดูซิ ..ผมก็ทำให้ท่านดู... ท่านบอกดีว่ะ แต่มันนอกตำรา... มันโลดโผนล้ำหน้าหน่วยรบเขาไปหน่อย ...แกเอาแบบเขานี่แหละ แต่พลิกนิดๆ แล้วฉันจะพิจารณาเอง ว่ารับได้ไหม?
ทั้งหมดที่ฝอยก็เพื่อให้ท่านมั่นใจนิดๆ เถอะว่า ผมพอจะรู้เรื่องทหารกับเขาอยู่บ้าง เพราะเรื่องที่จะว่านี้ มันเกี่ยวแก่เรื่องศึกสงคราม ... คือ ผมจะบอกว่า จีนเป็นผู้นำในหลายเรื่องจริง แต่... มิใช่ดินปืน
ในตำราทางทหาร ประวัติอาวุธที่ชื่อว่าระเบิดมือนั้น จีนเป็นต้นแบบ... แล้วต้น แบบของจีนเป็นไง
ระเบิดมือชนิดขว้างรุ่นแรกในโลกที่ผลิตโดยคนจีน คือ ใช้หม้อดินเผา ปิดปากหม้อด้วยผ้า แล้วโยนใส่ศัตรู ...พอหม้อแตก.....รู้ไหมในหม้อมีอะไร... ในหม้อดินเป็นงูเห่า.... มิใช่ดินปืน
นั่นแหละ ที่ผมว่าจีนมิใช่ชาติแรกที่คิดค้นดินปืน
เอาอีกตัวอย่าง... ท่านรู้ไหมว่า ตอนที่จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างกำแพงยักษ์กั้นเอาชาวฮั่นไว้ภายในกำแพงนั้น ที่มุมหนึ่งของกำแพง มีเสียงร่ำลือว่า มีชาวฮวนมา "เล่นแร่แปรธาตุ" ทำให้เกิดเสียงอึกทึก สะเทือนเลื่อนลั่น เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของชาวเมือง
จิ๋นซีจึงสั่งทหารให้ไปดู....
นั่นแสดงว่า มีคนชาติอื่นสร้างดินปืนได้ก่อนคนจีน.... และฮวน ชาวป่าเถื่อนนั่นจะเป็นใคร...??
ผมยังมีข้อสังเกตอีก ที่หนักแน่นกว่า 2 ตัวอย่าง... เอาไว้พรุ่งนี้จะเฉลย...
 
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (15)
 
ดอ...
ท่านรู้จักไหม?
อย่า...อย่าคิดแบบนั้นเด็ดขาด ...
ผมไม่ใช่คนดิบดีอะไร แต่ให้ตายเถอะ สิ่งที่ผมทำไม่เป็น หรือทำก็ทำอย่างฝืนใจ คือ การพูดหรือเขียนคำหยาบ โดยเฉพาะเรื่องเพศ หรือเอาเครื่องเพศมาเป็นผรุสวาท
เพราะถูกสอนตั้งแต่เล็ก ไม่ให้ใช้คำพวกนั้น พอมาอยู่กรุงเทพฯ นี่ดอก ได้มาเห็นคนกรุงเขาพรั่งพรูคำสบถ ...เห้... สาท.... คว..... จนเป็นคำสามัญประจำปาก... ไอ้ผมคนอยากเป็นชาวกรุงโดยวิธีลัด ก็เรียนรู้ที่จะหลุดคำพวกนี้
เอ๊ะ... พอพูดมั่ง บ๊ะเข้าที... เอาคำพวกนี้ประดับประโยคคำพูด...แหมเป็นชาวกรุงโดยทันควัน แต่ก็ทำเฉพาะเพื่อนสนิทกันเท่านั้น จริงๆ ในใจให้กระดากปากอยู่
"ดอ" เป็นคำเก่า สารานุกรมพ่อปรีชา พิณทอง ก็ไม่ได้นิยามตรงๆ แต่บอกแค่ว่า
... ดอ (ว.) ข้าวที่แก่เร็ว เรียกข้าวดอ ถั่วที่ออกผลเร็ว เรียกถั่วดอ ชายที่ยังเด็ก แต่งตัวเหมือนชายหนุ่ม เรียก บ่าวดอ (early ripening)
"ดอ" ที่ผมจะพูดถึง คือ "หมั่นดอ" หมั่น คือ ขยัน อุตสาหะ พยายาม เมื่อผสมกับดอ มันหมายถึง คนจับจด ขยันแต่ต้นมือ คือ ขยันขันแข็งในช่วงแรกๆ พอทำไปสักพักก็เบื่อ หันไปทำอย่างอื่น ไม่เอาจริง นั่นแหละเรียก คนจับจด
และผมนี่แหละ ตัวอย่างของคนจับจด เห็นอะไรก็ตื่นเต้น อยากทำไปหมด แต่พอได้ทำ พักเดียวก็เบื่อ อยากทำอย่างอื่น...อย่างอื่น และอย่างอื่นอยู่ร่ำไป
ตอนเล็กๆ ผมถึงถูกตาดุด่าอยู่เรื่อย ว่า... คนหมั่นดอ... จับจด ยิ่งระยะหลังมีไธรอยด์ ชนิด hyper-thiroid เข้าเสริม ก็ยิ่งหนัก...กระโดดไปโน่นมานี่...เป็นลิง
สมัยเป็นเด็ก ผมติดตาผมแจเลย รู้สึกแกมีอะไรดีๆ เยอะแยะไปหมด ท่านเป็นหมอธรรม ปราบผี โดยเฉพาะผีปอบ และยังเป็นหมอสมุนไพรด้วย ผมฝนยาสมุนไพรเป็นตั้งแต่เด็กคนอื่นๆ เขาเล่นขายของ มือน้อยๆ ของผมนี่แหละ เคยรักษาคนเจ็บคนไข้มานักแล้ว
แต่ผมอยู่เบื้องหลัง เป็นแค่ผู้ช่วยหมอ ...
คนที่จะเป็นหมอธรรม ระดับมีลูกเผิ้งลูกเทียน (คนขึ้น - fellowers) ค่อนหมู่บ้าน เขาต้องมีอะไรดีๆ ผมทึ่งและตื่นเต้นที่ได้อยู่กับตา
ถ้าผมบอกชื่อตา ท่านที่เป็นนักธุรกิจ หรือนักข่าวสายธุรกิจอาจหูผึ่ง ... ตาผมชื่อ นายไชย ไชยวรรณ ....หรือเรียกแบบหมอธรรม ก็ต้องเรียกว่า "ธรรมไชย ไชยวรรณ"
อะฮ้า...บอกแล้ว ผมไม่ใช่ขี้ไก่... หากรู้ว่าผมเป็นใผแล้วจะหนาว
แต่...โปรดเข้าใจอะไรนิด ไชยวรรณ เขามี 2 สาย คือ สายเหนือ กับ สายอีสาน สายเหนือเขารวยล้นฟ้า เป็นเจ้าของธุรกิจประกันภัยและอื่นๆ และเป็น 1 ในจำนวนมหาเศรษฐีที่ "บิ๊กตู่" เชิญไปให้คำปรึกษา เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาของประเทศ หลังวิกฤต COVID-19
ส่วน ไชยวรรณ สายอีสาน ตรงกันข้ามกัน จ๊น...จน จนโคตรๆ ... ไม่จนอย่างเดียว คือ สติปัญญา อย่าให้ผมคุย... ผม ผู้มีไชยวรรณข้างแม่ นี่ก็ย่อยเสียเมื่อไหร่...เรื่องคุยขี้เป็นเลือดเลยแหละ
ที่ชักโคตรเหง้ามาสาธยาย มิใช่อื่น... ผมจะบอกว่า ผมฟังนิทานเรื่อง "ท้าวคันคากรบพญาแถน" จากปากของตา (เอ๊ะ..พูดยังไง...สับสนเรื่องอวัยวะในร่างกาย) แล้วมันสุดอลังการ เป็นนิยายแฟนตาซีเรื่องแรกในชีวิต และจำไม่ลืม
ผมอ่านเรื่องพญาคันคากรบแถน จากที่อื่นๆ หลากหลายเวอร์ชั่น วิจิตรพิศดารพันลึกก็จริง แต่ดูแล้ว..รู้สึกว่าโม้..และลากเอาหลายๆ เรื่องมาผสมปนเปกันไปหน่อย... ก็ไม่ว่ากัน เรื่องโม้ๆ นี่ ไม่เข้าใครออกใคร
อนึ่ง ผมมักใช้คำว่า พญา มากกว่า พระยา รู้สึกว่า "พญา" นี่มันมีพลัง น่าเกรงขาม ส่วน "พระยา" รู้สึกถึงการดัดจริต นี่ความเห็นส่วนตัว...
และ พญา กลายเป็น เพีย พวกมีชื่อสกุล หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ที่มีคำว่า "เพีย" รวมอยู่ด้วย โปรดภูมิใจ เพราะมันมาจาก พญา มันยิ่งใหญ่... แต่อย่าดันไปใส่ไม้โท แบบ "เมืองเพี้ย" เช่นในประวัติเมืองขอนแก่นเข้าล่ะ ...เละเทะ เละเป็นขี้เพี้ยไปเลย...
ในพม่ามีเมือง "พยาก" อยู่กึ่งกลางระหว่างท่าขี้เหล็กกับเชียงตุง ... นั่นอ่านตามอักขรวิธีแบบพม่า คำไต ก็คือ เมืองพญา หรือเมืองเพีย ...นั่นเอง
เรื่องพญาคันคากรบพญาแถน หรือท้าวคันคากรบพญาแถน เรื่องย่อมีว่า ... พระราชากับมเหสี มีลูกเป็นคางคก (คันคาก ไทยเรียกว่า คางคก เขมรเรียก คีงคก คางคกตายซาก เขมรบอก คีงคกตายสาก)
ภายหลังท้าวคางคก โอรสพระราชาได้ถอดรูปเป็นชายรูปงาม (แพทเทิร์นเดียวแบบหอยสังข์เปี๊ยบ) ผู้คนก็แห่มาชมบารมี จนลืม idol คนเก่า คือ พญาแถนไปเลย (จาก T-pop กลายเป็น K-pop คือ แถนถูก FC เท ว่างั้นเถอะ)
ชาวเมืองลืมบูชากราบไหว้พญาแถนดั่งเคย ทำให้พญาแถนตาร้อน โกรธ เลยงอนไม่ส่งฝนฟ้าลงมาเมืองมนุษย์ .... บางเวอร์ชั่นบอก ... ฝนไม่ตกอยู่ 7 ปี 7 เดือนติดต่อกัน
อนึ่ง คำว่า "ฝนไม่ตก 7 ปี 7 เดือน" นี่สำคัญ... ระยะเวลาเท่านี้ ถือว่ายาวนานและทรมานสำหรับคนอีสานอย่างยิ่ง และเป็นสาเหตุหรือข้ออ้าง ให้ชาวอีสานต้องอพยพออกจากถิ่นแบบยกหมู่บ้าน คือ แม้จะรักและหวงแหนถิ่นที่อยู่ แต่ถ้ามันแล้งระดับนั้น ก็ตัดใจทิ้งได้ ... หมู่บ้านอีสานที่อยู่กันเป็นหมู่บ้านในภาคอื่นๆ ทั้งเหนือ กลาง ใต้ หรือในอีสานเอง ถ้าสอบถามมักพบคำนี้ ...บ้านเดิมฝนไม่ตก 7 ปี 7 เดือน
เมื่อฝนไม่ตก มนุษย์ก็พากันไปร้องเรียน idol ของตัวเอง แล้วพญาคันคากก็เอาใจชาว FC นำสรรพกำลังไปรบ...ไปถล่มพญาแถนถึงสวรรค์
ในที่สุด อดีต idol คนเก่า คือ พญาแถนรบแพ้ และยอมหมอบราบคาบแก้ว บอกจะ delivery (ส่ง) ฝนไปให้ตามเดิม แต่... จะรู้ได้ไงว่า จะให้ส่งไปเวลาไหน... งั้น ...อยากได้ตอนไหนก็ message มาละกัน ...
พญาคันคากก็บอกว่า ถ้าแถนเห็น signal สัญญาณ คือ
1) บั้งไฟพุ่งขึ้นมา
2) พญานาคโผล่มา
ก็ดีลิเวอรีได้
แถน รอบคอบเลยถามว่า อ้าว...แล้วจะให้หยุดส่งฝนตอนไหน เดี๋ยวจะเป็นเรื่องอีก
คันคากบอกว่า ถ้าได้ยินเสียงสะนู ให้ถือว่า ให้หยุดส่ง
ดังนั้น เราก็เลยมีบุญบั้งไฟ โดยการเอ้ (เอ้ หรือ เอ้ญ้อง คือ การประดับประดา - decorate) ด้วยการทำหัวพญานาคประดับตรงหัวบั้งไฟ
และเมื่อถึงหน้าเก็บเกี่ยว ไม่ต้องการฝน ชาวบ้านก็เล่นว่าว... โดยที่หัวว่าวประดับด้วยสะนู หรือธนู (ตรงสายธนู มีเชือกสองข้าง ตรงกลางเป็นใบลาน เวลาว่าวติดลมๆ จะตีให้สายธนูพลิ้ว แล้วก็เกิดเสียง...ดื๊อ...ดือๆๆๆ)
หน้าหนาวนอนฟังเสียงสะนูว่าว ถือเป็นสุนทรียะแห่งชีวิตอย่างหนึ่งของอีสาน
แต่ระยะหลัง ใบลาน หรือใบตาลหายาก เลยมีผู้ใช้เชือกพลาสติกหรือแถบที่บริษัทโลจิสติกใช้รัดกล่องแทน เสียงสะนูที่เคยขับกล่อม... นอนฟังแล้วผล็อยหลับ กลับกลายเป็นเสียงน่ารำคาญ เคยมีคดี แอบตัดสายว่าวกันด้วยทนรำคาญไม่ไหว... ขึ้นโรงขึ้นศาลกันมาแล้ว
และนี่คือ เหตุผลที่ผมจะบอกว่า บรรพบุรุษของคนไตไทยลาวนี่เองที่เป็นต้นคิด และต้นตำรับการผลิตดินปืน ในรูปผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า "บั้งไฟ" หรือ "โบกไฟ"
จากการผลิต... กว่าจะเป็นนิทานปรัมปรา พญาคันคากรบแถน กว่าจะเป็นบุญบั้งไฟ 1 ใน 12 ฮีต ...จากวัตถุ กว่าจะผสมประกอบกันเป็นผลิตภัณฑ์รูปร่างคงที่คงตัวในรูปบั้งไฟ กว่าจะทดสอบทดลองจนเสถียร และกลายเป็นการละเล่น จนกลายเป็นบุญประเพณี เป็นระเบียบแบบแผนการปกครองในรูปฮีต ๑๒
ท่านคิดว่า มันจะใช้เวลาสักเท่าใด...
คนอีสาน หรือกล่าวโดยรวม ชาวไตไทยลาว มิใช่กลุ่มคนที่ชอบบันทึกอย่างชาวจีน พวกเราอยู่ๆ กันไปวันๆ จะคิดจดคิดจาร จารึกไว้ ..ไม่เคย
ตรงข้าม... ชาวจีนเป็นชนที่ชอบศึกษาจดจารบันทึกเรื่องราวมานับพันๆ ปีแล้ว บันทึกทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก แม้แต่...อิ้วจาก้วย (ปาท่องโก๋) หมั่นโถ ซาลาเปา ตะเกียบ... นอกจากจะบันทึกไว้แล้ว ยังสร้างนิทานประกอบ อ่านแล้วสนุกสนาน บางเรื่องอ่านแล้วเลือดรักชาติ รักความเป็นธรรมสูบฉีดพลุ่งพล่าน
แต่...ชาวจีนเคยมีบันทึกเรื่องการสร้างหรือทำดินปืนไว้บ้างหรือหาไม่?!
นี่คือคำถาม
กล่าวเฉพาะคนอีสาน เอารุ่นกึ่งพุทธกาลแบบผม หัวเล็กเด็กแดง แม้ยังถัดยังคลาน เราก็เล่นหมื้อ หรือดินปืนกันแล้ว ... ด้วยเราคุ้นเคย ผู้ใหญ่เห็นก็แค่ดูๆ ถ้าจะเป็นอันตราย เกิดระเบิด ไหม้ ลวกถึงเขี่ยออกให้ห่างบุตรหลาน เราไม่เคยเห็นดินปืนแล้ววิ่งหนี เอามืออุดหู หรือวิ่งหาที่หลบ
เราเรียนรู้การผลิต รู้ว่ามันมีส่วนประกอบอะไรบ้าง จะทำให้มันอ่อนหรือแรง เราต้องลดหรือเพิ่มส่วนประกอบใด จะทำให้ ซุ หรือซู่ คือลุกไหม้เป็นควันไปเฉยๆ หรือให้มันแตก ระเบิด ให้มันทำลายล้าง หรือให้ตกใจด้วยเสียงอันดัง เราต้องเพิ่ม-ลด ส่วนประกอบตัวไหน...เรารู้
หมื้อ สำหรับทำบั้งไฟต้องใช้ถ่านไม้อะไร หมื้อสำหรับทำดินปืนไปใช้กับปืน ต้องใช่ถ่านไม้อะไร ปรุงส่วนผสมอย่างไร
เด็กกับดินปืน สำหรับสังคมอีสาน ในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมี แบนเนอร์ (banner) หรือคำแนะนำแบบในทีวีประเภท ....โปรดใช้ความระมัดระวัง ผู้ที่สามารถทำได้ต้องเป็นผู้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี หรือ ...โปรดอย่าลอกเลียนแบบ...โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม...ผู้ปกครองโปรดให้คำแนะนำผู้อยู่ในความปกครองในการรับชม....
ไม่ต้อง...
ในระดับชาวบ้าน ไม่ใช่คนเป็นช่างบั้งไฟ... เราเรียนรู้และรู้กันดีทั้งชุมชน...เราร่วมเรียนรู้การตำผงถ่าน ตำส่วนผสมกันทั้งหมู่บ้าน มันเป็นวิถีที่ต้องช่วยกัน เพราะดินปืนเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมกิจกรรมทำบุญ กว่าจะเป็นบั้งไฟของแต่ละคุ้ม เราต้องช่วยกันทุกขั้นตอน ไม่ใช่สั่งซื้อกันแบบข้าวปุ้นอย่างทุกวันนี้...
สังคมอีสาน เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้การทำบั้งไฟกลายเป็นงานเฉพาะช่างบั้งไฟ ในระยะหลัง...ช่างบั้งไฟได้เปลี่ยนแปลงส่วนผสมของดินปืน โดยใช้วัสดุนอกพื้นที่ชุมชน คือ ใช้ยูเรีย เป็นส่วนผสมหลัก พลานุภาพจึงรุนแรงกว่าดินปืนในอดีต
พูดถึงส่วนผสมอันสำคัญของดินปืนในยุคก่อน... คือ ดินประสิว ชาวอีสานไม่รู้ดอก อะไรสิวๆ แต่ถ้าบอกว่า มันคือ ขี้เจีย พวกเราร้องอ๋อ ... เพราะขี้เจียก็คือขี้ค้างคาว ที่มีอยู่ตามถ้ำ พอค้างคาวมันขี้ มันเยี่ยว ทับถมกันนานเข้าก็ตกผลึก เราก็ไปเก็บมาทำดินปืน...ก็แค่นั้น
นี่ยังไม่พูดถึงรายละเอียดของกิจกรรม ที่ยิ่งสะท้อนว่า เราคุ้นเคย ...และประดิษฐ์ซ้ำ จนตกผลึกกลายเป็นวิถี เป็นบทกวี เป็นกาพย์เซิ้ง เป็นกลอนลำ
ผมอยากให้ท่านได้เห็น... ช่างบั้งไฟ (สมัยก่อน) เมื่อแบกบั้งไฟขึ้นค้าง หรือ ฮ้าน (สมัยนี้เรียกซะหรูว่า ฐานจุด) ก่อนจะลงมือจุดชนวน เขาอ้อยอิ่ง ไม่อยากจาก แสดงความอาลัยอาวรณ์ด้วยการลำลา เป็นการสั่งลาบั้งไฟ อันเปรียบเสมือนน้องชาย-น้องสาวของตัวเอง
เอาซะหน่อยไหม... ไหนๆ ก็ไหน..
ขึ้นเด้อหล้าเอย...
อย่าให้เสียแฮงอ้าย บุป่าไผ่ลอดหาหาง
อย่าให้เสียแฮงสร้าง บุป่ายางหาถ่าน
ให้นางผ่านขึ้นฟ้า เมือหน้าสู่พรหม
อย่าได้ลงมากลั้ว ดินแดนซุแตก
พี่ได้แบกขึ้นค้าง นางหล้าอย่าเหงี่ยงหงวย
ให้นางทวยทางขึ้น เมืองเทิงเกิ่งเดิ่ง
ขึ้นเมือเทิงหมอกฟ้า เพลตุ้มจั่งค่อยลง....
สักกี่ปี...กี่ชาติ ถึงจะทำให้ผู้คนผูกพันกับนวัตกรรม หรือสิ่งประดิษฐ์ที่ตนสร้างขึ้น... ได้ถึงเพียงนี้...
ฝรั่งอเมริกาส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์ ไปดาวอังคาร ไม่รู้กี่รอบต่อกี่เที่ยว...ยังไม่อ้อยอิ่งสั่งลาขนาดนี้เลย
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (16)
 
คนไตไทยลาว เป็นเผ่าพันธุ์ที่รักสันติอย่างยิ่ง จะเห็นได้จากในอดีต การจับจองพื้นที่ทำกิน ถ้าหากคนเผ่านี้จะถือคติ ...มือใครยาว สาวได้สาวเอา แล้ว ป่านนี้คงมีเศรษฐีที่ดินเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะอดีตผืนดินออกกว้างขวาง จะเอาเท่าใด ก็ไม่มีใครว่า...
อยากได้แค่ไหนก็ทำครื่องหมายให้คนอื่นรู้ ...
หมายไฮ่... เพิ่นให้ขอดหญ้าคา หมายนา..เพิ่นให้ขอดหญ้าปล้อง...
ใช้วิธีรวบกอหญ้าทำเป็นปม แค่นั้น ก็ไม่มีใครคิดล่วงเขตกันและกัน
ทางภาคใต้ แถบ อ.ท่าแซะ เขตป่าสลุย-รับร่อ ที่ดินกว้างขวาง เขาใช้วิธีใช้ลูกยางนา ยัดเข้ากับหนังสติ๊ก ...เงือด สุดแรง แล้ว...ยิง ลูกยางผลิดอกเป็นต้นตรงไหน ก็... ตรงนั้นคือเขตแดน
เช่นกัน เมื่อผลิตดินปืนได้ ทางที่จะคิดหาประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์ ไม่มี... ที่คิดได้คือทำอย่างไรให้สิ่งที่คิดค้นได้ ให้มันมีคุณค่าสูงส่ง นั่นคือสูงส่งทางจิตใจ คือ นำไปเป็นส่วนประกอบในพิธีกรรมถวายแถน..!
ทำไมไม่พัฒนาเป็นปืน ระเบิด ปืนใหญ่ จรวดขีปนาวุธ เป็น missile?
คำตอบก็ทำนองเดียวกันกับเรื่องการจับจองที่ดิน นั่นแหละ... ทำไมไม่ขอดหญ้าเอาสักพันไร่...
ผมตอบแทนบรรพบุรุษก็ได้ ว่า...มันฝืนจิตใจ ฝืนมโนธรรมสำนึก ..ไม่อยากได้ชื่อว่า เป็นคนขี้ตักมักได้... คนจะมองไม่ดี
เราเกรงกลัวสายตาเสียดเย้ย ที่ดูหมิ่นถิ่นแคลนจากเพื่อนบ้าน มากกว่าความคิดที่จะครอบครองจนเกินแรง เกินความพอดี... แบบที่ว่า ...ย้านเพิ่นว่า
คำว่า "เพิ่นว่า" (คนเขาว่า) มันรุนแรงกว่าการทุบตีร่างกาย เพราะมันกัดกร่อนจิตใจ...
เก้าสิฆ่าสิบสิฆ่า ให้ใช้แก่นขะยูงตี อย่าเอาบาลีตี สิเน่าในนูมเนื้อ..
จะฆ่าจะแกงก็เชิญ ขออย่าให้ตายด้วยเสียงเยาะเย้ยก่นด่า ให้ค่อยๆ ตรอมใจตายเลย...
นั่นแหละหัวจิตหัวใจของคนยุคก่อน
ใครก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่า ที่ดินคือสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ ในภายภาคหน้าย่อมจะมีค่ามีราคา... แต่ก็เพราะ... ย้านเพิ่นว่า... นี่แหละ มันสำคัญกว่า...
ผมยังทันได้เห็น เศรษฐีที่ดิน ที่จับจองด้วยความโลภ ...เดินไปทางไหนชาวบ้านเขาถุยถ่มตามหลัง...ไม่มีใครว่าดีเลยสักคน
ผมเคลียร์ปมให้บรรพบุรุษแล้ว.... คราวนี้มาว่ากันถึง... สถานการณ์ของบุญบั้งไฟในปัจจุบัน
ดังที่ทราบ บุญบั้งไฟ ตามฮีตกำหนดให้ทำในเดือน ๖ บางครั้งก็จึงเรียกว่า บุญเดือน ๖ หมายถึงว่า ...หากทำก่อนหรือทำหลังเดือน ๖ ถือว่าผิดฮีต ผิดธรรมเนียม
สมัยก่อนเขากล่าวหาว่า การกระทำผิดฮีตผิดคองแบบนั้นว่า "คนแตกปลอก"
ไม่รู้มันหมายความว่าอย่างไร... รู้แต่ว่า คนแตกปลอก เป็นคนไม่ดีเอามากๆ
เพื่อนที่ทำงานในลาว มาเล่าเรื่อง การคุมกำเนิดในลาว ด้วยวิธีให้ผู้ชายสวมถุงยางอนามัยในเวลาร่วมหลับนอน...
ถุงยางอนามัย ชาวลาว หรือคนอีสานเราเรียกว่า "ปอก" ซึ่งก็คือ "ปลอก" ในภาษาไทย
ผลการดำเนินโครงการ ปรากฏว่า สถิติการเกิดของทารกไม่ได้ลดลงตามความคาดหมาย เมื่อสอบหาสาเหตุจึงได้รู้ว่า... ปลอกแตก!!
เด็กหัวแข็งพวกนี้ จึงได้ชื่อว่า พวกปลอกแตก ... ไม่รู้มันเป็นแบบเดียวกับ พวกแตกปลอกหรือไม่?
สถานการณ์ในปัจจุบัน ... ฮีต ๑๒ ในฮีตที่เกี่ยวเนื่องกับการได้-เสีย มักถูกเซียนพนันเข้ายึดครองจนหมดสิ้น...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุญบั้งไฟ
มีการรับเหมาจัดงาน โดยผู้มีตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันจุดบั้งไฟ คือตำแหน่ง "เรดาร์"
ชื่อของคนพวกนี้จะมีตำแหน่งนำหน้าชื่อ เช่น ถ้าชื่อ จ้อ คนในวงการก็จะเรียก "เรดาร์จ้อ"
ตำแหน่งนี้ มาจากการทำหน้าที่เป็นกรรมการจับเวลา จึงจำเป็นที่ต้องคล้องสายกล้องส่องทางไกลไว้ที่คอตลอดเวลา... ด้วยสัญชาตญาณที่ไวต่อการจับทิศทางของบั้งไฟ และด้วยคุณสมบัติ/คุณภาพของกล้อง จึงเป็นผู้ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม เป็นที่เชื่อถือของเจ้าของค่ายบั้งไฟ และบรรดาเซียน
ว่ากันว่า... วงเงินที่สะพัดในการจัดแข่งบั้งไฟในแต่ละงาน ในงานใหญ่และดังระดับภาค เขาว่า...นับเป็นสิบล้านขึ้น... สิบล้านบาท!...ไม่ใช่สิบล้านกีบ
และด้วยวงเงินระดับนั้น เป็นเหตุจูงใจให้มีการจัดบุญบั้งไฟกันทั้งปี...หรือจัดมันทุกเดือน!!
อ้าว.... การจัดงานต้องขออนุญาตจากทางการมิใช่หรือ?
คำตอบคือ...ใช่
แล้วอนุญาตกันได้อย่างไร?! ในเมื่อจัดนอกฤดูกาล นอกเดือน ๖?!
คำตอบคือ ... ผู้ขออนุญาตเขาขออย่างถูกต้อง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่อนุญาต!!
ถูกต้องได้อย่างไร ตามฮีต ๑๒ เขาให้จัดได้เฉพาะในเดือน ๖?
เขาก็อ้างว่า ทำตามฮีต ๑๒ เหมือนกัน!!
ตามฮีต ๑๒ ยังไงมิทราบ??!!
ก็ตามฮีต ๑๒ เป๊...!
เป๊...ยังไง (วะ)??
กฎทุกอย่างมันมีข้อยกเว้น... ตามฮีต บุญเดือน ๖ ให้ทำบุญบั้งไฟ ถึงเดือน ๖ จึงจะจุดบั้งไฟได้ จึงจะเป็นไปตามฮีต... แต่ก็มีข้อยกเว้น ที่ทำให้สามารถจุดบั้งไฟได้ในกรณีการเสี่ยงทาย...
การจุดบั้งไฟเสี่ยงทาย...จะจุดในเดือนไหนก็ได้ ไม่มีข้อห้าม....
การเสี่ยงทาย...มักเสี่ยงทายกันว่า...ปีนี้ฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือหาไม่... ถ้าฝนจะแล้ง ขอให้บั้งไฟจงแตก (ระเบิด) ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ แต่... หากปีนี้ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล ขอให้บั้งไฟเสี่ยงทายจงขึ้น....คือขึ้นสู่ท้องฟ้า
อธิษฐานเสี่ยงทายดิบดีแล้ว ก็จุดบั้งไฟ
คนในยุคนี้...มักมีการสอบแข่งขันอยู่บ่อยๆ เช่น สอบเข้าทำงาน สอบเข้าเรียน สอบเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น เมื่อต้องการจะรู้ว่า ผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร ก็มีการเสี่ยงทาย ด้วยการจุดบั้งไฟ
ในโลกนี้.... อาชีพที่หัวหมอ พลิกแพลง พลิกสถานการณ์ การเอาตัวรอด หรือมีหัวในการเอาผลประโยชน์เข้าตัว... ไม่มีอาชีพใดจะเกินอาชีพเซียนพนันไปได้...
เซียนพนัน อาศัยช่องว่างช่องโหว่ของประเพณี ที่อนุญาตให้จุดบั้งไปนอกฤดูกาลได้ หากเป็นการจุดบั้งไฟเพื่อการเสี่ยงทาย...
เมื่อขออนุญาต เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด ... ก็ต้องให้อนุญาต โดยไม่บิดพลิ้ว...
เจ้าหน้าที่เขาไม่ถามดอกว่า...เสี่ยงทายอะไร ... เพราะมีเหตผลมากมาย
แต่...พวกเรา นักวิจัยกล้าที่จะถาม!
เมื่อกล้าถาม เซียนเขาก็กล้าตอบ...
เซียนตอบว่า..
ก็เสี่ยงว่า..บั้งไฟใครจะทำเวลาได้มากกว่ากัน
และทายว่า... ...ใครจะได้ - ใครจะเสีย!!!
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (17) 
 
ตอนผมอยู่ "บ้านทุ่ง" ผมเรียกตาม คำมา รุ่งนิรันดร์ ตำนานรำวงกุมภวา ที่มาอยู่กับผมในช่วงใกล้ถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต นอกจากจะเป็นกูรูเรื่องรำวงแล้ว แกยังเป็นนักประดิดประดอยคำอีกด้วย ...ตามประสาผู้นิยมหมอกควัน
ผมชอบชื่อนี้ เพราะมันตรงกับความเป็นจริง ก็บ้านอยู่กลางทุ่งหนองหาน มีเพียงถนนเส้นเล็กๆ เชื่อมกับภายนอก ... ใครจะเข้า-ออก จึงไม่คลาดสายตา ภาษานักเลงบอก...คุมพื้นที่ได้หมด ภาษาทางทหารเรียก..จุดสูงข่ม
ผมมีเวลาเตรียมตัวรับสถานการณ์มากกว่า 3-5 นาที ... แรกๆ ไปอยู่ ต้องระแวงขนาดนั้น...มีแสงแว้บ...แค่คนจุดบุหรี่ ผมเตรียมลงบ้าน เพื่อรอรับเหตุ
พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง คนเริ่มรู้ว่าผมกลับมาอยู่บ้าน คราวนี้ผมต้องเตรียมพร้อมชนิดไม่ต้องไม่หลับต้องนอนกันละ... ก็มีแขกยามวิกาลเยอะไปหมด กลางวี่กลางวันไม่ยักมา...
ชาวบ้านรู้ว่าผมเคยเป็นทนายความ..เลยมาปรึกษาคดี...แปลก คนบ้านเรา เวลามีเรื่องมักงุบงิบคุย หรือหลบๆ ซ่อนๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะบ้านทุ่งอยู่โล่งแจ้ง ใครเข้าใครออกรู้กันหมด คงกลัวฝ่ายตรงข้ามเห็นว่ามาปรึกษาทนาย
ที่จริงเรื่องการเป็นทนายอะไรนี่ ผมไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ตรงข้าม ผมมักทำตัวไม่รู้ไม่ชี้ ทำโง่เรื่องกฎบัตรกฎหมายเสียด้วยซ้ำ เพราะเห็นว่า กฎหมาย หรือการว่าความ มันเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา และกฎหมายก็เป็นอะไรที่เปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ การห่างเหินจากตำรับตำรา ห่างไกลจากเพื่อนฝูงในวงการกฎหมาย ซึ่งต้องเสวนา ถกเถียง และปรับตัวรับสิ่งใหม่อยู่ตลอด...
การปลีกวิเวก..จึงเป็นความอ่อนด้อยของนักกฎหมาย ผมรู้... จึงไม่ต้องการให้ใครมาพูดคุยหรือปรึกษา...เพราะเป็นการรักษาผลประโยชน์ให้กับคนที่ทุกข์ใจด้วยเรื่องคดีความ... ไปหาคนที่เขาทำหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน นั่นแหละดีที่สุด การไดัรับคำปรึกษาจากคนห่างโรงห่างศาลมีแต่ทางเสีย
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ต้องไว้ผมยาว.....
แต่ก็นั่นแหละ ...ของฟรี ใครๆ ก็ชอบ ผมจึงเกร็งอย่างที่สุด เวลามีแสงไฟแว้บๆ เดินเข้าบ้านทุ่ง กลัวจะให้คำปรึกษาผิดๆ ...
แล้วผมก็จึงกุมความลับของคนค่อนหมู่บ้าน... และทุกครั้งที่ได้ฟังความลับของผู้คน.... ผมจะบอกตัวเองเสมอ (มันเป็นกฎเหล็กส่วนตัว) ...ผมต้องเหยียบให้มิด และจะฝังมันไปกับตัวเอง
ในการทำงาน ผมได้พบและรับรู้ความลับของผู้คนมากมาย ... หากความลับนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติ ผมถึงจะลากไส้มันให้คนรู้...
ยกเว้น...ยกเว้น...เรื่องส่วนตัว ผมจะไม่ยุ่งเด็ดขาด ต่อให้มันมีประโยชน์ต่อใครก็ตาม ผมจะฝังมันไว้พร้อมตัวผม...ไว้ใจได้ เพราะผมถือว่าไม่แฟร์... มันไม่แฟร์ ...
เรื่องส่วนตัว ผมถือว่า เป็นเรื่องความผิดพลาด บกพร่อง ที่มนุษย์ทุกคนย่อมมี... ถ้าจะอาศัยเรื่องเช่นนี้มาเล่นงานคน ต่อให้เขาเป็นคนที่ผมเกลียดที่สุด ผมก็ไม่ ... ไม่คือไม่! เพราะมันไม่แฟร์..ก็แค่นั้น
เหตุที่ทำเป็นก๋ากั่น เป็นพระเอกอยู่คนเดียว นี่ก็ด้วยเหตุที่ถือคติส่วนตัวแบบนี้ จึงทำให้ตัวเอง เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ของวัดๆ หนึ่ง... และต้องเข้าไปยุ่มย่ามกับผลประโยชน์...ไม่มากไม่น้อย แค่สี่แสนบาท ...
ผมเคยเกี่ยวข้องด้วยเรื่องที่มีมูลค่านับหมื่นๆ ล้าน... จึงถือว่านี่จิ๊บจ๊อยมาก
แต่สี่แสนสำหรับบ้านนอกและสำหรับวัดเล็กๆ มันไม่น้อยดอก...
ผมเข้าไปในวัด เห็นหลวงตาแก่ๆ นอนซมอยู่กับที่นอน เห็นกรรมการบอกว่า ท่านท้องเดิน ....
แล้วเราก็คุยกันเรื่องเงินสี่แสนของวัด เห็นว่า ทุกคนพร้อมใจกันจะสร้างประตูโขง (ซุ้มประตูวัด) เพราะสอบถามราคาจากช่างแล้วว่าต้องเป็นราคานี้ ...
ผมเลยออกความเห็นว่า... ถ้าเราจะไม่สร้างประตูโขงได้ไหม?
ทุกคนบอก...ไม่ได้ ตกกันแล้ว ชาวบ้านทุกคนก็เห็นพร้อม
ผมถามว่า... หลวงพ่อที่ท้องเดินขึ้น-ลงกุฏิ ไปขี้-เยี่ยวยังไง?
ทุกคนบอกว่า...ท่านก็เทียวขึ้นเทียวลง ทั้งวันทั้งคืน...
ผมบอกว่า... เงินสี่แสนเนี่ย ถ้าเราไม่ทำประตูโง่ๆ กันลมกันแดดกันฝนก็ไม่ได้ แล้วเอาเงินมาสร้างห้องพยาบาลสงฆ์ โดยให้หลวงพ่อที่นอนป่วยอยู่เป็นคนใช้ก่อนเป็นรูปแรก
...ทำห้องน้ำ มีที่ยึดที่เกาะ เปลี่ยนโถนั่งยอง เป็นชักโครก ซื้อเตียงผู้ป่วย สัก 2-3 เตียง เผื่อหลวงพ่อรูปอื่นจากวัดในหมู่บ้าน ที่ทำท่าสะเงาะสะแงะ ให้มาอยู่รวมกัน
ทั้งญาติพระและโยมทั่วไป ก็มาปรนนิบัติ และทำบุญกับสงฆ์อาพาธ จะไม่ดีกว่าหรือ? จะไม่ได้บุญมากกว่าการสร้างไอ้ประตูโง่ๆ นั่นหรือ?
คนทั้งหมดไม่เอา...เพราะเห็นว่ามันขัดมติของชาวบ้าน!!
ผมรู้ ที่คนพวกนั้นไม่เอาเพราะอะไร... ก็ผมบอกแล้วไงว่า ผมกุมความลับของคนไว้ค่อนหมู่บ้าน ... อย่าให้พูดเลย...
มาว่าเรื่องฮีตของเราดีกว่า....
ที่ยกเรื่องวัดวามาเล่า ก็เพื่อจะให้เทียบเคียงกับเรื่องพนันบั้งไฟ ... เพราะบุญประเพณีต้องทำที่วัด และวัดทุกวัดก็จะมีกรรมการวัด... และกลุ่มคนเหล่านี้แหละที่ทำอะไรโง่ๆ... กลัวแต่วัดจะไม่มีงานบุญ จะเสียหน้าวัด เสียชื่อหมู่บ้าน
การเหมาบุญ หรือ เหมารับจัดงานบุญ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องเก่าแก่ นานเนมาตั้งแต่หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ รายสัปดาห์ ยังมีเซ็คชั่น ปริทรรศน์ ราวๆ ปี 2530 เศษๆ ผมชักเลือนๆ ที่แน่ๆ คือก่อน ปี 40 ต้มยำกุ้ง
บก. ผู้ซอกแซก ด้วยมีเครือข่ายแหล่งข่าวทุกระดับ ตั้งแต่บนดินจนถึงใต้ดิน และสร้างความทึ่งให้กับผมตลอดเวลาที่ร่วมงาน ... แม้ทุกวันนี้ ... ไม่มีหนังสือพิมพ์ในมือ ก็ยังสร้างความทึ่งให้ผมทุกครั้งที่แอบส่อง FB... เขาเคยมอบหมายงานให้นักข่าวไปทำเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่ผม ก็จึงจำปีไม่ได้
การเหมางาน คือ การที่เซียนพนัน หรือตัวเรดาร์... ถ้าเรดาร์จะมีจรรยาบรรณไม่แอบส่งซิก หรือแอบแทงบั้งไฟจริง ก็กันเรดาร์ ออกจากเซียนพนัน... เป็นอีกคนหนึ่งที่เหมาจัดงาน
การเหมางาน คือ การเทคโอเวอร์ (take-over) หรือยึดกิจการทั้งหมดทั้งของวัดและของหมู่บ้านไปดำเนินการอย่างเบ็ดเสร็จ โดยทางวัดและกรรมการรับเงินค่าเหมางานแล้ว...นั่งดู
ชาวบ้านที่เป็นคนในหมู่บ้านแท้ๆ เป็นได้แค่ผู้ชม... เซียนเขาจะเล่นแง่ เล่นเชิงของนักพนัน ยึกๆ ยักๆ ไม่ยอมจุดบั้งไฟ...ก็นั่งตากแดด มองตากันปริบๆ ...แต่เช้าจนมืดค่ำ ยังไม่เห็นบั้งไฟจุดสักบั้ง...ก็ต้องทน เพราะเหมางานให้เขาแล้วนี่...
เมื่อเหมางานได้... เซียนหรือเรดาร์ก็จะขน องคาพยพทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นหน่วยธุรกิจเข้าดำเนินงาน ได้แก่ กรรมการตรวจรับบั้งไฟ...
ฐานจุด ซึ่งสามารถถอดเก็บและติดตั้งได้เร็วพอๆ กับหางเครื่องลำซิ่งเปลี่ยนชุดเต้น
เก้าอี้พลาสติก สำหรับเซียนบ้านๆ "จับ" กันเป็นร้อยไม่เกินพัน
นอกจากนี้ ยังมีร่มผ้าใบ เตียงผ้าใบ แบบเดียวกับที่ใช้กันตามชายทะเล พร้อมโต๊ะวางเครื่องดื่ม... ร่ม 1 คัน เตียง 2 เตียง และโต๊ะ 1 ตัว ถือเป็น 1 ชุด สำหรับเซียนมือเติบ ที่ "จับ" กันระดับพันและหมื่นขึ้น
ชุดเตียงผ้าใบที่ว่า อย่าได้คิดว่ามีแค่จำนวนร้อย งานใหญ่ของทางอีสานใต้ โดยเฉพาะเมืองในเขตรอยต่อ 3 จังหวัดอุบลฯ-ศรีสะเกษ-ยโสฯ ซึ่งแต่ละงานมีจำนวนพันชุดขึ้น เรียกว่า เอาบางแสนกับพัทยารวมกันถึงจะสูสี
ร้านค้า ขายอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า ตลอดจน หมวกชนิดกันแดด และคลุมมิดใบหน้า เป็นต้น ร้านเหล่านี้จะผูกกันเป็นปี คนเหมาๆ ได้ก็จะยกกันเป็นคาราวาน
ส่วนสำคัญและขาดเสียมิได้ คือ เรดาร์ หรือคณะกรรมการจับเวลา จำนาน 3-7 คน ซึ่งก็ได้แก่ทีมงานของผู้รับเหมา นั่นเอง
คณะนี้จะแยกตัวออกไปอยู่ห่างไกลผู้คน ไม่ข้องแวะกับใครทั้งสิ้น นัยว่าต้องการรักษาความเป็นกลาง แต่ทุกคน นอกจากมีกล้องส่องทางไกลแล้ว ยังมีหูฟังเสียบคาหูตลอดเวลา... สมัยนี้คงมีบลูทูธ (blue tooth) กันแล้ว
เรดาร์ คือ หัวใจของงาน ชื่อเสียงของเรดาร์คือแม่เหล็กดึงดูดเซียน งานจะยิ่งใหญ่ มีรถเข้าชมเป็นเรือนพันเรือนหมื่น ขึ้นอยู่ที่เรดาร์
ว่ากันว่า เรดาร์ทางอีสานใต้ มี FC ร่วมหมื่น เสน่ห์ของเขาอยู่ที่การพากย์บั้งไฟ สมัยนี้ ต้องเรียกคอมเมนเตเตอร์ (commentators) สุ้มเสียงห้าวแต่นุ่มนวล เหมือนเสียง สมิงขาว+โกญจนาท
นอกจากนี้ยังมีหน่วยอื่นๆ และที่ขาดไม่ได้ คือ คนเฝ้าประตู เพราะผู้ชมบั้งไฟต้องซื้อบัตรซื้อตั๋ว โดยคิดเหมากันเป็นคันรถ
รายละเอียดผมจะข้ามๆ ไป... ถ้าต้องการรายละเอียดเชิญอ่านงานวิจัย ของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ หรือจะคีย์ชื่อผมก็ได้
บรรยากาศของงาน ... แม้จะได้ชื่อว่างานวัด จริงๆ ไม่ได้จัดขึ้นที่วัด ยกเว้นวัดที่อยู่ติดกับชายทุ่งหรือชายป่า แต่ส่วนใหญ่ ทางอีสานใต้มักเป็นที่โล่ง ท่ามกลางป่าละเมาะ มีรถยนต์ทุกชนิดเป็นเรือนพันเรือนหมื่น ที่จอดเสียบหัวเข้าร่มไม้จนลานตาไปหมด
อนึ่ง ที่ต้องเอ่ย... คำก็อีสานใต้ สองคำก็อีสานใต้ ...เพราะเป็นแหล่งพนันบั้งไฟที่ใหญ่ที่สุด มีคนของหน่วยงานรัฐ ที่เรียกเป็นรหัสว่า สายป่า สายแข็ง ยั้วเยี้ยไปหมด
รวมทั้ง คนในแวดวงการเมืองทุกระดับ ล้วนมีส่วน...และการพนันบั้งไฟ คือส่วนสนันสนุนการเมืองอย่างสำคัญ
ใกล้ฐานจุด จะเป็นเซียน... ดูสิ...ผมจำชื่อเฉพาะของประเภทเซียนไม่ได้เสียแล้ว... เซียนไล่ หรืออะไรนี่แหละ..แล้วก็มีเซียน...อีกประเภท..ดูเหมือนจะ... เซียนรอง หรือเซียนตาม... หรือเปล่า ..ช่างเถอะ
แต่ที่เอน็จอนาถใจ... คือ เซียนอีกประเภทหนึ่ง ที่ทุกสนามไม่เคยขาด แต่จะมากจะน้อย เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เซียนพวกนี้มักใส่หมวกผ้าไหมพรม แบบที่ตลกหมอลำใส่ล้อเลียน นั่นแหละ แบบนั้นเลย
เซียนเหล่านี้จะกระจายตัวอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ หรือนั่งรวมกับช่างบั้งไฟ เพราะส่วนใหญ่มักเป็นเจ้าของค่ายเสียเอง...
แน่นอน...เซียนเหล่านี้แห่ตามงานบั้งไฟเหมือนเซียนอื่นๆ
ผม...มันคนกินข้าวก้นบาตร... ข้าวและของบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ราดหัวและช่วยให้ชีวิตอยู่รอด มีการศึกษามาได้ ก็ด้วยพระที่ดีบ้าง บกพร่องบ้าง...ผมด่าพระด่าเจ้าไม่ลง...
เหมือนเป็นลูกโจร หรือโจรชุบเลี้ยงจนโต ถ้าผมเป็นตำรวจก็ว่าไปอย่าง... แต่นี่ไม่ใช่ บุญคุณของพระ ทั้งดีทั้งชั่ว ผมสำนึกเสมอ
แต่เจ้ากู อย่าบีบบังคับกันเกินไปละกัน....
รักชอบการพนัน หลงใหลกลิ่นควันขี้หมื้อขี้เจีย ... ก็สึกออกมาเล่นกันเปิดเผยเถอะ...โยมขอยืมบาตรมาขอบิณฑบาตละ...
ฮีต ๑๒ คือ การดึงคนออกจากครอบครัว เพื่อมาร่วมกันทำกิจกรรมที่จะสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันแก้ไขปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ให้กับชุมชนและสังคม
บรรพบุรุษของเราได้สรรหาวิธีการ และกอปรกิจนี้มาเป็นพันปีแล้ว... อย่าได้ทำลายด้วยมือของพวกเรา..ในยุคของเราเลย...
ฮีตไหน ถ้ามันนำมาซึ่งความต่ำช้า และขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ก็ตัดมันทิ้งเสีย..
อย่าได้แอบอ้างฮีตเพื่อให้สังคมต่ำทรามไปกว่านี้เลย
ฮีตที่ 6 บุญบั้งไฟ ก็เช่นเดียวกับบุญเดือน ๕ หรือสงกรานต์ ถ้ามันยังคร่าชีวิตผู้คนในทุกปีอย่างที่เป็นมา... จะไปเสียดายมันทำไม?!
หรือ...ท่านจะพากันเลือดเย็น ... มองเห็นพระแก่ๆ วิ่งขึันวิ่งลงกุฏิ ขี้ราดตามขั้นและราวบันได แล้วยังมีอารมณ์สุนทรียะชื่นชมลวดลายประตูโขง...
ผมก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว
แล่วแต๊เธ่อ...!!
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ซ อย่าได้คิดว่ารู้ดี (18)
 
ฮีต ที่ 7 บุญซำฮะ
ซำฮะ คือ ชำระ หมายถึง การชำระล้างมลทินเสนียดจัญไรให้สะอาดทั้งภายในและภายนอก : ภายนอก ได้แก่ ร่างกาย เสื้อผ้า อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย ส่วนภายใน ก็คือ จิตใจ
เป็นพิธีกรรมบูชาเทพอารักษ์ มเหศักดิ์หลักเมือง เทวดาฟ้าแถน ให้มาชำระล้างสิ่งเสนียดจัญไรออกไปจากบ้านเมือง จัญไร ก็ได้แก่ ข้าศึก โจรผู้ร้าย โรคร้าย อันจะทำให้เดือดร้อน ทำให้ชะตาบ้านชะตาเมืองขาด จึงต้องมีพิธีซำฮะ เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข
เนื่องจากทำในเดือน ๗ จึงเรียกอีกอย่างว่า บุญเดือน ๗
เรามาดูภาพรวมของบุญปางนี้ก่อน พิธีกรรมนี้ ต้องมีผู้นำ ผู้นำนี้เป็นผู้นำของทุกระดับ ถ้าเป็นประเทศ ก็ต้องเป็นพระราชา ซึ่งไม่ว่ายุคใดสมัยใด ถือว่าราชา คือผู้นำทางพิธีกรรม
ถ้าเป็นจังหวัด หรืออำเภอ หรือแล้วแต่หน่วยปกครองจะเป็นอะไร ก็คือผู้นำของภาคส่วนนั้นๆ จะเป็นผู้นำในการทำพิธี
ว่ากันง่ายๆ ก็คือ บุญนี้กระทำโดยฝ่ายปกครอง
นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ที่ผมว่า ฮีตเป็นรัฐศาสตร์ เป็นการเมืองการปกครอง ไม่ผิดดอก..
วัตถุประสงค์ของบุญนี้ ก็เพื่อสร้างเสริมกำลังใจให้แก่ผู้คนในทุกภาคส่วนทุกระดับของการปกครอง ให้มีความเชื่อและศรัทธา มีกำลังใจต่อสู้ ใช้ชีวิตกันมาเป็นปีเป็นเดือน ก็มาฟดฟื้น (refresh) กันเสียครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิดพลวัต หรือกระชับอำนาจกันเสียทีหนึ่ง ไม่ให้เซ็งซังกะตาย
การชำระ จะใช้อะไรชำระ ทางกายภาพ ก็ใช้พวกสบู่ ผงซักฟอก ไม้กวาด เครื่องดูดฝุ่น และอื่นๆ ส่วนเรื่องของจิตใจ ก็ใช้พิธีกรรม ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อความศรัทธา.. ซึ่ง 2 อย่างนี้ คือ ความเชื่อถือและศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ท่านใดที่มองว่า ความเชื่อหรือเรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องไร้สาระนั้น ควรคิดเสียใหม่ คนเรา นอกจากกายภาพแล้ว จิตใจคือส่วนสำคัญยิ่งกว่า จะทำการสิ่งใด หากทำอย่างซังกะตาย ไม่มีกะจิตกะใจจะทำ..ก็อย่าหวังว่าผลงานที่ออกมาจะดี...
หมอเขามีงานวิจัยในเรื่องนี้มาแล้ว...
เขาทดลองให้หมอ 2 คน จบหมอจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ที่เดียวกัน ปริญญาเดียวกัน ฝึกฝนมาเท่าๆ กัน ให้รักษาคนไข้โรคเดียวกัน
แต่...หมอคนหนึ่งให้ใส่สูท สวมทับด้วยเสื้อกาวน์ มีหูฟังแบบที่หมอใช้ และมีห้องตรวจสะอาดสะอ้าน ส่วนอีกคน แต่งตัวซอมซ่อ มีเพียงล่วมยา (กระเป๋าใส่ยาและอุปกรณ์) เก่าๆ ขาดๆ เดินงกๆ เงิ่นๆ
แล้วให้ทั้งสองหมอใช้ยาชนิดเดียวกันรักษาคนไข้
ผลปรากฏว่า คนไข้ที่รักษาโดยหมอคนแรก...หายป่วย แต่คนไข้ที่หมอกระจอกรักษากลับไม่หาย... มันคืออะไร
แล้วที่สำคัญ ยาที่หมอทั้งสองฉีดให้คนไข้ มันคือน้ำเปล่า...!
เรื่องนี้ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ตอนนี้ตำแหน่งอะไร และหน่วยงานชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว เพราะเขาเปลี่ยน จำได้แต่ชื่อเก่า BioThai เขาอ่านงานวิจัยต่างประเทศแล้วแลกเปลี่ยน
มาฟังเรื่องที่ผมแลกเปลี่ยนกับเขาดีกว่า ...เพราะเป็นเรื่องที่เจอมาด้วยตัวเอง...
อย่างที่บอก ผมมันชอบลอง ...ผมเคยไปนอนที่บ้านหมอ (ผี) ที่สุรินทร์ อำเภอศรีขรภูมิ รู้สึกจะบ้านตรอกตา อะไรนี่แหละ ... ผมมันชอบฟังคนที่เขามีอาคมคุย
หมอ ที่จริงแกเป็นทั้งหมอจริงๆ คือหมอสมุนไพร และขณะเดียวกัน ก็เป็นหมอผีไปด้วยในเวลาเดียวกัน แกคงเป็นหมอที่ดังมาก สังเกตจากที่มีชาวบ้านที่เจ็บป่วย บ้างนั่งสองแถว บ้างใส่เกวียน เข้าคิวรับยายาวเป็นเส้น
ตอนกลางคืน แกให้ผมนอนคนเดียวในห้องที่แกใช้เป็นห้องรักษา ส่วนหมอและครอบครัวนอนในบ้าน ...
ตกกลางคืน มีเสียงสิ่งของตกกระทบหลังคา ที่เป็นหลังคาจริงๆ คือมุงด้วยหญ้าคา เสียงจึงไม่ดัง แต่รับรู้ได้
ตกตอนเช้าหมอเดินเข้ามาดูผม ถามเป็นไง นอนหลับดีไหม ผมตอบ สบายมาก...
อายุ 30 กว่าแล้วตอนนั้น แต่เรื่องหลับผมไม่เคยมีปัญหา ผมมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ ...แม่เล่าว่าตอนเป็นเด็ก ผมหาว แม่ก็ไล่ให้ขึ้นไปนอนบนบ้าน (เวลากลางวัน) ผมไต่บันไดได้ไม่เกินขั้นที่ 3 ผมก็หลับคาบันไดทุกครั้ง... บันไดก็ไม่ใช่บันไดที่ทำจากไม้กระดาน หรือปูนอย่างในสมัยนี้ ...เป็นบันไดแบบ "เงิก" หรือดันให้ห่างจากตัวบ้าน กันหมาขึ้นบ้าน หรือชักขึ้นเก็บบนชานบ้าน ...แจ๋วมั้ย มีใครทำได้
หมอบอกว่า นอนได้ก็ดีแล้ว เพราะเมื่อคืนมันลองของแกหนัก... "มัน" ที่ว่า คือหมอผีคนอื่น คือ พวกหมอผี อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ปล่อยของแก้เซ็ง เขาเรียก "ลมเพลมพัด" คือปล่อยไปตามลม สุดแต่ลมจะพัดพา ..คือพวกหมออาคมจะปล่อยของ เช่น ควายธนู กระดูกสัตว์ เส้นผม ตะปู อื่นๆ เป็นการลองวิชากัน ถ้าใครอาคมไม่แข็งก็โดนของเข้าตัว...
ผมถามแกว่า ของพวกนี้มันเข้าคนอื่น นอกจากพวกหมอด้วยกันหรือไม่ แกบอก ... แน่นอน ถ้าไม่มีของรักษาก็รับเต็มๆ ถ้าไม่ตายก็เจ็บปวดทรมาน
อ้าว... แล้วผมมิโดนเต็มพุงไปแล้วหรือ?
แกบอก ...ไม่เป็นไร วิชาแกคุ้มครองให้แล้ว ว่าจบก็เดินไปหยิบเอาไม้ยาวๆ เขี่ยของที่ว่าใส่ลงกระป๋อง (ครุถัง) ได้ครึ่งกระป๋อง แล้วก็ยืดตัวไปเอาห่อผ้าที่เสียบใต้หลังคา แกะห่อแล้วเทของจากกระป๋องใส่รวมของเดิมในห่อ แล้วห่อเก็บไว้ที่เดิม
ผมงี้แอบกลืนน้ำลาย บอกตัวเอง...คืนนี้กูไม่นงไม่นอนมันแล้ว
พอตกสาย บรรดาคนไข้ก็มารับการรักษาอย่างทุกวัน วันนี้คนไข้มาก ลูกสาวหมอจึงต้องออกมาช่วย ...สวยมาก (ลูกสาวหมอ) แต่นึกถึงของในห่อผ้า... ใจก็ห่อเหี่ยว
คนไข้ก่อนกลับบ้าน ต้องได้ยาไปกินที่บ้านทุกคน โดยหมอจะทำพิธี "ปลุกยา" ให้
หมอให้คนไข้นั่งกับพื้น แล้วพนมมือ วางห่อยาไว้ข้างหน้าตัวเอง ส่วนหมอนั่งบนเก้าอี้ หลังคนไข้ แล้วบริกรรมคาถา ก่อนจะเป่าพรวด... ผ่านหัวคนไข้เลยไปถึงห่อยา
ผมถามหมอภายหลังว่า ทำไมต้องปลุกยา ยามันหลับหรืออย่างไร?
ใช่...ยามันหลับ... แกตอบ... ยาสมุนไพร ถ้าไม่ปลุกเสียก่อน มันก็ไม่ต่างจากดุ้นฟืน กินให้ตายก็ไม่หาย...
ผมจดจำคำหมอผี ได้ไม่ลืม พอมาเจอคุณหมอ ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ผมจำชื่อท่านไม่ได้ จำได้เพียงว่า เป็นลูกศิษย์หมออวย เกตุสิงห์ ซึ่งในวงการแพทย์ต่างรู้ว่า เป็นหมอที่ศึกษาและเข้าถึงหมอพื้นบ้าน และใช้วิธีการรักษาของแผนไทยมาประยุกต์ใช้... ที่ไทยเรามีแผนกแพทย์แผนไทย แทรกเป็นยาดำอยู่ทุกโรงพยาบาล และมีกระทั่ง กรมการแพทย์แผนไทย ก็ด้วยปณิธานความมุ่งมั่นของหมออวย ที่ส่งผ่านคณะศิษย์
พอเจอหน้าหมอ ผมถามสิ่งที่คาใจว่า ...การปลุกยาของหมอพื้นบ้าน คืออะไร? เป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่? งมงายใช่ไหม?
คุณหมอ ที่มีใบปริญญา และใบประกาศเกียรติคุณเป็นภาษาอังกฤษติดเต็มข้างฝา.. ตอบผมว่า ... การปลุกยา ไม่ใช่เรื่องงมงาย เป็นวิทยาศาสตร์ และ...
คำพูดของหมอประโยคสุดท้ายทำเอาผมแทบสลบโดยไม่ต้องพึ่งวิสัญญีแพทย์... หมอบอกว่า... อย่าว่าแต่หมอพื้นบ้านจะปลุกยาเลย ผมเองก็ปลุกยา และหมอทุกโรงพยาบาลก็ปลุกยา...!
ถ้าไม่ปลุก ... ยาทุกเม็ดก็เหมือนกินแป้ง...
โฮ้ย.... รู้งี้...จีบลูกสาวหมอผีดีกว่า ในเมื่อหมอที่ไหนๆ ก็ไม่ต่างกัน ใช้วิชาอาคมเหมือนกัน
คุณหมออธิบาย โดยชี้นิ้วประกอบว่า... คุณเห็นใบปริญญาผมมั้ย เห็นใบประกาศภาษาต่างด้าวมั้ย เห็นเครื่องมือแพทย์ เห็นห้องแล็บฯ เห็นห้องตรวจที่สะอาดสะอ้าน เห็นสูท เห็นเสื้อกาวน์ เห็นกิริยาท่าทางสุขุมคงแก่เรียนของผมมั้ย...นั่นแหละ ...ทั้งหมดนั้น คือกระบวนการ "ปลุกยา" ของหมอแผนปัจจุบัน
คนไข้เห็นแล้ว... เกิดความเชื่อความศรัทธา แล้วร่างกายคนไข้ก็หลั่งสาร...ผมจำชื่อไม่ถนัด จะสารอะดรีนาลีน หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ... แต่ช่างเถอะ เอาเป็นว่า สารนี้ ทำให้ยาออกฤทธิ์ มีประสิทธิภาพเต็มศักยภาพ ไม่ต่างจากวิธีของหมอพื้นบ้านดอก เพียงแต่วิธีการผิดกัน
แต่... ในกรณีของหมอพื้นบ้าน...มีข้อแม้ว่า ...คนไข้ต้องไปรับยาด้วยตัวเอง...เพราะจะได้รับรู้การปลุกยา และสารในร่างกายก็ถึงจะหลั่ง
ความเชื่อ และความศรัทธาก็เป็นสิ่งสำคัญต่อการปกครอง
ผู้ปกครองที่ชาญฉลาด ต้องทำให้คนในสังคมเกิดความเชื่อและศรัทธาให้จงได้ ไม่อย่างนั้น ก็เตรียมตัวล่มสลายได้เลย
ฮีตที่ 7 คือบุญซำฮะ ก็จึงมีความสำคัญ... เราเป็นบ้านเป็นเมืองขึ้นมาได้ บุญปางนี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ
 
 
 
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (19)
 
ฮีต ฟังเพียงชื่อ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเก่าแก่ เป็นเรื่องของคนเฒ่าคนแก่ คนโบ (โบราณ) แต่ความจริงมิได้เป็นอย่างนั้นเลย ตรงกันข้าม มันเป็นของใกล้ตัว และอยู่ใกล้เหมือนดั่งเป็นเงา ใกล้แต่จับต้องไม่ได้
ผมมันแปลกคน เคยถามตัวเองเรื่องเงา ว่า เงามันเกิดขึ้นเมื่อใด?
แล้วก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้... คนที่เห็นเงาเป็นคนแรกคงกลัวน่าดู... ตัวอะไรวะ จับก็ไม่ได้ ตีก็ไม่เจ็บ วิ่งหนีก็ไม่พ้น
แล้วก็ให้คำตอบกับตัวเองว่า ...เงามันก็คงเกิดเมื่อมีแสง...ถ้าไม่มีแสงสว่าง มันก็คงไม่มีเงา... แล้วคำขวัญของโรงเรียนที่ว่า... นตฺถิ ปญฺญา สมา อาภา..ล่ะ แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ...
ตอนที่ไปเข้าโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอแรกๆ นั่งขำ...อะไรวะ ... แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ... มันเหมือนกับว่า เมื่อมีปัญญาแล้ว มันจะมืดเหมือนไม่มีแสงสว่าง... งั้นจะเรียนไปทำไม ยิ่งเรียนยิ่งมืด...
จนเริ่มเป็นเด็กวัด...ฟังพระเณรท่องบาลี และเริ่มชินกับการแปลบาลีมากเข้า...จึงหายโง่
แต่เงามาจากไหน...ใครเห็นเงาเป็นคนแรก...มันก็ยังคาหัว
ฮีตก็เหมือนเงา... ในแง่ของความใกล้ชิดกับตัวเรา... เพียงแต่เราอยู่กับฮีตของคนอื่น ...แล้วทำไมฮีตของคนอื่นมันจึงใกล้ตัวเรา.. ก็เพราะคนอื่นที่ว่า...เขามีอิทธิพลต่อตัวเรา...อิทธิพลอะไร มันถึงมีอำนาจต่อเราจนทำให้เราขัดขืน หรือหันไปหาฮีตของเรามิได้ ก็เพราะอิทธิพลนั้น เป็นอิทธิพลทางการเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ การทหาร วัฒนธรรมประเพณี
การรับฮีตคนอื่น แรกๆ คงอึดอัด นานเข้าคงเคยชินและเลยตามเลย...ไม่อย่างนั้น ลัทธิคลุมถุงชน แบบข่มขืนโคเขาให้กินหญ้า คงไม่เข้มแข็งจนกลายเป็นวัฒนธรรมของบางเผ่าพันธุ์
แล้วทำไม ผมถึงมาคร่ำครวญถึงฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ทาง social media ที่ถือว่าเป็นสื่อที่ทันสมัยอย่างที่สุดเวลานี้...
ทำไมไม่ไปเพลิดเพลินกับแสงสี กับเงินบิทคอยน์ (bit coin) กับตารางหุ้นของ SET index, NY index, WallStreet, Nasdaq หรือหั่งสงหั่งเส็ง อย่างคนสมัยนี้ เผลอๆ ยังมีเงินกิน-ใช้เหลือเฟือ
ทำไม... คำตอบนี้ผมรู้...และจะเฉลยในตอนท้ายและจบเรื่องฮีตคอง
แต่ตอนนี้ มาว่าเฉพาะเรื่องฮีตที่ 7 บุญซำฮะ ของเราก่อน ...ทำไมผมถึงจดจำ ฮีตนี้ได้ ทั้งๆ ที่ฮีต หรือบุญปางนี้ เป็นฮีตเกี่ยวกับผี ทั้งผีฟ้าผีแถน ผีอีกสารพัด และพิธีกรรมอันน่าพรั่นพรึง
ความสำคัญที่ทำให้ฮีตคองไม่เสื่อมสูญไปจากกลุ่มไตไทยลาว ส่วนสำคัญคือมันแฝงด้วยความสนุก ไม่ได้คร่ำเคร่ง ขรึมขลัง ...พิธีกรรมในฮีตคองมันเปิดโอกาสให้พวกเด็ก ซึ่งอยู่ในวัยเรียนรู้ เลียนแบบ (imitate) ทุกอย่างจากคนรุ่นก่อน ทำให้มันสลักตรึงในจิตใต้สำนึก
เหมือนรสชาติของนมแม่... มันเป็นความอร่อยที่ประทับตรึงใจมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ... ดังนั้น สินค้าของกิน ถ้ามีรสชาติเหมือนนมจะขายได้ หรือหากไม่มีรสชาติเหมือนนม ก็ให้เกี่ยวข้องกับนม อาจเป็นรูปร่าง รสสัมผัส สีสัน นางแบบโฆษณา ... จะขายได้
ผมเองคนชอบเพลง ก็จึงชอบเพลง "น. นม" ของ เทพพร เพชรอุบล ที่มีบทพูดแทรกว่า "นม... บ่ได้กิน ได้บายซื่อๆ กะมีแฮง" แปลว่า... นมไม่ต้องดื่ม แค่ได้จับก็...มีแฮง ... มีแฮง คำนี้ แปลเป็นภาษาอื่น มันไม่ถึงใจ จะแปลว่า มีความสุข ก็ไม่ตรงเสียทีเดียว จึงต้องทับศัพท์)
ไม่ได้ทะลึ่ง... แต่จะอธิบายว่า สาเหตุที่ผมจดจำฮีต ก็ด้วยมีส่วนร่วมในกิจกรรมในตอนเด็ก.. แต่แปลกที่ฮีตอื่นๆ ออกสนุกสนาน ไม่ว่า สงกรานต์ หรือ บุญบั้งไฟ ... แต่ผมจำอะไรหรือรายละเอียดไม่ค่อยได้ เพราะมันสนุกซ้ำๆ จนกลายเป็นเฝือ ไม่รู้จะจำตรงไหน
บุญซำฮะ ดูลึกๆ ลับๆ พิธีกรรมน่าหวาดกลัว แต่ผมกลับจดจำ และก็จดจำได้เพียงตอนที่เป็นเด็ก และเด็กมากด้วย ก็จึงพาดพิงและเกี่ยวถึงเรื่องนม
ความจำของผมในเรื่องนี้ อยู่ราวๆ อนุบาล แต่สมัยนั้น ไม่มีอนุบาล มีแต่ ป.ขี้ไก่ คือ ชั้นเรียนก่อนเข้า ป.1 เรียนแค่ปี เดียว ก็ขึ้น ป.1
ผมเดินตามขบวนแล้วเหนื่อย หนีกลับก่อน ก็เด็กน่ะครับ ดังนั้น ผมจึงเชื่อว่า ถัาเราปลูกฝังอะไรแก่เด็กตอนเด็กมากๆ จะเป็นความทรงจำแก่เขาไปจนตาย...ไม่เฉพาะเรื่องนมดอก
อย่าหาว่าเอาเรื่องส่วนตัวมาตีแผ่เลย ... ขอยกเรื่องลูกชายของผม... ตั้งแต่พูดได้ ผมสอนให้เขาพูดคำผญาและเราพูดลาวกันในบ้าน จนลูกโต ผมไม่ยอมให้เข้าอนุบาล เพราะเชื่อว่า โรงเรียนเป็นที่ดับฝัน ดับจินตนาการของเด็ก ... จนเพื่อนๆ เขาขึ้นอนุบาล 2 ลูกผมยังพูดไทยกรุงเทพฯ ไม่ได้ ... มีอยู่วันหนึ่ง...ลูกร้องอยากไปโรงเรียน..
ผมถึงได้คิด... ทำไมเราเอาแต่ใจตัวเองถึงเพียงนี้ เนี่ยะลูกยังพูดไทยไม่ได้ ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางคนพูดไทยกลาง ลูกจะอยู่ร่วมกับคนอื่นเขายังไง... ทำไมผมถึงเอาลูกมาทรมานแบบนี้...
ผมก็จึงให้ลูกไปเข้าอนุบาล ยังดีที่ลูกเป็นเด็กโข่งอยู่ปีเดียว แล้วพาสไปขึ้น อนุบาล 3 ตั้งแต่นั้น...เราจึงพูดไทยกลางในบ้าน ด้วยสำนึกผิด และต้องการไถ่บาปและทำเพื่อลูก...
และเราก็พูดไทยกันด้วยความรักลูก จนทุกวันนี้ พอเราอยู่กันลำพังพ่อแม่ลูก เราก็พูดไทยกลาง ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของประเทศ ด้วยเราถือเสมือนเป็นอนุสรณ์ของการทำเพื่อลูก แสดงถึงว่าเรายังจำบทเรียนและการหันเปลี่ยนความดื้อด้านเป็นโอนอ่อนเพื่อลูก ...ผู้เป็นที่รัก
สมัยก่อนผมแรง...เรื่องภาษาลาว ภาษาพ่อภาษาแม่...แล้วก็สูญเสียเพื่อนดีๆ ไปก็มาก เพียงเพราะเขาไม่พูดลาวด้วย
แต่.. เชื่อไหมว่า... พอผมพาลูกชายกลับบ้านเกิด เขาสามารถพูดลาวสื่อสารกับคนเฒ่าคนแก่ได้ ... ตอนนี้เป็นหนุ่ม (หล่อ..เหมือนพ่อ) อยู่ระยอง มีเพื่อนร่วมงานเป็นคนเหนือ เขาอู้คำเมืองได้ และเวลาพูดไทยกลาง กลายเป็นสำเนียงระยองฮิเฉยเลย
แต่เวลาเจอแม่ค้าส้มตำ เขาพูดอีสานด้วยความสบายใจและสบายปาก
ผมจึงเชื่อเรื่องการปลูกฝังแต่เยาว์วัย
ปีนั้น... ผมน่าจะอายุสัก 3 หรืออาจจะ 4 ปี เขามีบุญซำฮะ ผมเดินตาม "เซียงข้อง" จนเหนื่อยอ่อนและง่วงนอน แล้วจึงหนีกลับบ้านไปหาตา
บุญซำฮะสำหรับผม มันคือบุญขับไล่ผีปอบ ซึ่งเป็นผีที่อยู่ใกล้ตัว มองเห็น อยากเห็นเมื่อไหร่ก็วิ่งไปแอบดูได้ ถ้าจะจับต้องก็คงได้ ...ถ้ากล้าพอ
ตาผมเป็นหมอธรรมปราบผี และการปราบผีปอบคงเป็นวิชาเอกของแก จึงแบ่งเขตความรับผิดชอบกันระหว่างหมอธรรม คือเพื่อนของแก
ต้องรู้ก่อนว่า หมู่บ้านผมมีปอบอยู่ 3 ต้ว (ลักษณะนามของปอบเรียกเป็นตัว) ตัวที่ 1 เป็นหน้าที่กำกับดูแลโดยตาผม ตัวที่ 2 กำกับโดยเพื่อนหมอธรรมของตาที่อยู่คุ้มเดียวกันกับปอบ
ส่วนตัวที่ 3 ตัวนี่แปลก ... น่าจะบันทึกไว้ในสาระบบปอบ คือ ปอบตัวนี้ไม่กลัวหมอธรรม แต่ดัน...กลัวครูใหญ่!!
เวลากำลังเรียนกันเคร่งเครียด ถ้าใครเหลือบไปเห็นชาวบ้านวิ่งหน้าตื่นเข้าห้องครูใหญ่เป็นต้องป้องปากบอกเพื่อนๆ ...
ไชโย้...ปอบเข้าคนอีกแล้ว...!!
การไล่ปอบของครูใหญ่ ถือเป็นมหกรรม เป็นวาระแห่งความตื่นเต้นของเด็กนักเรียนทั้งโรงเรียน เพราะครูจะอนุญาตให้เด็กๆ วิ่งตามครูใหญ่ไปเฝ้าดูฤทธิ์ไม้เรียวของครูใหญ่ถึงสถานที่เกิดเหตุ โดยไม่ต้องขออนุญาตลาพัก
ผมว่า ... ปอบตัวนี้คงมีปมในใจ ...มีความหลังสมัยเป็นนักเรียนและฝังใจ กลัวครูใหญ่ตี แม้เป็นปอบ มีสถานะที่จะกินตับกินไตใครก็ได้ แม้แต่ตับของครูใหญ่ ... แต่ยังก้าวข้ามความกลัวแต่หนหลังไม่พ้น...คิดแล้วก็น่าสงสารปอบเนาะ
การไล่เสนียดจัญไร ตามฮีตที่ 7 ชาวบ้านตีความกันว่า เสนียดจัญไรคือผีต่างๆ รวมถึงผีที่เห็นตัวเห็นตน และจับต้องได้ (ถ้ากล้า) คือ ผีปอบ ... ก็จึงประกอบพิธีไล่ผีนานาชนิดกัน โดยใช้ลูกหิน
ลูกหิน คือ หินลูกรัง พวกเราเรียกหินแฮ่ (แฮ่ คำนี้อย่าเพี้ยนเสียงหรือสับสนกับคำว่า แห่ เพราะมีความหมายต่างกัน แฮ่ หมายถึง แร่ - หินแฮ่ คือ หินแร่ ส่วน แห่ เป็นชื่อต้นไม้ เช่น บ้านแห่ แถวโกสุมพิสัย มหาสารคาม)
เราใช้หินแฮ่ หรือ ขี้หินแฮ่ ก้อนเล็กกลมขนาดลูกกระสุนหนังสติ๊ก กำแล้วหว่าน หรือขว้างหลังคาบ้านได้ทุกหลัง (มันจะไม่สนุกได้ไง) ... นัยว่า เป็นการไล่เสนียดจัญไร ไล่ผีสาง ...
แต่แปลก พอถึงบ้านผีปอบ เราเด็กๆ วิ่งหนีกันไม่คิดชีวิต...ไม่กล้าแม้แต่จะมองเข้าไปในบ้าน กลัวเจอสายตา..อึ๋ยยยย..
วันนี้คงฝอยได้แค่นี้...พรุ่งนี้ค่อยมาไล่ปอบ เอ๊ย ...มาว่ากันต่อ ขอตัวไปทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพครับ
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (20)
 
เวลานั้น ดูเหมือนผู้หลักผู้ใหญ่จะถือเอา "ผี" ว่าคือตัวเสนียดจัญไร และผีที่ต้องขับไล่ก็คือ ผีปอบ เพราะเป็นผีเดียวที่เห็นเป็นรูปธรรม
ผีปอบจึงตกเป็นจำเลยไปโดยปริยาย เพราะผีปอบ คือ คน 2 ประเภทที่กลายจากคนธรรมดาเป็นผีปอบ ซึ่งก็ไม่มีใครยอมรับเด็ดขาดว่าตัวเองเป็นผีปอบ
ประเภทที่ 1 คือ ผู้ที่เรียนวิชาอาคมแล้วรักษาไม่ได้ คือประพฤติตัวผิดข้อห้าม ที่เขาบอกว่า... ดาบสองคม นั่นแหละ
คืออาคมใช้ให้ดี เพื่ออภิบาลปกป้องผู้คนจากสิ่งชั่วร้าย ก็ดีไป แต่ถ้าฝ่าฝืนหรือครูเขามีข้อห้ามพิเศษ ว่าอย่ากระทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ยังขืนไปทำ ...ก็ไม่พ้นต้องเป็นปอบ...
หรือผู้ที่มีวัตถุสิ่งของที่มีคุณวิเศษ จะพิเศษโดยตัวมันเอง เช่น เขี้ยว เขา นอ งา ของสัตว์บางชนิด หรือวิเศษจากการปลุกเสก จำเป็นต้องปฎิบัติเซ่นสรวงบูชา โดยเคร่งครัด แต่ถ้าละเลย... ทุกอย่างมันก็มาลงที่ตัวเจ้าของสิ่งของหรือวิชานั้นๆ กลายเป็นปอบ ปอบแบบนี้เรียก "ปอบวิชา"
คนแก่เล่าว่า ผู้ที่เรียนวิชาแล้วรักษาไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เช่น เรียนมนต์ห....เฮ้อ...ของใ ห ญ่ (มนต์คือวิชา)
ผมว่าคนยุคนี้พิเรนทร์แล้ว คนยุคก่อนยิ่งหนักกว่า ... คนแก่ (คนเดิม) เล่าอีกว่า เวลามีงานบุญ มีหนุ่มๆ จากบ้านอื่นมาเที่ยว คนเรียนมนต์ที่ว่าจะรีบเข้าครัว แล้วเอามือล้วงลงในผ้านุ่ง แล้วก็มีเสียงดัง ป้าบๆๆๆ สนั่นเรือน
เขาว่า ... ผู้หญิงที่เรียนมนต์... มนต์นั้นน่ะแหละ.... ใช้ฝ่ามือตบเรียกของให้ใหญ่...
แหม ... เป็นยุคนี้คงได้อัดคลิปกันลั่นโซเชียล...
ยังมีที่เด็ดกว่านี้....แต่พอดีกว่า... รู้สึกยิ่งเขียน "เรต" (rate) ยิ่งวิ่งลงไปหา X เข้าเรื่อยๆ
ประเภทที่ 2 คือ ปอบแบบคลาสสิก คือ "ปอบเชื้อ" หมายถึงมีเชื้อสายเป็นปอบ เลยตกทอดแก่ลูกหลาน แบบปอบผีฟ้าในละครทีวี นั่นแหละ
ฟังแล้วก็ให้สงสารผู้หญิง... เพราะปอบแบบนี้ก็ถ่ายทอดให้ทายาทที่เป็นหญิงเสียอีก...
ดีแล้ว... ที่ผู้หญิงสมัยนี้ เลือกเรียนวิชาพาณิชย์ บัญชี เลขานุการ ล่ามแปลภาษา มัคคุเทศก์ นักข่าว ครู เป็นต้น.. หรือไม่ก็ใจแตก หนีตามผู้ชายไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง ... จะได้ไม่ต้องมารับมรดกสยึ๋มกึ๋ยย
คำว่า "เป็นต้น" หมายถึง ยังมีวิชาอีกจำนวนมาก ที่ผู้หญิงสมัยนี้เลือกเรียน ไม่ได้หมายความว่า วิชาที่ผมไม่เอ่ยถึง เรียนแล้วจะกลายเป็นปอบ... สบายใจได้
อุปกรณ์ในการไล่ผีและผีปอบ นอกจากก้อนหินแฮ่แล้ว ยังมีอีกอย่าง คือ เซียงข้อง
เชียง หรือ เซียง คือ ผู้ชายที่บวชเณร แล้วสึกออกมา อีสานเรียก "เซียง" แบบเดียวกับที่ทางภาคเหนือเรียก "น้อย"
บางคนเป็นเซียงจนแก่จนเฒ่า แล้วไม่ได้บวชพระ ก็เป็นเซียงอยู่อย่างนั้น เช่น พ่อใหญ่เชียงสม คือ ตาสมที่ได้บวชแค่เป็นสามเณร แล้วก็สึกมามีครอบครัว จนแก่และตาย ก็ยังเป็นเชียงอยู่อย่างนั้น
ส่วน ข้อง ก็คือ ข้อง หรือตะขัองภาชนะใส่ปลา กบ อึ่ง
ชาวบ้านจะนำเอาข้องใบเขื่องมาเสียบไม้ต่อเป็นขา 2 ขา ตรงปากที่มีฝาปิด เรียกว่างา ก็ใช้กะลามะพร้าวผ่าครึ่ง คว่ำปิดทับงา เจาะรูรอบกะลา แล้วใช้เชือกร้อยติดกับตัวข้องจนรอบ
จากนั้น ก็ใช้สีเขียนกะลา เป็นรูป ตา คิ้ว จมูก ปากของคน เท่านี้ก็กลายเป็นเชียงข้อง...
ทำพิธีปลุกเสกเสียหน่อย จากตะข้องใส่ปลาก็กลับมีชีวิตขึ้นมา เห็นว่ามีวิญญาณเข้าสิง ... ใครได้จับ แฮนด์ ...เอ๊ย จับขาเชียงข้อง จะต้องถูกวิญญาณเชียงข้องเข้าสิง แล้วผีเชียงข้องก็จะพาซิ่ง...คือวิ่งไม่หยุด..วิ่งได้เป็นวัน
เมื่อผีเชียงข้องได้รับบทปราบผี ทั้งผีทั่วไปและผีปอบ คราวนี้ก็มันสิครับ...
พวกเราเด็กๆ ก็สนุกสนาน วิ่งตามเป็นพี่เลี้ยงเชียงข้องกันทั้งหมู่บ้าน
อนึ่ง เครื่องมือหาอยู่หากินของชาวบ้าน มักถูกนำมาเป็นที่รองรับวิญญาณ เช่น กระด้งฝัดข้าว ก็กลายเป็นผีนางด้ง แบบชาวเขมร หรือชาวไตดำ ในพิธีก่ำฟ้า
นอกจากนี้ยังมีผีสาก (สากครกกระเดื่อง) นัยว่า ถ้าปลุกเสกแล้ว อะไรก็กลายเป็นของมีวิญญาณสิง มีฤทธิ์มีเดชได้ทั้งนั้น ... สมัยนี้คงมีผีเมาส์ ผีคีย์บอร์ด
ตอนที่ผมวิ่งตามผีเชียงข้อง จนรู้สึกเหนื่อยและง่วงนอน ตามประสาเด็ก ผมไปหาตา เพื่อไปคุยอวดแกนั้น... ก็จะไม่ให้เหนื่อยได้ไง... ก็เชียงข้องแทนที่จะออกล่าผีตามถนนรอบหมู่บ้าน แบบที่ขบวนแห่ที่แห่รอบหมู่บ้านทำ
แต่... พี่แกห้าวจัด ... พาออกเส้นรอบนอก ไกลก็ไกล แล้วทางสมัยก่อนก็มีแต่ทรายหนาเป็นคืบ
ทรายถูกแดดยามเที่ยง มันก็เหมือนเดินย่ำในกระทะที่เขาคั่วถั่ว แล้วรองเท้ามีกันซะที่ไหน...
แต่คนอื่นเขาทนได้ เพราะมันสนุกจนลืมเจ็บลืมตาย... แต่พวกนั้น เขามันเด็กโต แล้วก็พวกหนุ่มๆ และผู้ใหญ่ ส่วนผมยังเด็ก... พอขบวนฮาโลวีนเคลื่อนมาแถวๆ บ้าน เลยแว้บเข้าบ้านมาคุยกับตา
แปลก ... ที่หมอผีอย่างตาหรือหมอคนอื่นๆ ไม่มีส่วนร่วมในมหกรรมนี้ ผมถามตา..... ตาบอก...นั่นมันพิธีหลอกเด็ก ...
ผมบอก... เชียงข้องเขามีฤทธิ์จริงๆ นะ เขาวิ่งไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แล้วยังมองเห็นผี โดยพวกเราที่ตามกันเป็นขบวนไม่มีใครเห็นสักคน ...
ตาบอก...นั่นแหละที่ตาว่ามันหลอกเด็ก ผีน่ะ... มันเห็นซะที่ไหนกัน ...
ผมเถียงว่า ... จริงๆ เขาบอกเขาเห็น... แล้วถ้าเขาไม่เห็น เขาจะตีถูกหรือ? ก็ผมเห็นเขาใช้หัวข้องฟาดผี จนมันวิ่งขึ้นต้นงิ้ว (ต้นนุ่น) เขาต้องวิ่งขึ้นตามไปตี..
ตาไม่ตอบ...เอาแต่หัวเราะ
ด้วยความอยากเอาชนะตา... ผมตัดสินใจไม่นอน (กลางวัน) หายเหนื่อยกินน้ำกินท่าเสร็จ ก็ออกวิ่งตามไปเชียร์เชียงข้องต่อ ... ตอนนั้นขบวนเขาเข้าวัดไปแล้ว
ที่วัด ... พระท่านรื้อส้วม ไปสร้างที่ใหม่นานแล้ว แต่ยังไม่ได้ทุบทิ้งของเก่า จึงมีคอห่านส้วมเหลืออยู่ ตอนผมวิ่งไปถึงวัด เห็นคนเขาตะโกน... ปอบวิ่งลงคอห่าน!
มันละทีนี้ ..
ผมมีเรื่องไปโต้กับตาแน่ๆ... ตาเห็นมั้ยว่าเชียงข้องเขาเก่งจริง...มิใช่เรื่องหลอกเด็ก
หน็อย...มึงคิดว่าจะหนีกูพ้นเรอะ... เชียงข้องคำราม กองเชียร์ FC เชียงข้องก็ร้อง...เอาเลยเชียง...เอามันให้ตาย...!!!
ผมคิดในใจ งานนี้ ถ้าเชียงข้องมุดรูคอห่านได้ ตาต้องหัวเราะไม่ออกแน่ๆ..
เชียงข้องใช้หัวที่ทำจากกะลาโขกไปที่คอห่านเสียงดังโป๊กๆๆๆ โป๊กทีหนึ่ง บรรดา FC ก็ร้อง...เฮ้ๆๆๆ ให้กำลังใจ
ท่ามกลางแดดบ่าย ผมเห็นเหงื่อเม็ดโป้งๆ ผุดเต็มหน้าคนถือแฮนด์เชียงข้อง...
ผมเองนั้น ลุ้นให้แกมุดลงเสียที ...เพราะนานร่วมสิบนาทีแล้ว ที่เชียงโขกหัวกับโถส้วม....
แต่แทนที่จะมุดคอห่าน เชียงข้องกลับร้องเสียงดังว่า ... มันออก "ฮูแปว"!!!
ฮูแปว...คือ รูที่พวกสัตว์ประเภทหนูนา หรือพวกแย้ เมื่อขุดรูอยู่ ธรรมชาติจะสอนให้มันเอาตัวรอด โดยมันจะขุดทางออกไว้หลายรู เพื่อลวงศัตรู เวลาคนขุดเพื่อจับตัวมัน มันก็หนีออกทางรูที่สร้างลวงเอาไว้ ...รู้นี้นักขุดแย้เรียก ฮูแปว
แต่ฮูแปวของเชียงข้อง คือ ท่อระบายอากาศของส้มซึม!
ว้า... นึกว่าจะจนมุม ดันออกฮูแปวเสียฉิบ... ผมให้เสียดายแทน
ไม่เป็นไร... หลายคนให้กำลังใจเชียงข้อง
โน่น...โน่น... มันหนีขึ้นกุดใหม่ไปแล้ว...
เชียงข้องตะโกน เหมือนกับที่ตะโกนมาแล้วหลายครั้งเมื่อเห็นเป้าหมายย้ายที่หลบภัย
กุดใหม่ คือ กุฏิ 2 ชั้น สร้างด้วยปูน ต่างจากกุฏิอื่นๆ ที่ทำด้วยไม้ทั้งหลัง พวกเราเป็นเด็กผู้ชายต่างรู้จักกันดี เพราะเป็นที่วิ่งเล่นที่สนุกสนานยิ่งกว่าที่อื่นๆ เพราะส่วนใหญ่ของผู้ที่เจ้าอาวาสให้มาจำวัดที่กุฏินี้ มักเป็นเณร ซึ่งก็คือเพื่อนเล่นของเด็กๆ
กุดใหม่พิเศษกว่าที่อื่นๆ ภายในวัด คือ มีเพดาน เป็นไม้กระดานแบบไม้ฝาบ้าน ช่างชาวบ้านตีฝ้าเพดานโดยตอกตะปู แล้วไม่พับ คงตีให้พับลำบาก เลยปล่อยให้เป็นเรือใบกระจายเต็มฝ้า
พวกเราเด็กๆ ต่างรู้ดี เวลาเล่นหนอน คล้ายๆ เล่นซ่อนหา แต่เวลาหาเจอ ไม่ร้อง...โป้ง! ตาย! เล่นหนอนมันต้องแตะให้โดนตัว จึงจะถือว่าตาย....
พอหนีขึ้นเพดานกุฏิใหม่ ไม่มีใครสักคนกล้าเสี่ยงคมตะปู... พวกเราจึงชอบที่จะหนีไปหลบบนนั้น ...ก็โดนทิ่มอยู่บ้าง แต่คุ้ม
ผมวิ่งตามขบวนไป ในใจนึกภาวนาให้ปอบมันหนีขึ้นเพดานกุดใหม่ คราวนี้จะได้ตัดสินกันเสียทีว่า ...เชียงข้องมีฤทธิ์เดชจริง หรือแค่หลอกเด็กอย่างที่ตากล่าวหา
คนตามเชียงข้องเข้ากุดใหม่จนเต็มห้องขนาด 12X12 เมตร ผมไปทีหลังต้องมุดลอดขาผู้ใหญ่ เพื่อให้ได้ลุ้นอย่างใกล้ชิดติดขอบสนาม
เฮ้ย...มันหนีขึ้นเพดาน!!
เสียงเชียงข้องร้องบอกสาวก....
ก็ตามไปเหยียบคอมันซี ลูกพี่...
เสียงเชียร์ช่างได้ใจเสียจริง
จอมปราบผีปอบร้องบอกให้คนหากระไดมาพาด เพื่อจะได้มุดขึ้นไปบนเพดาน.
...ฝ่าย FC ก็ได้ใจ... รีบจัดหาให้...
มือปราบ Ghostbuster รีบพุ่งตัวสาวบันไดด้วยมือข้างเดียว อีกมือประคองให้ หัวเชียงข้องพุ่งนำไปก่อน...
พวกเราทั้งเด็กและเณรที่มุดมาออกันอยู่ชั้นริงไซด์มองหน้ากัน แล้วหลายคนหลายรูปลอบกลืนน้ำลาย
แล้วสายตาทุกคู่ก็แหงนจับอยู่ที่ช่องขนาดพอหลวมตัวผู้ใหญ่
มือปราบปอบที่โยนตัวข้องขึ้นไปก่อน ก็มุดตามขึ้นไป ... บัดนี้ ร่างของเขาและเชียงข้องพ้นสายตาของผู้ชมแล้ว....
เขาเงียบไปพักใหญ่
เด็กซน...อย่างพวกรามองหน้ากัน... เพราะรู้ว่า ถ้าขึ้นได้แล้ว... จะมองไม่เห็นสิ่งใด เพราะข้างบนนั้น มันมืดสนิท... ต้องใช้เวลาปรับสายตา...
สักพัก...ทุกคนในที่นั้นก็เปล่งเสียงไชโย....!! เหมือนลุ้นพวกตำรวจที่เปิดหวอ มาช่วยพระเอกแบบในตอนจบของหนังขายยา
จากนั้น ผู้คนก็พร้อมใจกันเงียบเสียง...เพื่อฟังความเคลื่อนไหว
บรรยากาศในห้องที่อบอ้าว เพราะคนมาอัดกันแน่น ตอนนี้เหงื่อทุกคนเริ่มแตกซิก...
......
กึง....!
เสียงเหมือนของหนัก อาจเป็นมือ หรือเข่าข้างใดข้างหนึ่งกระทบพื้นเพดาน เพราะบนนั้นผู้ใหญ่ยืนไม่ได้ ด้วยสังกะสีหลังคาห่างเพดานไม่เกินเมตร นักปราบของเราคงใช้คลานเอา
กึง....(ก้าวที่ 2)
กึง....(ก้าวที่ 3)
กึง.... (ก้าวครบสี่ขา)
โอ๊ย.....!!
เสียงร้องไม่เป็นเสียงคนดังแทรกเสียงฝีก้าว
ตะปูปักมือกู...โอ๊ย.....
ฮือๆๆๆ!!!
ผมเดินตามผู้คนที่เคยเป็นสาวก กองเชียร์ FC ของเชียงข้อง ที่ผละจากบันได ปล่อยให้มันเอียงเหจากช่องเพดานห่างเป็นวา ...โดยไม่สนใจว่า มือปราบจะหนีลงจากทะเลเรือใบได้หรือไม่..
ผมเดินใจลอย...พอถึงบ้านก็แวะขึ้นเรือนตัวเองเงียบๆ โดยไม่ไปหาตา...
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ซ อย่าได้คิดว่ารู้ดี (21) 
ฮีตที่ 8 บุญเข้าพรรษา
 
วันเข้าพรรษา (ไทย) มื้อวัสสา (ลาว) วันวัสสา (ไต)
เป็นบุญที่ทำบุญให้ทานแด่พระสงฆ์ ที่เข้าจำพรรษา หรือจำวัสสา ตลอด 3 เดือน ประชาชนจะลงสู่วัดเพื่อตักบาตรถวายทาน ฟังเทศน์ฟังธรรม ถวายผ้าจำนำพรรษาหรือผ้าอาบน้ำฝน
บุญปางนี้เรียกอีกอย่างว่า บุญเดือน ๘
บุญปางนี้ ถือเป็นบุญที่เป็นเรื่องของพระสงฆ์โดยแท้ เป็นข้อวัตรปฏิบัติอันสำคัญ และเป็นความเป็นความตายของพุทธศาสนา หรือเป็นความอยู่รอดของศาสนาพุทธเลยก็ว่าได้
จะเห็นว่า... บุญนี้ขึ้นอยู่ที่ฤดูกาล อันเป็นหน้าฝน หน้ามรสุม ที่พัดหอบเอาความชุ่มเย็นจากทะเล มหาสมุทร เข้าปะทะกันความร้อน แล้วปะทะขุนเขาที่ขวางกั้น ควบแน่นแล้วกลั่นตัวเป็นเม็ดฝน
กลายเป็นฤดูฝนขึ้นในเขตร่องระหว่าง 2 อารยธรรมสำคัญ คือ อินเดียกับจีน ซึ่งได้แก่ประเทศที่กลายเป็นรัฐชาติ (nation states) ได้แก่ ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา เขตปกครองตนเองชนชาติส่วนน้อย autonomous prefectures ในเวียดนามและจีน
ส่วนฝนที่ตกในจีนและอินเดียก็เป็นลมเป็นฝนที่มีที่มาแตกต่างจากฝนในร่องนี้ ยกเว้นพายุที่เร็วแรงเกินต้านของขุนเขา จึงได้โอกาสใช้น้ำฝนร่วมฟ้ากับประเทศ และเขตการปกครองของคนในร่องนี้
ความเปลี่ยนแปลงของปีเดือน อันเนื่องจากการเคลื่อนย้ายของดวงอาทิตย์เป็นเรื่องสำคัญ ต่อมนุษย์ ต่อองค์กรต่างๆ ที่สังคมมนุษย์อุปโลกน์ขึ้น ไม่ว่า ศาสนา ประเทศชาติ อาหารการกิน ตลอดจนพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ความแตกต่างใดๆ ย่อมขึ้นอยู่กับอิทธิพลของการเคลื่อนแห่งดวงอาทิตย์....
ชาติญี่ปุ่นเป็นชาติที่ถือเป็นชาติแรกที่เห็นพระอาทิตย์ก่อนชาติใดๆ พวกเขายึดเอาดวงอาทิตย์เป็นสรณะ ทั้งกล้าประกาศว่า เป็นลูกพระอาทิตย์
ส่วนจีนแม้ยึดเอาดาว ก็เป็นดาวทอง อันเป็นดาวที่ต้องแสงอาทิตย์
คนเหล่านี้กินข้าวเป็นหลัก แต่ยังแปลงข้าวให้เป็นแป้ง และกินข้าวร่วมกับกินแป้ง แต่ก็ยังเป็นแป้งจากข้าว เรียกว่า กินข้าวก็ได้ กินแป้งก็ได้
แต่คนในร่องมรสุมระหว่างอินเดีย-จีน ต้องกินข้าวเป็นหลัก กินแป้งไม่อยู่ท้อง กินเล่นๆ ในรูปของขนม หรือข้าวมุ่น ในภาษาไต
ชาวไตเรียกแป้งว่า ข้าวมุ่น หมายถึงข้าวที่ถูกป่น ซึ่งตรงความหมาย ฟังแล้วซึ้ง...
ถัดไปอีก ไปทางตะวันออกกลาง ธงชาติเป็นพระจันทร์เสี้ยวและดาว
บนพื้นเขียว เมื่ออาทิตย์ลับไปแล้ว ข้าวก็ลับไปด้วย คนแถบนี้จึงกินแป้งมากกว่าข้าว
ถัดไปอีก ทางยุโรป-เมริกา ธงเป็นรูปดาว ดาวแบบดาวขาว ด้วยแสงสะท้อนจากหิมะ มีแต่ความหนาวเหน็บ ปลูกข้าวได้ยาก ยกเว้นพวกสาลี โอ๊ต ไรน์ ซึ่งนำมาป่นเป็นแป้งจึงจะปรุงเป็นอาหารได้
ที่นำเรื่องนี้มาให้เห็น ก็เพื่อให้เห็นความสำคัญของพื้นที่ในร่องระหว่างอินเดียกับจีนว่า เป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การทำนาอย่างยิ่ง และผู้ในร่องนี้ก็ล้วนเป็นนักทำนาที่เก่ง
แล้วเหตุใด ศาสนาพุทธถึงได้ให้ความสำคัญต่อข้าว นาข้าว และการทำนาอย่างยิ่ง
หากพิจารณาจากพระธรรมวินัยและสิกขาบทแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ข้าว คืออาหารหลักที่ศาสนิกชนศาสนานี้บริโภคเป็นหลัก เพราะมีการห้ามภิกษุมิให้ทำคำข้าวให้ใหญ่เกิน ยาวเกิน ซึ่งถ้าทำแบบนั้นมันเหมือนกินเล่น ได้ข้าวจากการให้ด้วยศรัทธา แล้วยังเอามาทำเล่นๆ มันไม่เหมาะ พระองค์จึงห้ามไว้
แสดงว่า ข้าวคืออาหารหลักของคนพุทธ พระพุทธองค์ให้พระสงฆ์สำรวมระวังในการกินข้าว และข้าวที่ขบฉันนั้นน่าจะเป็นข้าวเหนียวด้วยจึงห้ามมิให้พระปั้นเล่น
ในเมื่อพุทธศาสนาและคนพุทธ มีชีวิตที่เนื่องด้วยข้าว บทบัญญัติที่กลายมาเป็นพิธีกรรมของพุทธศาสนาจึงละเอียดอ่อนต่อเรื่องข้าว แล้วฮีต หรือ ธรรมเนียมการเมือง การปกครองจึงล้อไปกับหลักการทางศาสนา จึงเป็นบุญวันเข้าพรรษา- มื้อวัสสา-วันวัสสา
กิจกรรมของบุญนี้ไม่มีอะไรมาก คือนำภัตตาหารมาถวายพระ และมีพิเศษตรงที่มีการถวายผ้าอาบน้ำฝน
โปรดสังเกต ผ้านี้มิใช่ผ้าอาบน้ำเฉยๆ แต่ต้องเป็นน้ำฝน ที่จริงใช้ผ้าอาบน้ำอื่นก็ได้ เพราะบางครั้งก็เรียกผ้าอาบเฉยๆ แต่เพื่อให้เห็นความสำคัญว่า ผ้านี้ได้จากการมาของฝน ก็จึงเรียกแบบนั้น
ฝน มีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้คนในร่องนี้ เพราะเป็นฤดูที่จะได้ปลูกพืชที่สำคัญที่สุด และพัฒนาการของต้นข้าวในทุกระยะ ย่อมอยู่ในสายตาสังเกตการณ์ของชาวนา
ชาวนาเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงของต้นข้าว ไม่ผิดกับการเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงทางสรีระของลูกน้อย
ลูกเป็นที่รักต่อผู้เป็นพ่อแม่อย่างไร ข้าวก็ย่อมเป็ที่รักของชาวนา อย่างนั้น
แล้วยามเมื่อต้นข้าวกำลังเขียวงาม แล้วมาถูกตีนของคนย่ำเหยียบ หัวอกผู้เป็นชาวนาจะเป็นเช่นไร....ก็คงไม่ต่างจากคนสมัยนี้..ที่เห็นลูกถูกรถชน
พระพุทธเจ้า ผู้เป็นนักจิตวิทยาชั้นครู มีหรือจะปล่อยให้ศิษย์ตถาคตเหยียบย่ำหัวใจชาวนา ผู้เป็นศาสนิก... ก็จึงกำหนดให้ 3 เดือนนับจากนี้ หรือ...แท้จริงก็คือช่วงเจริญเติบโตจนถึงแก่จนพอเก็บเกี่ยวได้
บรรพบุรุษของเราก็จึงบรรจุลงในฮีต ๑๒ เป็นการทำให้พระธรรมวินัยในพุทธศาสนาเข้มแข็ง และใกล้ชิดกับผู้คนมากยิ่งขึ้น แท้จริงก็เป็นการขยายผล ให้คนทั้งสังคมได้ตระหนักถึงความสำคัญในการหยุดอยู่... ห้ามจาริกเดินทางของพระสงฆ์โดยประชาชนมีส่วนร่วม
ในอดีต สถานที่ที่เป็นสถานที่เฉพาะ ที่เรียกว่า วัดวาอาราม ...คงไม่มี หรือมีก็ไม่มาก
ดังนั้น บริเวณที่จะเรียกว่าวัดได้ คงหมายถึง บริเวณที่พระสามารถหยุดพักการเดินทาง ณ จุดใดจุดหนึ่ง จุดๆ นั้นนั่นแหละคือที่ๆ พระหยุดเพื่อ "วัสสะ-วัสสา"
เมื่อเลยฤดูทำนา เลยกำหนด... อนุญาตให้เดินทางต่อได้ ...ที่ตรงนั้นก็ยังถือกันเป็นสถานที่สำคัญ เพราะเคยเป็นที่วัสสะ-วัสสา
นานเข้า วัสสะ-วัสสา เวลาเขียน บ้างก็เขียนแบบบาลีอย่างข้างต้น หรือเขียนแบบผสม คือ วัดสะ วัดสา ซึ่งเรียกยาก จึงเรียกว่ายๆ ว่า "วัด" คำเดียว ก็จึงเป็น "วัด" เรื่อยมา
นั่นเป็นข้อสันนิษฐาน...ของผม ที่ว่า คำว่า "วัด" น่าจะมาจากที่วัดสะ ... ซึ่งต่างจากความเห็นของเหล่านักปราชญ์ทั่วไปในประเทศ ที่ระบุว่า "วัด" น่าจะมาจากคำว่า "วัตร" คือกิจกรรมที่ทำประจำ ต่อมาจึงเขียนเป็น "วัด"
ผมตามความคิดพวกท่านไป... ไปดูในคำเขมร เพราะเขามี นครวัด คู่ นครธม... วัดของเขมรก็คือวัดอย่างวัดเรานี่แหละ แต่วัดเขมร เขียนว่า "วตฺต" ซึ่งไม่ว่าจะวัดวาอาราม หรือ วัตรปฏิบัติ เขมรเขียนอย่างเดียวกัน คือ วตฺต
ถ้าจะเชื่อตามเหล่าปราชญ์ต้องบอกว่า "วัด" มาจากคำภาษาเขมร คือคำว่า "วตฺต" นั่นแหละถูกต้องที่สุด... ไม่ต้องไปสันนิษฐานว่า เป็นคำกร่อนมาจาก วัตร ให้ซับซ้อน เพราะ วัด กับ วัตร คนไทยแยกแยะได้...
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ลาวและไต ไม่มีคำว่า "เข้า" มีแต่ มื้อวัสสา และ วันวัสสา คงมีแต่ไทยที่ เข้าพรรษาอยู่เจ้าเดียว แต่เวลาออก... ลาวและไตถึงมี ออกวัสสา
เมื่อถึงบุญเดือนแปด คือเข้าพรรษา ก็ถือว่าเป็นการเข้าสู่หน้านาหน้าฝนอย่างเต็มตัว ....เป็นฝนในช่วงปลายของฤดูกาลดำนา เพราะการดำนาได้เริ่มตั้งแต่ปลายเดือน ๕ หรือเล่นสงกรานต์เสร็จ ก็เตรียมทำนา บุญบั้งไฟในเดือน ๖ ถือว่าเตรียมปักดำ เดือน ๗ เป็นช่วงของการดำนา เลี้ยงเทพาอารักษ์มเหศักดิ์หลักเมืองเสร็จก็ลุย...
จนถึงเดือน ๘ เข้าพรรษา หากไม่เสร็จทั้งหมด ก็ต้องให้เสร็จเป็นบางส่วนหรือ "ฮอม" คือ จวนเสร็จ เพราะเมื่อถึงเข้าพรรษา ต้นกล้าจะ "บั้ง" หมายถึงกล้าแก่จนขึ้นลำขึ้นรูปเหมือนต้นข้าว คือ มีปล้อง เหมือนลำไม้ไผ่ จึงเรียกว่า ...กล้าบั้ง ปลูกไปก็ไม่งาม ...ให้ควายกินดีที่สุด
ในอีกทางหนึ่ง ช่วงหลังสงกรานต์ ถือเป็นช่วงเวลา "พักวง" ของวงดนตรี และคณะหมอลำ เป็นเสมือนช่วงปิดเทอม คือพักยาว ปล่อยให้ลูกวง-ลูกคณะกลับบ้านไปทำนา
วงดนตรีคณะใด ยังอยากทำการแสดงในช่วงนี้ ก็ต้องลงไปแสดงที่ภาคใต้
ส่วนโรงเรียนหมอลำต้องปิดสนิท
โน่น...ทำนาเก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จออกพรรษา..ก็จึงจะเป็นช่วงแห่งความสำราญ ...แล้วข้าวแล้วนา..ผัดหน้าทาแป้ง หิ้วกระเป๋าเข้าวง...
บุญเข้าพรรษาจึงเป็นบุญแห่งความสงบและสมถะ เป็นเรื่องของพระของเจ้า ไม่มีเรื่องให้สนุกสนานตื่นเต้นตึงตัง
(อ่านต่อพรุ่งนี้)

 

 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (22)
 
ฮีตที่ 10 บุญข้าวสาก
เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ มีการเขียนชื่อญาติลงในกรวยสลาก โดยให้พระสงฆ์จับสลากรายชื่อ เพื่อให้ท่านส่งบุญกุศลนั้นไปให้ตามรายชื่อ
เนื่องจากทำในเดือน ๑๐ จึงเรียกอีกอย่างว่า บุญเดือน ๑๐
บุญปางนี้ทำกันในช่วงพระเข้าพรรษา จึงไม่มีการรื่นเริง แต่เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายที่เป็นญาติ หมายเฉพาะญาติที่ตายแล้วต้องลงไปสู่อบายภูมิ
เนื่องจากช่วงนี้มีการตายของบุคคลในวงการนักเขียน ดารา ซึ่งเป็นบุคคล แม้ห่างไกลกัน แต่ก็เหมือนอยู่ใกล้ เพราะในช่วงที่บุคคลเหล่านี้ยังมีชีวิตโลดแล่นบนโลก เราได้ใกล้ชิดท่านเหล่านี้ด้วยการสัมผัสงานของท่านด้วยใจ
เพราะผลงานเป็นสิ่งที่ต้องเข้าถึงด้วยใจสัมผัส ซึ่งมันใกล้ชิดยิ่งกว่าสัมผัสด้วยกาย เมื่อพวกท่านเหล่านั้นสิ้นชีวิตไป ก็ให้รู้สึกใจหาย เป็นธรรมดา... นี่ถ้าท่านที่ตายๆ ขณะที่กำลังรุ่งโรจน์ คงมีคนอยากตายตาม เหมือนในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง หรือในบางประเทศ ที่การฆ่าตัวตายเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง
ต้องเข้าใจก่อนว่า การตายในความหมายของชาวพุทธที่ศึกษาธรรม ที่จริง มันก็คือขณะจิตขณะหนึ่งเท่านั้น .... การตายคือการที่จิตเข้าสู่จุติจิต จิตทำกิจหน้าที่จุติ เป็นจิตสุดท้ายในโลกนี้ แล้วก็เข้าสู่อีกจิตหนึ่งคือ ปฏิสนธิจิต คือไปเกิดใหม่ในทันที ...!!
อย่าเชื่อว่ามีวิญญาณลอย...ไปนู่นมานี่ หรือหาที่เกิด... นั่นไม่ใช่พุทธ
ระหว่างจิตหนึ่งข้ามไปสู่อีกจิตหนึ่ง มันรวดเร็วยิ่ง เมื่อจุติจิตเกิด เราก็ละทิ้งจากโลกนี้ไปทันทีไปสู่ปฏิสนธิจิต ... คือจิตที่ทำกิจหน้าที่ปฏิสนธิ
ผลก็คือ โลกที่เราเคยโลดแล่นดับลงแล้ว ลูกเมียญาติพี่น้อง ทรัพย์สมบัติ เพื่อนฝูงลืมไปสิ้น ...แม้ชื่อ นามสกุลที่เคยมีเคยเป็น ก็ลืมไม่เหลือ...
มีแต่คนที่ยังไม่ตาย คือ เราๆ ที่เห็นๆ กันอยู่นี่แหละที่ยังอาลัยอาวรณ์ ... แล้วยังคิดถึง...และทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ดังการทำบุญในฮีตนี้ คือ บุญข้าวสาก
อนึ่ง สาก เป็นคำลาว เป็นคำเดียวกับคำไทยเหนือและไทยกลางว่า สลาก หรือ ฉลาก ถ้าท่านยังมึนๆ ยังไม่รู้จักคำนี้อยู่อีก ก็ขอแนะนำให้รอดูวันที่ 1 และ 16 ของทุกเดือน นั่นแหละ สลากหรือฉลาก เป็นคำเดียวกัน
เมื่อมีสลากหรือฉลาก ก็มักมาคู่กับการเสี่ยงทาย คือที่เกิดสลากก็เพราะตัดสินใจไม่ได้ ก็เลยต้องทำสลากเพื่อเสี่ยง แล้วก็...ทาย
การจะเสี่ยงทายมันต้องมีที่ใส่สลาก เพื่อจะได้คน (คำกริยา) หรือทำให้ปนๆ กัน ที่ใส่หรือภาชนะนี้เรียกว่า กรวย
กรวย ลาวเรียก ซวย หรือ กวยกะทอห่าง ทางปักษ์ใต้ เรียก หมฺรับ (ออกเสียง ห นำ ม อ่านว่า หมอ กล้ำกับ รับ อ่านว่า หมรับ แต่เขียน หมฺรับ เพื่อให้อ่านกล้ำกัน ไม่ใช่ หม-รับ)
บุญข้าวสาก ทางเหนือเรียก ตานก๋วยสลาก (ทานกรวยสลาก) ทางใต้เรียก งานชิงเปรต ไทยกลางเรียก บุญสลากภัต
ความสำคัญอยู่ที่ การใส่รายชื่อญาติที่ต้องการให้บุญกุศลไปถึง ... มีคนเปรียบพระเหมือนบุรุษไปรษณีย์ เนื่องจากเป็นผู้นำบุญกุศลไปให้ผู้วายชนม์ ...ก็เห็นได้ชัดจากบุญปางนี้
สมัยนี้ เขาพัฒนาไปถึงขั้นมีระบบโลจิติกส์ (logistics) มีบริการดิลิเวอรี่ (delivery) บุญนี้ก็อยู่ในนัยเดียวกัน คือ มีสิ่งของให้จัดส่ง มีผู้ส่ง มีชื่อผู้รับ ...
แล้วจะให้ส่งไปที่ไหน? มี address ไหม?!
มี...ที่อยู่ของผู้รับที่ระบุไว้ ในบุญข้าวสาก คือ division 3 ในอบายภูมิ
ทราบกันแล้วว่า บุญเดือน ๙ หรือบุญข้าวประดับดิน ส่งไปที่ division 1 ในอบายภูมิ คือ ภูมิของนรก และบุญที่ 10 นี้ ต้องขึ้น (เอ... ไม่รู้ว่า ขึ้นหรือลง ไม่รู้ว่าที่อบายภูมิ...เขานับขึ้นหรือนับลง) เอาเป็นว่า... ต้องขึ้นไปอีก 1 ชั้น คือ ชั้นที่ 3
อนึ่ง คำว่า อบาย หมายถึง ไม่สะดวกสบาย (uncomfortable) คืออยู่แล้วให้อึดอัดขัดข้อง ซึ่งก็คือ อบายภูมิ ๔ : 1. นรก 2. สัตว์ดิรัจฉาน 3. ปิตติวิสัย (เปรต) และ 4. อสูรกาย
ตรงกันข้ามกับ สบาย มาจากภาษาบาลี คือ สัปปายะ หรือ สบาย หรือ comfortable
สัปปายะสภาสถาน คือ ที่ที่ให้ผู้แทนได้อยู่สุขสบาย หากหลับน้ำลายยืดก็อย่าว่ากัน เพราะ พณฯ ท่านได้สนองเจตนารมณ์ในการสร้างแล้ว
คนไตไทยลาว คือ คนพุทธที่เอื้ออาทร ไม่เฉพาะมนุษย์ที่มองเห็นหน้าค่าตากันได้เท่านั้น หากยังเผื่อแผ่ไปถึงผู้ตกทุกข์ได้ยากที่ตามองไม่เห็น ...
คือถ้าทำบุญแล้วได้ผลจริงตามเจตนาแล้ว ด้วยทานบารมีเพียงอย่างเดียว ก็อาจเกือบๆ ฝ่าข้ามห้วงโอฆสงสารได้เลยทีเดียว
ครับ ...จะเรียกบุญข้าวสาก ชิงเปรต ตานก๋วยสลาก สลากภัต ก็มีที่มาและวัตถุประสงค์เดียวกัน และทำในวาระและโอกาสเดียวกัน คือ เดือน ๑๐ ... ดูเหมือนฮีตนี้ ทุกกลุ่มคนจะยังรักษาเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น ก็พอจะมองเห็นความชาญฉลาดของบรรพบุรุษเราแล้ว ฉลาดที่เอาฮีตมาผสมผสานกับความเชื่อทางพุทธ หรือเรียกง่ายๆ ว่า เอามาแหมะไว้กับศาสนพิธี ซึ่งมีส่วนที่ทำให้ฮีตยืนยงมาเท่าทุกวันนี้
คุย บ า ง เรื่อง NONT'S : กับ .... นนท์ T A L K
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (23)
 
เมื่อวานมีผู้ทักว่า ตอนที่ 20 ซ้ำ เลขซ้ำอย่างเดียว แต่เนื้อหาไม่ซ้ำ หมายถึงว่า ผมเขียนจนมั่ว นับเลขซ้ำ ... เลยไม่ทราบจะตามแก้ยังไง เลยทำแบบง่ายๆ คือนับข้ามไป 1 ตอน เมื่อวาน 22 วันนี้ 24 คงจะพอดี...
ฮีตที่ 11 บุญออกพรรษา
บุญออกพรรษา หรือ ออกวัสสา ภายหลังที่พระสงฆ์อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาส หรือ 1 quarter ชาวบ้านก็ได้โอกาสทำบุญให้ทานแด่พระสงฆ์ ส่วนพระสงฆ์ก็ได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา
พิธีของบุญออกพรรษาจะมีการจุดน้ำมัน ไหลเรือไฟเป็นการบูชา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์ที่มีการบูชาไฟต่อพระเจ้าทั้งสาม คือ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์ ... พุทธเรา ก็ adapt ประยุกต์มาเป็นการบูชาพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ในระยะต่อมา มีการแข่งเรือ พ่วงเข้ามา จนเริ่มจะเป็นประเพณีมากเข้าทุกที...แบบที่โฆษณากันว่า....อย่าลืมอย่าพลาด...ชมประเพณีไหลเรือไฟ ...ชมการแข่งเรือพายจาก 3 ลุ่มน้ำ... อะไรทำนองนี้
ไชโย้.... ออกพรรษาแล้วโว้ย....!!!
สมัยเป็นเด็ก ...(ต้องใช้คำนี้บ่อยๆ เพราะผมประทับใจและมีสุขในช่วงเด็ก หลังจากวัยเด็กแล้ว... ก็ไม่มีความสุขแบบนั้นอีกเลย)
สมัยเป็นเด็ก.. ต้องร้องไชโยโห่ฮิ้วกันแบบนั้น เพราะบรรยากาศช่วงเข้าพรรษารู้สึกได้ถึงความเข้มขรึม เคร่งครัด อึดอัด ...ไม่ได้เป็นพระซะหน่อย แต่รู้สึกแบบนั้น...ช่วงเข้าพรรษา ดูมันไม่รื่นรมย์เอาเสียเลย
พระเณรก็เคร่งขรึม ชาวบ้านก็เคี่ยวเข็น เพราะต้อง...รีบนำฟ้า ฟ้าวนำฝน.... แบบเพลง อีสานบ้านของเฮา ของลุงพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา ว่าไว้.... แบบนั้นเลย
แต่พอออกพรรษา เราก็....ม่วนเอ๊ย.....
บรรยากาศมันฟดฟื้นสนุกสนาน แล้วไร่แล้วนา...ยิ่งถ้าปีไหนฝนดี ข้าวในนาเป็นสีทองสุกเต็มทุ่ง..ก็ยิ่งสุขใจ
การทำบุญออกพรรษา...สำหรับผม... ความสนุกอยู่ที่การได้ "จุดกะโพก" หรือจุดประทัด ... นั่นคือสิ่งเดียวที่ประทับใจ ..
จุดประทัดของพวกเรา มิได้จุดเป็นตับ เอาให้หูดับตับไหม้ แบบที่เขาจุด กันที่ตำแหน่งจะเข้าสู่ภาคใต้ แถวๆ ชุมพร หรือที่คนจีนจุดตามศาลเจ้า คือ จุดแบบเศรษฐี จุดทีจุดกันเป็นพันเป็นหมื่นดอก
ไม่... เราไม่กล้าเผาเงินเล่นแบบนั้น แต่เราจะละเลียดจุดทีละดอก ...และนานๆ จุดที เหมือนการกินซี้นหลอด (เนื้อแดดเดียว) มันต้องค่อยๆ ฉีกทีละเส้น...ยัดเข้าปาก ตามด้วยปั้นข้าวเหนียว ค่อยๆ เคี้ยว... ให้น้ำลาย น้ำย่อยวิ่งพรูจากทุกซอกในอุ้งปาก ... นั่นแหละจึงจะรับรู้ได้ถึงความอร่อย
การจุดกะโพกก็เช่นกัน ...ต้องเลือกเอาวาระสำคัญๆ ค่อยจุด...ไม่จุดกันพร่ำเพรื่อ...มันเฝือ... เงินทุกบาทมีค่า...
ขนาดประทัดด้าน คือ จุดแล้วไม่แตก ไม่ระเบิดเป็นฝอย แต่ไหม้จนชนวนกุด พวกเรายังอุตส่าห์ ใช้นิ้วฉีกปากประทัดออก จนเห็นเนื้อดินปืน... แล้วค่อยจุด...ประทัดก็จะลุกไหม้พรึ่บ... อาศัยได้สูดกลิ่นหมื้อ (ดินปืน) ก็สุขใจคนจนแล้ว
บุญออกพรรษา เป็นสัญญาณของความผ่อนคลาย... เพราะจากนี้เป็นต้นไป.... ช่วงเวลาแห่งความสำราญ...ก็จะคืบคลานเข้ามา
ออกพรรษา ลาพระเจ้า... นี่คือสร้อยคำของบุญออกพรรษา ...
ลาพระเจ้า หมายถึง การที่หนุ่มเนื้อหอมตัดใจร่ำลาอีสาว ขอบวชทดแทนคุณพ่อแม่ สัก 1 พรรษา แล้วจะสึกมาอยู่กินกับน้อง...บวชเสร็จ เดินออกจากโบสถ์ ก็เริ่ม countdown ... พอออกพรรษา ก็ถึงเวลาที่ต้องลาพระเจ้า.. .กระปรี้กระเปร่า กระดี๊กระด๊า
ผมคิดของผม...
มนุษย์เรา...มีวิธีสร้างสุขให้กับตัวเองและพวกพ้อง ด้วยการให้ "อั้น" สุข ไว้สักระยะ จากนั้นก็ปล่อยให้คลี่คลาย ผ่อนปรน...ก็จะทำให้รู้สึกว่า ... มีความสุขยิ่งกว่าที่เป็น... สุขกว่าการปล่อยให้เป็นไปเรื่อยๆ เอื่อยๆ
ก็ดูแต่เพื่อนมุสลิม...ชีวิตเขาเคร่งครัดมาทั้งปี พอถึงเดือนถือศีลอด... ชีวิตก็ยิ่งเครียดหนัก..ขนาดน้ำลายก็กลืนไม่ได้....เมื่อทำให้เครียดขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดพีค (peak) คือจุดสูงสุด ... ก็ปล่อยผลัวะ....
หลังศีลอด พวกกินไม่ยั้งปาก... วงนาเสบ...วงดนตรีพื้นๆ ก๊องๆ แก๊งๆ แต่ถ้าฟังหลังศีลอด..รู้สึกมันเพราะพริ้งและสนุกจนลืมโลก..
ศาสนาทุกศาสนา เขามีวิธีและวาระการอั้นสุข... เป็นการหยุดจังหวะให้ศาสนิกของตัวได้ทบทวน ...แล้วจึงปล่อย ...ผ่อนปรน ให้ชีวิตมันไม่แห้งแล้งจืดชืดจนเกินไป
บุญออกพรรษา นอกจากจะนำเอาชีวิตออกจากความเข้มงวดแล้ว ยังเป็นช่วงที่พืชผลที่ปักดำ หว่านไถไว้เริ่มเป็นหมากเป็นผล...ความสุขที่อวลมากับกลิ่นหอมของข้าวเม่าเริ่มโชย....บรรยากาศ... ข้าวใหม่ปลามันช่วงต้นๆ เริ่มขึ้นพอดี
ความเหมาะสม หรือ จังหวะเวลา คือ หัวใจของการจัดวางหรือบรรจุกิจกรรมที่เรียกว่า... ฮีต ๑๒
ทุกกิจกรรมต้องให้สอดคล้องไปกับวิถีของผู้คน และลมฟ้าอากาศ...ต้องไม่ขัดแย้ง
ลองหลับตานึก ...ถ้าเล่นสงกรานต์ฤดูหนาว เอาบุญคูณลานกลางพรรษา หรือเอาบุญข้าวจี่ในช่วงหน้าฝน ... จะรู้ได้ทันทีว่ามันจะติดขัด ไม่สอดคล้อง...
นั่นแหละจึงเรียกว่า ... มันผิดฮีต...

 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (24)
 
ฮีตที่ 12 บุญกฐิน
ถือเป็นอานิสงส์ของพระสงฆ์ที่ได้จำพรรษาครบ 3 เดือน มีการทอดผ้ากฐิน ผ้ากฐิน คือ ผ้าที่ใช้สะดึงเป็นกรอบใช้เย็บจีวร มีจุลกฐิน และมหากฐิน
ผู้ที่มีศรัทธาเฉพาะตน หรือเป็นหมู่คณะ ที่เรียกว่ากฐินสามัคคีต้องปักสลากไว้ในวัดก่อน เป็นการบอกกล่าวล่วงหน้า ให้พระสงฆ์ ได้รู้ว่าจะมีการนำกฐินมาทอด พระสงฆ์จะได้ประชุมกันว่า ผู้ใดสมควรได้รับกฐิน
แล้วเราก็มาถึงฮีตสุดท้าย คือ บุญกฐิน ก็อีกเช่นเคย ... ยังเป็นกิจกรรมอันเกี่ยวแก่พิธีทางพุทธศาสนา ซึ่งผมได้ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ทำให้ฮีตและคองยืนยงมาได้ ก็เพราะแอบอิงอยู่กับพิธีทางพุทธ และรองลงมาคือเกี่ยวแก่ฤดูกาลหรือวาระแห่งวิถีเกษตร ซึ่งก็คือการปลูกข้าว นั่นเอง
ด้วยคนในร่องระหว่างอินเดีย-จีน คือร่องของคนปลูกข้าว และนับถือพุทธ ซึ่ง 2 ลักษณะเด่นนี้มีความสำคัญ... และบุญกฐิน ก็มีนัยสำคัญพอๆ กัน
เอาเรื่องกฐินก่อน กฐินเป็นคำมคธ ตามพื้นเพที่มาของพุทธศาสนา และเขียนเป็นอักษรบาลี ซึ่งหมายถึงอักษรที่ถูกกำหนดบทบาทให้เป็นผู้รักษาคุ้มครองคัมภีร์พุทธศาสน์
ปาล หรือ ปาละ คือ รักษา คุ้มครอง เช่น โคบาล ก็คือคนรักษาคุ้มครองโค ก็เด็กเลี้ยงวัว...แค่แด็กบ้านๆ แด็กเลี้ยงงัวชน ... นั่นแหละ ฝรั่งเรียก cowboy มิใช่คำโก้เก๋อะไร
ในการทำบุญกฐิน มีคำแปลกๆ หลายต่อหลายคำ บางคำพูดแล้วดูขลัง แต่พอรู้ความหมายก็...งั้นๆ ธรรมดา แต่บางคำก็ให้รู้สึกลึกๆ ลับๆ ชอบกล
เริ่มที่คำว่า สะดึง ก่อน ... สะดึงมิใช่คำไทย แต่เป็นคำเขมร สฎึง ก็คือกรอบไม้สำหรับขึงผ้าให้ตึง เพื่อให้ง่ายต่อการปักหรือเย็บ ซึ่งตรงกับอีกคำ คือ กราน หรือกรานกฐิน
กรานก็คือการขึงให้ตึง เท่านั้น และมาจากคำเขมร คือ เกริน
ยังมี... จุลกฐิน คือกฐินที่จัดการให้เสร็จภายใน 1 วัน ตั้งแต่ปั่น ทอ ย้อม เย็บ อีสานเรียก กฐินแล่น ตรงข้ามกับ มหากฐิน ที่ใช้เวลาเตรียมการนาน มีผู้คนร่วมแรงร่วมใจ และได้บริขารมาก อีสานเรียก กฐินฮังโฮม
และคำว่า ปักสลาก ... สลากหรือฉลาก เมื่อวานว่ากันไปแล้ว... แล้วทำไมต้อง "ปัก"
ปัก คือการลอบนำป้ายที่มีข้อความ เพื่อแจ้งแก่ผู้รับสลากว่า ต้องการอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยนำสลากไปวาง อาจปักหรือเสียบ ตรงตามคำนี้ หรือไม่ก็ได้ ให้คนที่ผ่านไปมาได้พบเห็น
การปัก ในอดีต สำคัญนัก... คำนี้มันให้ความรู้สึกที่ลึกลับ มีเลศนัย .... ทำไมไม่บอกกล่าว เล่าแจ้งกันตรงๆ ทำไมต้องลอบเข้าไปปัก เช่น กรณีปักสลากกฐิน...
ในความเห็นของผม การปักคือการทำเล่ห์ หรือเอาเคล็ด ในยุคแรกๆ อาจทำเพื่อไม่ให้พระท่านรู้เนื้อรู้ตัว เพื่อให้ตรงตามพระธรรมวินัย เพราะผ้ากฐิน ห้ามมิให้พระเอ่ยปากขอจากญาติโยม ... จะพูดเป็นนัยๆ ให้โยม get เอง ก็ไม่ได้
คงไม่ใช่ต้องการเซอร์ไพรซ์พระ หรือทำให้พระตกใจเล่น
การปักสลาก เป็นแฟชั่นฮิตอย่างยิ่ง ในช่วงสงครามโลกและหลังจากนั้น.... บ้านเมืองเกิดข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจฝืดเคือง เกิดโจรผู้ร้ายทุกหย่อมหญ้า... หรือที่เรียกว่า ยุคไอ้เสือเอาวา...นั่นเอง
เป็นยุคที่โจรมีคุณธรรม เวลาจะเข้าปล้นบ้านไหน... จะมีสลากปักบอกก่อน... บอกสถานที่และเวลาจะเข้าปล้นพร้อม...
ทำไมมันโง่ยังงั้น ... โจรยุคนี้อาจดิสเครดิตโจรรุ่นปู่.. แต่ขอให้คิดอีกมุม... คือเขามั่นใจในฝีมือและกำลังคน จึงท้าทายอย่างนั้น ... เก่งจริงก็เตรียมตัวสู้ หรือไปแจ้งตำรวจซี...แต่ข้าจะเข้าปล้นละ
การปักสลากจึงดูลึกลับ ... แม้พระสงฆ์เอง เมื่อได้รับสลากแล้ว ก็ต้องตื่นตัว อย่างน้อยก็ต้องเตรียมผู้เตรียมคน เตรียมชาวบ้าน เพื่อรอต้อนรับเจ้าภาพกฐิน อาหารการกินต้องไม่บกพร่อง
และที่สำคัญต้องเตรียมจำนวนพระในวัดให้ครบตามจำนวนที่ระบุไว้ในพระธรรมวินัย
บุญกฐิน ก็ตรงตัว คือ บุญเกี่ยวกับผ้า... กิจกรรมกฐิน ตามศัพท์และประวัติ ทำให้เราเห็นความยุ่งยากในการได้มาซึ่งผ้า
"ผ้า" หรือ แพร เป็นปัจจัยอันสำคัญต่อมนุษย์อย่างมากมาย และเรื่องราวเกี่ยวกับผ้า เป็นเรื่องราวใหญ่โตและสำคัญต่อมวลมนุษยชาติอย่างเหลือคณานับ
ทาส การค้าทาส สงครามกลางเมือง ในสหรัฐฯ การปฏิวัติอุตสาหกรรม ในอังกฤษ การต่อสู้เรียกร้องเพื่อเอกราช ในอินเดีย การประท้วง (สไตรค์) ของกรรมาชีพ ในไทย ชื่อชนชาติชนเผ่า วัฒนธรรมประเพณี ของชาวไต กระทั่ง แฟชั่นและการครอบงำทางวัฒนธรรม ก็ล้วนเกี่ยวแก่ผ้า ทั้งสิ้น!
ผ้า คือ เครื่องนุ่งห่ม จึงเป็น 1 ในปัจจัย สำคัญตามค่านิยมแบบพุทธ
ด้วยผ้ามีคุณค่าและมูลค่ายิ่งในอดีต การทำบุญถวายผ้ากฐินจึงเป็นกิจกรรมอันยิ่งใหญ่ที่พุทธศาสนาให้ความสำคัญ และฮีต ก็จึงบรรจุไว้เพื่อเหนี่ยวดึงผู้คนให้มาร่วมมือร่วมใจกัน โดยใช้ผ้า เป็นเงื่อนไข
แม้ทุกวันนี้ ระบบธุรกิจและเศรษฐกิจจะทำให้เรารู้สึกว่า ผ้า.... หาที่ไหนก็ได้ ...ตลาดโรงเกลือชั่งกิโลขายยังไม่มีคนซื้อ... อย่าได้ดูเบาเรื่องนี้เป็นอันขาด.... ลองถามตัวเองทีว่า เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ใส่ๆ แล้วทิ้งๆ ขว้างๆ กันอยู่นั้น... เราได้จากไหน?
ด้วยตัวของตัวเอง มีปัญญาปั่น ทอ ย้อม เย็บได้สวยงามอย่างที่เป็นอยู่หรือไม่? แล้วที่มีใช้เหลือเฟือเต็มตู้เต็มห้อง มันมาจากไหน....หากมิได้มาเพราะเล่ห์กลทางเศรษฐกิจและธุรกิจ...จึงทำให้ได้มาง่ายๆ
อย่าลืมว่า...ในช่วงสงครามโลก ครั้งที่แล้ว (อย่าคิดว่านาน) คนไทย โดยเฉพาะชาวอีสาน...จะออกจากบ้านไปธุระสำคัญต้องออกไปทีละคน เพราะทั้งบ้านมีเสื้อผ้าอยู่ชุดเดียว ต้องผลัดเปลี่ยนกัน....
ฮีต เป็นสิ่งที่ต้องค้นหาแก่นให้พบ... มันเป็นลายแทง เป็นปริศนา ... อย่าได้คิดตื้นๆ
และอย่าได้คิดเด็ดขาดว่า.... ฮีตเป็นเพียงประเพณี บุญประจำปีประจำเดือน ต้องขวนขวายหามหรสพมาขบงัน ต้องมีวงดนตรีคณะยิ่งใหญ่ หมอลำคณะดัง ยิ่งหมู่บ้านใหญ่ชุมชนใหญ่ต้องจัดงานให้ใหญ่ ให้ดัง... แล้วไง?
So what บักหำ?!
อย่าได้คิดเด็ดขาดว่า บรรพบุรุษของตัวเองหน่อมแน้มงี่เง่า... กลัวลูกหลานไม่มีความสุขสนุกมันส์ เลยจัดให้มีฮีต... เพื่อ entertain มันทุกเดือน...!
ถ้าคุณคิดได้แค่นี้...คุณก็ดูถูกบรรพบุรุษของคุณเกินไปแล้ว!
 

 

 
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔อย่าได้คิดว่ารู้ดี (25)
 
ผมจบเรื่อง ฮีต ๑๒ ไปแล้ว ด้วยการนำเสนอตัวกิจกรรม และความคิดเห็นแบบสะเปะสะปะ พร้อมเรื่องส่วนตัวอันเกี่ยวแก่ฮีต เพื่อให้เห็นว่า ชีวิตของผม และรวมถึงพวกท่านๆ ต่างก็มีส่วนร่วมในกิจกรรมของฮีตไม่มากก็น้อย
ก่อนที่จะไปถึงเรื่อง "คอง ๑๔" ผมขอคั่นรายการสักหน่อย เป็นการหยุดตัวเอง และหยุดท่านที่ติดตามด้วย ....เราจะหยุดเพื่อการทบทวน... หรือหยุดเพื่อท้าทาย...
คำว่า "อย่าได้คิดว่ารู้ดี"...ผมมิได้ก๋ากั่น หรือข่มพวกท่าน...ในทำนองว่า ...ข้ารู้ดีคนเดียว คนอื่นใดในโลกหล้า ...ไม่รู้ดอก
ตรงกันข้าม...ผมบอกกับตัวเอง...บอกว่า อย่าได้คิดว่ารู้ดี หมายถึง... แม้จะรู้ว่าฮีตทั้ง 12 ฮีต มีอะไรบ้าง...แต่มันยังมีอะไรที่ลึกซึ้งซุกซ่อนอยู่...จนเกินกว่าที่เราจะจินตนาการไปถึง...
ผมพยายามเอาตัวเข้าไปอยู่ในใจของคนเมื่อพันปี... ว่าเขาคิด...เขาเห็นอะไร...ทำไมต้องมาวางกฎเกณฑ์แบบนี้... สังคมอื่น บ้านอื่นเมืองอื่นเขามีไหม?
หรือ..มันมีอะไร...บรรพบุรุษของเราถึงได้ทำอะไรแบบนั้น!?
สิ่งที่ผมเห็น และตั้งคำถามต่อฮีต-คอง มีอย่างน้อย 3 ประการ
1. มันอยู่มาได้อย่างไรตั้งพันๆ ปี
2. สังคมที่ยึดถือฮีตคองจะเป็นสังคมแบบไหน?
3. อะไรที่ซ่อนอยู่เบี้องหลังฮีตคอง
ข้อ 1 ผมรู้แล้ว และบอกกับพวกท่านอยู่เป็นระยะ... คือ ที่ระบบนี้อยู่ได้เป็นพันๆ ปี ก็เพราะ... เขาใช้หลัก "2 อิง" คือ 1) อิงพุทธศาสนา 2) อิงการปลูกข้าว...
ด้วยคนไต ไทย ลาว ที่ยึดถือฮีตคอง บางกลุ่มก็ตึง บางกลุ่มก็หย่อน แต่อย่างไรก็ตาม ทุกกลุ่มต่างเป็นพุทธศาสนิกชน และเป็นชุมชนปลูกข้าว เมื่อฮีต ๑๒ ล้อไปกับหลักการพิธีกรรมทางพุทธ และสอดคล้องกับวิถีปลูกข้าว...ฮีต ๑๒ ก็จึงอยู่เคียงคู่กันไปกับคนไตไทยลาว
ตราบใดที่คนในร่องระหว่างอินเดียกับจีน ยังนับถือพุทธและทำนา ตราบนั้น ระบบฮีตคองก็ยังอยู่ต่อไป...
ดังนั้น สิ่งท้าทาย หรือเป็นภัยคุกคาม (threaten) ที่จะทำให้ระบบฮีตคองถึงกับล่มสลาย ก็คือ
1) มีความเปลี่ยนแปลงในการนับถือศาสนา
ศาสนิกอาจเปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาอื่น หรือตัวศาสนาพุทธเอง.. เปลี๊ยนไป๋...เนื้อหาคำสอนถูกบิดเบือน จนไม่เหลือแก่น หรือคำสอนอันแท้จริง ....จนทำให้พุทธบริษัท เสื่อมความศัทธาต่อพุทธศาสนา
2) คนไตไทยลาวเลิกทำนา หรือทำให้การทำนาผิดเพี้ยนไป เช่น การเร่งรัดเพื่อให้ทำนาได้มากกว่า 1 ครั้งในรอบปี
การทำนาหลายครั้ง ตอนนี้ที่ทำได้สูงสุดอยู่ที่ 3 ครั้ง คือที่สุพรรณบุรี ชาวนาที่นั่นได้รับรางวัล เกษตรกรดีเด่น และบริษัทผลิตแทรคเตอร์คว้าตัวไปเป็นพระเอกโฆษณารถไถไปเรียบร้อย
ถามว่า ... การทำนาได้หลายครั้งดีหรือไม่...
ถ้าถามผม และถ้าผมเอาเรื่องฮีตคอง มาจับ... มันก็ผิดฮีตแหงๆ...
เอาแค่ทำบุญคูณลาน ที่ตามฮีต ต้องทำช่วงเก็บเกี่ยว คือเดือน 2 หรือเดือนยี่ ซึ่งก็คือหน้าหนาว
แต่... ช่วงดังกล่าว ชาวนารุ่นใหม่เขากำลังไถเพื่อเตรียมหว่านข้าว มีการระบายน้ำเข้าแปลงนาจนเต็ม .... แล้วลานข้าวที่จะประกอบพิธีจะอยู่ไหน?
ชาวนาทุกวันนี้ไม่รู้จักลานข้าว... เขารู้จักแต่ "มุ้งเขียว" สนามฟุตบอล อบต. รถเกี่ยว รถสี
แล้วไง... ผิดฮีตแล้วไง? มีไร...?!
ก็ไม่ไง... ผิดก็คือผิด ผิดก็คือไม่ดี... ไม่ดีมันก็เป็นผลร้าย... ร้ายต่อใคร... ก็ร้ายต่อคนทำผิด...
ไม่เห็นจะสน... คร่ำครึ..
ครับ...ผิดมันก็คือผิด คร่ำครึไหม? ไม่รู้... รู้แต่ว่า...การตะบันทำนาหลายๆ ครั้ง มันผิดหลักเศรษฐศาสตร์ ผิดหลักดีมานด์-ซัพพลาย...เมื่อผลิตมาก ซัพพลายล้นเกิน ราคาก็ตก ...
ข้าวที่มีความจำเป็นต่อชีวิตคน เมื่อมันมีมากๆ เสียจนล้นโกดังเถ้าแก่โรงสี พ่อค้าส่งออก...
ข้าวจึงถูกกว่าขี้... อย่าหาว่าหยาบ... ขี้วัว ขี้ไก่จากฟาร์มราคาสูสีกับราคาข้าวเปลือกแล้วเวลานี้
ริจะเป็นชาวนายุคใหม่..มันต้องรู้หลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น ...และรู้ด้วยว่า ...เมื่อหลายปีก่อน...เจ้าสัว... เค้าขนลูกไก่นับล้านๆ ตัวไปทิ้งลงทะเล มันเพราะเหตุใด?
Demand, Supply and Price มันสัมพันธ์กันอย่างไร และมันสำคัญเพียงไหน? แล้วที่แข่งกันทำนาปีละ 3 ครั้ง มันบ้าไหม? ไอ้พวกที่เชียร์เยิ้วๆ ให้ปลูกข้าวให้ได้มากๆ ทำหลายๆ crops มันหวังดีหรือหวังร้าย...
แล้ว...มันผิดฮีตไหม? แล้วมันดีไหม?
ที่สำคัญ... แล้วบรรพบุรุษเมื่อพันปีเขารู้... ดีมายด์ ซัพพลาย ...ได้ไง....!!
นั่นสิ... นั่นแหละที่ผมพร่ำพรรณนาว่า....อย่าได้คิดว่ารู้ดี!!
_ _ _ _ _ _ _ _ _
แล้วก็มาถึง ข้อใคร่ครวญของผมในข้อที่ 2 คือ เมื่อสังคมปฏิบัติตามหลักฮีตคอง สังคมนั้นจะเป็นแบบไหน...
1) สังคมนั้นก็มั่นคงในพุทธศาสนา
.... มั่นคงแล้วไง?
เมื่อมั่นคง ... พุทธศาสนิกชนก็จะได้รู้รส และความล้ำลึกของพระธรรม... เพราะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเอกในโลก ..
เป็นเอกที่สอนให้รู้ความจริง...รู้ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ... สรรพสิ่งล้วนเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับบัญชา มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามเหตุตามปัจจัย...
เมื่อพูดเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้า ...ขอแวะข้างทางนิดเถอะ...เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง...
การพูดตามๆ กัน หลงท่องตามหลวงปู่หลวงตา โดยไม่สนใจหลักธรรม พูดแล้วดูเหมือนง่าย... แต่ถ้าเรียนให้รู้กลไกของมัน อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว มันยากโคตรๆ
และนั่นคือเรื่องที่เราชาวพุทธไม่เคยรู้เรื่อง... ปล่อยให้หลวงปู่หลวงตามั่วมาเกือบทั้งชีวิต... จนคนนอกศาสนา คนไม่รู้เรื่องดูถูกว่า ...พุทธเป็นศาสนาแห่งความงมงาย...เป็นจิตนิยม....ก็ดีแต่เพลินกับเปลือก ไม่ใส่ใจเรียนที่พระพุทธเจ้าสอน... ถูกเขาด่าก็สมแล้ว...
มาฟังของจริงดีกว่า... ผมไม่ก๋ากั่น ...แต่ ...ธรรมของพระพุทธเจ้า ...ยิ่งรู้ยิ่งอาจหาญร่าเริง
ขอยกเรื่องพื้นๆ เอาแค่ คำว่า "เหตุ" (อ่านว่า เห-ตุ) เหตุ ๖ เป็นยังไง อะไรประกอบด้วยเหตุ ไม่ประกอบด้วยเหตุ แล้วจะเป็นยังไง อันไหนเป็น นเหตุ ...อันไหนเป็นอเหตุกะ ...เหตุเป็นปรมัตถ์อะไร... เหตุเป็นขันธ์อะไร...
เล็กๆ น้อยๆ หล่านี้ ชาวพุทธล้วนต้องเรียนและต้องรู้... ต้องใคร่ครวญ ซึ่งจะทำให้เข้าใจเรื่อง จิต เจตสิก รูป หรือปรมัตถ์ธรรม...ในที่สุด
เกิดเป็นชาวพุทธต้องได้เรียน-รู้ สิ่งเหล่านี้....เมื่อเรียน-รู้แล้ว ... เราก็จะไม่ทำผิดๆ บ้าๆ บอๆ ไม่นั่งสมาธิ เดินจงกรม ภาวนายุบหนอ..บ้าบอ...มันจะไปรู้อะไร
คิดหรือว่า นั่งสมาธิแล้วจะรู้เรื่องจิต เจตสิก รูป...
ปัญญาคืออะไร เกิดขึ้นได้ยังไง ... นั่งสมาธิมันจะทำให้เกิดปัญญา?! ให้นั่งไปเถอะแสนชาติ... เขาให้เรียนไม่เรียน แต่ดันไปนั่งเฉยๆ แล้วจะทำให้รู้ได้ไง?
แล้วพวกที่มาจากนาซ่า (NASA) บอกตัวเองเป็นพุทธ... บอกได้สมาธิ แล้วทำโน่นทำนี่รับใช้ฝรั่ง...ขออย่าได้เข้าใจผิดว่า คนพวกนี้รู้ธรรมะ หรือที่คนเหล่านี้พูดเป็นเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้า
มันคนละเรื่องกัน... มิจฉาสมาธิไม่มีทางเป็นปัญญาแห่งพุทธะได้... จะใช้สมาธิเพื่อให้เรียนได้เก่ง... หรือคิดประดิษฐ์อะไรที่เหนือคน...ก็ว่ากันไป...แต่... อย่าบอกว่า นี่คือพุทธ นี่คือหลักปฏิบัติของพุทธ... มันผิด
ผิดก็คือผิด!
เมื่อเรามั่นในฮีต ก็เท่ากับเรามั่นใจในพุทธ...แล้วเราก็จะรู้จักพุทธที่แท้ ... ถูกต้อง..ไม่บิดเบือนหลักคำสอน... หรือทำตัวเก่งกว่าพระพุทธเจ้า
_ _ _ _ _ _ _ _ _
มาว่ากันต่อ ข้อที่ 2 สังคมเมื่อปฏิบัติตามฮีต ที่อิงวิถีเกษตร ... สังคมนั้นจะเป็นอย่างไร...
2) การดำเนินวิถีได้สอดคล้องกับฤดูกาลภายใต้วิถีเกษตร
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่...
หลักการของฮีตตามวิถีเกษตร สามารถจะอธิบายความงี่เง่าของโลกปัจจุบันนี้ได้... แต่วันนี้เอาแค่เบาะๆ เบาๆ เรื่องแฟชั่น...
เมื่อเราอยู่ในฮีต ๑๒ คือในรอบปี เราทำตัวให้อยู่ในกรอบของฮีต ... มันจะหล่อหลอมให้คนในสังคมรู้จักหน้าที่ ...
ผู้ชาย ทำนา หมดหน้านาก็รู้จักหาเตรียมการสำหรับการใช้ชีวิต เรียนรู้ทักษะฝีมือ เช่น สร้างบ้าน จักสาน เครื่องมือหากิน ศึกษาวิชาการเพิ่มเติมเพื่อช่วยตัวเอง ครอบครัวและชุมชน สังคม เช่น เรียนรู้การเป็นหมอสมุนไพร
กิจกรรมทั้งหลายนั้น ตอบโจทย์ เรื่องปัจจัย ๔ ได้ถึง 3 อย่างแล้ว คือ ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค
โปรดสังเกต คนที่อยู่ในกรอบฮีต มักเก่งเรื่องจักสาน และในเครื่องจักสาน มันมีสิ่งที่มหัศจรรย์หลายอย่าง มันคือศิวิไลซ์ในมวลมนุษย์ชาติ... เอาไว้โอกาสหน้า...ค่อยว่ากัน
ส่วนฝ่ายผู้หญิง หลังจากเคียงบ่าเคียงไหล่กับชายในงานนาแล้ว เธอมีหน้าที่รับผิดชอบในปัจจัยที่ 4 ที่เหลือ คือ เครื่องนุ่งห่ม
ชนชาติชนเชื้อที่อยู่ในระบบฮีต จะมีภารกิจอันยิ่งใหญ่คือ งานผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ผู้หญิงที่อยู่หน้างานการผลิตเสื้อผ้า คือคนที่มีพัฒนาการทางสมองอย่างสูงสุด ขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้ที่อยู่กับความเป็นจริง ความมีเหตุมีผล คือ มีตรรกะที่ไม่บกพร่อง มีฝีมือ มีศิลปะ มีความงาม และความละเมียดละไม
หญิงโง่และจิตใจชั่วร้าย ไม่มีทางทำงานผ้าได้...
หญิงไตและแม่ญิงลาว ... (ผมไม่ค่อยเชื่อหญิงไทย ว่าจะมีคุณสมบัติในข้อนี้หรือไม่...เพราะหญิงไทย ไม่ค่อยทำงานผ้า ... ขอสงวนไว้ก่อน...) เป็นหญิงที่มีคุณสมบัตินี้
เพราะวิถีไตและลาวบ่มเพาะมาอย่างนั้น ...เลยหน้านา....เสร็จกิจเรื่องข้าวมื้อเช้า... ต้องลงเรือน...มาที่กี่ หรือ หูก...เพื่อทอผ้า จนถึงมื้อเย็น จึงเลิกรา... มันเป็นวิถี
ที่ผมพรรณนาความเลอเลิศของหญิงในงานทอผ้า... ผมมิได้อวยจนเกินจริง...รู้ไหม..ระบบอันซับซ้อนของเส้นด้าย ที่มีทั้งเส้นยืน-เส้นนอน ที่ผสานกันเป็นผืนผ้าและลวดลายนั้น มันวิจิตรพิศดารซับซ้อน ...และนั่นแหละคือพื้นฐานของระบบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์... จนพัฒนามาเป็นระบบไอที (Information Technology)
ในฝรั่งเศส ที่พิพิธภัณฑ์การทอผ้า... อยู่เมืองอะไรก็ลืมๆ ไปแล้ว ถ้าจำไม่ผิด...น่าจะอยู่ในเมืองเดียวกับมองมาร์ต ... แหล่งรวมศิลปะศิลปินตัวเป็นๆ ... นั่นแหละ
ในซอกหลืบมีโรงทอผ้าเก่าแก่ เขาแสดงวิวัฒนาการจากกี่ธรรมดา จนพัฒนาเป็นเครื่องทอ สั่งการให้เกิดเส้นและลวดลายโดยใช้การเจาะรูกระดาษแข็ง ขนาดเท่าซองจดหมาย ... ผู้ที่เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในช่วงปี 2519-20 เวลาลงทะเบียนวิชา เขาจะแจกกระดาษเจาะรูนี้ ให้ถือเดินไปจุดนั้นจุดนี้...นั่นแหละ กระดาษเจาะรู คือ รหัสข้อมูลคอมพิวเตอร์ในยุคเริ่มต้น
แล้วผู้หญิงที่ลงมือทำ prototype หรือต้นฉบับคอมพิวเตอร์อย่างหญิงที่นั่งบนกี่มาเป็นปีเป็นชาติ จะไม่มีความคิดซับซ้อนดั่งสมองกลนี้ได้อย่างไร ... หญิงทอผ้าจึงไม่ใช่คนโง่...ด้วยสมองต้องคิดแบบเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ นั่นเอง
สังคมที่มีหญิงทอผ้าจนเป็นวิถี.. ก็จึงเคารพนับถือผู้หญิง.... ยอมก้มหัวให้พวกเธอ ให้กำหนดความเป็นเชื้อชาติเผ่าพงศ์ ด้วยการเรียกชื่อเผ่าพงศ์เชื้อชาติตามสีเครื่องแต่งกายของผู้หญิง
ไตแดง ไตดำ ไตขาว ไตลาย มาจากสีเสื้อของแม่ญิงในเผ่า ...
และรู้หรือไม่ว่า... การประกวดแฟชั่นที่เก่าแก่ที่สุดในโลกมาจากไหน..? Oh no... it's not Paris...no! No fashion TV... no f....uckin' finale...
งานแสดงแฟชั่นโชว์เก่าแก่ร่วมพันปี มีขึ้นในหมู่ชนชาติในร่องอินเดีย-จีน
เป็นการเดินแฟชั่นโชว์ที่แสดงถึงความเป็นอารยะ เป็นผู้เจริญ สมกับเป็นหัวใจของเผ่าพงศ์โดยแท้...
มิใช่แฟชั่นโชว์ที่รับใช้อุตสาหกรรมแฟชั่น ที่สนองตัณหาความถ่อยหยาบของผู้คนด้อยอารยะ...ที่หากินกับเรือนร่างของเพศแม่ ... ที่ทุกวันนี้ นางแบบไม่รู้จะถอดยังไงแล้ว... เพราะะถอดผ้ามันจนหมดแล้ว... มันเห็นทุกซอกทุกมุมทุกกลีบ.... นั่นน่ะรึผู้เจริญ...
แล้ว... การเดินแฟชั่นโชว์ของผู้เจริญในระบบฮีตคองเขาทำยังไง...
หญิงผู้จะโชว์เสื้อผ้า ต้องเป็นผู้ปั่น ทอ ฟอก ย้อม ตัด เย็บ ปักแส่ว (ถักร้อย) ด้วยมือตัวเอง... เพราะสีสันลวดลายที่ประดับบนปก คอ สาบเสื้อ ผ้านุ่ง ล้วนมีความหมาย
ด้านซ้าย คือ การสื่อถึงทรัพยากรในพื้นที่ ผู้ที่จะปักรูปนก หรือสัตว์อื่น หรือต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ ต้องรู้ที่มาของพืช-สัตว์นั้นๆ รู้ความสัมพันธ์ หรือประโยชน์ต่อผู้คน แล้วบรรยายด้วยน้ำหนัก สีสันของเส้นด้าย
อีกด้าน เป็นรูปงานศิลป์ แสดงวิถี การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม พิธีกรรม ความโอบอ้อมที่มีต่อกัน การทำมาหากินของผู้คน
สรุปง่ายๆ คือ ผู้หญิงที่ทำงานผ้า และถึงขั้นเสนอตัวเข้าประกวด จะต้องรู้ถึง ชุมชนพื้นเพของตัวเอง รู้จักความรุ่มรวยทางทรัพยากรที่สัมพันธ์กับคนในสังคมอย่างลึกซึ้ง ...แล้วผู้หญิงเช่นนี้ ไม่มีคุณค่าต่อสังคมดอกหรือ?
นี่แหละแฟชั่นโชว์ของผู้มีอารยธรรม และเป็นผู้หญิง เป็นแม่ เป็นแม่พิมพ์ให้ลูกๆ และชุมชน
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (26)
 
ฮีต ๑๒ เมื่อกลั่นแล้ว เหลือสารัตถะเพียง 2 อย่าง คือ พุทธศาสนา และการทำนา
พูดอีกอย่าง คือ การทำนามีความสำคัญ... จะเป็นรองก็แต่พุทธศาสนา เท่านั้น
ทำไม... ในการทำนา... ยังมีสิ่งใดที่สำคัญแฝงอยู่อีกหรือ?!
1) หรือว่า บรรพบุรุษของเราอยู่ในโลกเก่า มีแต่การทำไร่ไถนาเท่านั้นที่เป็นรายได้ สายตา (วิสัยทัศน์) จึงคับแคบ...
2) หรือว่า...บรรพบุรุษของเราเห็นว่า.... จะโลกเก่าหรือโลกใหม่... คนมันก็ยังสะแตกข้าวอยู่เหมือนเดิม (สะแตก หรือ สีแตก เป็นกริยา ช่องที่ 2 ของคำว่า กิน หมายถึง รับประทาน) จึงต้องให้ความสำคัญต่อการทำนา
ถ้าเป็นอย่างที่ 2 แสดงว่า การประพฤติปฏิบัติตามฮีต ๑๒ ก็คือ ทำนาให้ตรงตามฤดูกาล ไม่พ้นหรือไม่เลยเดือน คือ ต้องให้ตรงตามตารางเวลา
ทำไม...
เท่าที่นึกได้...
1. จำกัดซัพพลาย (supply) ข้าว ไม่ให้ล้นเกิน จะมีปัญหา เรื่องราคาตามมา
2. ตัดการพึ่งพาจากภายนอก
การทำนาตามฮีต คือ การพึ่งพาตัวเองอย่างที่สุด จะเห็นได้จาก เครื่องมือในการทำนา ไม่ว่า ไถ คราด ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หาได้จากพื้นที่ มีเพียงเครื่องมือที่ทำจากโลหะ เช่น หมากสบไถ หรือผาลไถ และพวกจอบ เสียม เท่านั้น
แต่ก็เป็นเพียงเครื่องมือหยาบๆ ที่เรียนรู้วิธีหลอมละลาย และทำแม่พิมพ์ เท่านั้นก็สามารถสร้างขึ้นเองได้
การพึ่งพาตัวเอง... คำนี้สำคัญ ... การพึ่งพาตัวเอง มิได้หมายความว่า...ไม่พัฒนา
หากเราสามารถผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ให้ทุ่นแรงได้ด้วยตัวเอง จะ high technology เพียงใด ก็ทำได้ ขอให้พึ่งตัวเอง คือ สร้างมันขึ้นเอง ไม่ได้ยืมจมูกคนอื่นหายใจ
บรรพบุรุษไม่ได้จำกัด หรือควบคุม ว่า การทำนาต้องใช้แรงวัวแรงควาย ไถไม้คราดไม้ มีสมองทำเลิศเลอแค่ไหนก็เชิญทำ ...ขอเพียงให้พึ่งพาตัวเอง
อยากได้โดรน (drone) บินโปรยเมล็ดข้าว หรือรดน้ำ หรือเครื่องบินบรรทุกน้ำจากแหล่งน้ำ มาใส่แปลงนา ...มีปัญญาก็ทำไปซี ...แต่ต้องผลิตโดรนหรือเครื่องบินเอง เหมือนที่ถากไม้เหลาไม้ให้เป็นคันไถที่ลงมือทำเอง
ทุกวันนี้ ... มีการเจาะตลาดถึงผู้บริโภคโดยตรง เช่น การผลิตข้าวอินทรีย์ของชาวนายโสธร ที่ผลิตสินค้าพรีเมี่ยม เจาะลูกค้าระดับ A+ ...ก็ไม่ถือว่าผิดฮีต
ตรงกันข้าม ...นี่แหละ คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้าว มีความสำคัญแบบอกาลิโก คือ สำคัญไม่จำกัดกาลสมัย ตราบใดที่คนยังสะแตกข้าว
เปรียบเหมือน "องค์ธรรม" ในพุทธศาสนา ย่อมเป็นจริงโดยไม่จำกัดกาล
"ข้าว" ก็เป็นเช่นองค์ธรรม...คือ จริง และจริงตลอดกาล
หรือนี่คือปริศนาธรรมที่บรรพบุรุษผูกเงื่อนไว้ที่การทำนา ... การทำนาจะเป็นรองก็แต่องค์ธรรมแห่งพุทธศาสนา เท่านั้น!?
การทำนา ในทางกว้าง หมายรวมถึงการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ก็คือ การเกษตร ...
เมื่อข้าว คือ ปริศนาธรรม แล้วการเกษตร ก็ย่อมมีความสำคัญเช่นกัน
การเกษตร ฝรั่งใช่ว่า agriculture ทำไมต้องมีคำว่า culture หรือที่แปลแบบด้านๆ ว่า "วัฒนธรรม"
ทำไม กะอีแค่ปลูกพืช-เลี้ยงสัตว์ ทำไมต้องเป็น culture?
ใช่แต่เท่านั้น...แม้แต่การปลูกพืชเชิงเดี่ยว ฝรั่งมันก็เรียก monoculture ฝรั่งเขาเห็นอะไร? หรือเห็นแบบเดียวกับกับที่บรรพบุรุษของเราเห็น?!...
คือเห็นว่า การเกษตร คือหัวใจของมนุษยชาติ... การเกษตร คือบ่อเกิดวัฒนธรรม
แล้วสมควรหรือไม่...ที่บรรพบุรุษของเรา จะบรรจุการเกษตรลงในฮีต ... และบรรจุซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก
_ _._._
รัฐไทย... ดีแล้วที่เปลี่ยนชื่อโดยเติม "ย" เข้าไป เพราะ "ไท" คือ อิสรภาพ ไม่ขึ้นกับใคร ความหมายดีๆ ไม่ชอบ ...
รัฐไทยได้ทูนหัวยก "การเกษตร" ให้กับฝรั่ง มีฝรั่งควบคุมความเป็นไปทางการเกษตร ตั้งแต่ฝรั่งตั้ง สถาบันอีรี่ (IRRI - International Rice Research Institute) - สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ) ในปี พ.ศ. 2503 ที่ Los Banos (ลอส บันญอส) ฟิลิปินส์ ภายใต้ปีกของบริษัทปิโตรเคมี และผลิตรถยนต์ ฟอร์ด มีมูลนิธิที่กวาดเอาลูกหลานชาวนาไปเรียนวิชาเลียนแบบฝรั่ง และอุปถัมภ์สถาบันการศึกษาด้านการเกษตรของไทย
ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ลูกหลานไทย ซึ่งก็คือลูกหลานเกษตรกรเห่อและแห่กันไปทำปริญญาที่ฟิลิปินส์ ไปก็อปความคิดทฤษฎีลวงจากฝรั่ง แล้วมาเผยแพร่ในหมู่คนไทย
ผมไม่ได้พูดเอง แต่ศิษย์เก่า และอดีตอาจารย์สอนในสถาบันพวกนี้เขาลากไส้ให้ฟัง...
แล้วการเกษตรไทยก็อยู่ในมือฝรั่งตั้งแต่นั้น...
การหักเรื่องแบนสารไกลโฟส่งโฟเสต..กลางวันแสกๆ ท่ามกลางสายตาประชาชี.. อยากบอกว่า นั่นน่ะแค่สิวๆ ... ยิ่งกว่านี้มันก็ทำมาแล้ว...
เพราะเรา... ไม่สนใจฮีต เห็นฮีตเป็นเพียง entertainment เป็นแค่งานวัด...
เกษตรพอเพียง ก็ท่องไปซี ... เกษตรทฤษฎีใหม่ ... ปลูกพืช 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง โคกหนองนา เกษตรผสมผสาน ครูบา ปราชญ์เกษตร ปราชญ์ชาวบ้าน พากันท่องพากันขนมา... เอ้า ต่อให้รัฐมนตรีเกษตรที่ว่าเก่งกาจในศาสตร์พระราชา ขนกันมา.... ไม่มีทางแก้ไขปัญหาทางการเกษตร หรือทำให้เกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ดอก
ในเมื่อทุกอย่างที่เป็นปรากฏการณ์ ของปัญหาด้านการเกษตร... มันแค่เปลือก ... แค่อาการของโรคที่แสดงให้เห็น
ผม ในฐานะลูกชาวนา เป็น FFT รุ่นแรกๆ (Future Farmer of Thailand) ที่ฝรั่งมันจับยัดปากอาจารย์สอนวิชาเกษตร และเป็นคนรื้อปัญหาหนี้สินเกษตรกร ในฐานะสื่อมวลชน
ผม เป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมต่อต้านพืชจีเอ็มโอ จนปฏิทินวิทยาศาสตร์ ปี พ.ศ. 2543 ต้องระบุ... เป็นปีที่ประชาชนไทยร่วมกันต่อต้านพืชตัดต่อพันธุกรรม (GMOs) แทนการประกาศรายชื่อนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นประจำปี อย่างที่เคยกระทำทุกปี
อนึ่ง มีเพื่อนนักเขียนอีสานที่ผมรักเคารพ... แอบมีไปรษณียบัตรสนันสนุนการต้านพืช GMOs ให้พวกเราที่อยู่ส่วนในสุดของการรณรงค์ได้ชื่นใจ... เป็นใครไม่บอก... เจ้าตัวน่าจะจำได้
และผมยังทำและเป็นอะไรอีกหลายอย่าง ถ้าหากจะคุย...
แล้วถ้าผมบอกว่า... ประเทศนี้ดูถูกคุณค่าของการเกษตร ยกการเกษตรให้บรรษัทข้ามชาติ ยกกิจการภายในเกี่ยวแก่การเกษตรให้บริษัทธุรกิจการเกษตร ... มันสมปู๋สมปุ้ย...เหลวแหลกไม่มีชิ้นดี เพราะมันผิดฮีตมาแต่เริ่มต้น... ท่านจงเชื่อผมเถอะ
ก่อนจบสรุปเรื่องฮีต ๑๒ ขอเป็นของแถม (ติ๊ป - tip) ..เพื่อยืนยันว่า ผมไม่ได้โม้ว่าผมรู้เรื่องการเกษตร... (ผมเอาไว้ท้ายๆ เพื่อเป็นของขวัญสำหรับผู้ติดตามจริงๆ)
การเกษตรพันธะสัญญา หรือ Contract Farming) คือเรื่องที่ต้องการบอก...
การเกษตรแบบนี้ แท้จริง มันเป็นการทำธุรกิจแบบตกทอง...มันมาจากสหรัฐฯ ซึ่งตอนที่เขาทำในประเทศต้นแบบ มันโกงเกษตรกรไม่ได้
เพราะเกษตรกรฝรั่ง มันนักเลงจริง เป็นเกษตรกรรายใหญ่ มีที่ดินเป็นพันเป็นหมื่นเอเคอร์ ไม่ใช่มีเป็นบิ้งนาแบบเกษตรกรไทย มันมีอำนาจต่อรอง ...ทำงี่เง่ากับชาวนาไม่ได้ มันจึงเป็น พันธะสัญญาจริงๆ ...ยื่นหมูยื่นแมว
แต่พอตกถึงไทย พ่อเจ้าประคุณ...เจ้าสัวที่อ้าปากเมื่อไหร่ ทั้งนายกฯ รัฐมนตรี ข้าราชการ และประชาชนไทยต้องหูผึ่ง... ฟังและรับไปปฏิบัติ...
บอกก่อน ... ผมไม่ได้อยู่ในขั้วการเมืองงี่เง่าซกมกใดๆ ที่ก่นด่าเจ้าสัวแบบกำปั้นทุบดิน... แล้วให้คนแชร์... ผมไม่ใช่คนทุเรศพรรค์นั้น
เกษตรพันธะฯ คือ การที่บริษัทธุรกิจเกษตรกับเกษตรกร ทำสัญญากันว่า... ในภายภาคหน้า ภายหลังทำสัญญา บริษัทจะขายปัจจัยการผลิต เช่น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ อาหาร ปุ๋ย ยาทั่วไป และยาปฏิชีวนะ ตลอดจนการบริการหลังการขาย ให้ในราคาที่ตกลง
ส่วนเกษตกร เมื่อได้ปัจจัยการผลิตจากบริษัทแล้ว จะขายผลผลิตให้บริษัทในราคาที่ตกลงกัน
ดูแล้ว...เป็นสัญญาที่เป็นธรรมดี ... ในอนาคต สินค้าจะขึ้นจะลงเกษตรกรก็ยังซื้อปัจจัยฯ ได้ในราคาเดิม ตามที่ตกลงกัน และเป็นประกันว่า เมื่อเลี้ยงสัตว์หรือปลูกพืชได้แล้ว มีที่ขายแน่ๆ และได้ราคาที่พอใจ ตามที่ตกลงกันไว้ก่อน
ถ้าโลกสวยงามแบบนั้นก็ดี...แต่โลกแห่งความจริงมันโหดร้ายกว่าที่นึกคิด... เพราะเพียงเซ็นสัญญา มันคือ การที่เกษตรกรเอาคอขึ้นพาดเขียง...
บริษัทเขามีเครื่องประหาร 2 อย่าง
1) อัตราการตาย
2) อัตราแลกเนื้อ
อัตราการตาย คือ บริษัทตั้งเงื่อนไขโดยกำหนดจุดสูงสุดเอาไว้ในสัญญาว่า... เกษตรกรต้องเลี้ยงไม่ให้ตายเกินที่กำหนด (ส่วนใหญ่กำหนดตัวเลขไว้ที่ 5% คือ ใน 100 ตัว ต้องตายไม่เกิน 5 ตัว)
ถ้าตายเกิน... ถือว่าตกเกรด.. จะซื้อในราคาที่ตกลงกันก่อนนั้นไม่ได้
อัตราแลกเนื้อ (Feed Converse Ratio - FCR) เกษตรกรทาสรู้จักในชื่อ ค่า FCR
ค่า FCR คือ เกษตรกร เมื่อเลี้ยงไปแล้วใช้อาหารไป 1 กิโล น้ำหนักสัตว์ที่เลี้ยงต้องได้เท่านั้นเท่านี้ เช่น 5 ขีด (สมมุติ) ถ้าอาหารใช้ไป 1 โล แต่น้ำหนักไม่ได้ 5 ขีด ถือว่า ตกเกรด ...จะซื้อตามราคาที่ตกลงในสัญญาไม่ได้
บริษัทยังมีเครื่องประหารอีกมากกว่า 10 อย่างที่ซ่อนเอาไว้ข้างหลัง ไม่ให้เกษตรเห็นตอนที่จับมือเช็กแฮนด์กัน
นี่เอาแค่เครื่องประหารเด็ดๆ พอเป็นตัวอย่าง และเห็นได้ชัดๆ
อัตราการตาย เปรียบเหมือนเครื่องประหารหัวมังกร ของศาลไคฟง เพราะสัตว์เลี้ยงที่รับจากบริษัท เป็นสัตว์วิทยาศาสตร์ โดนฟ้าโดนฝนนิดหน่อยก็ทำสะบัดร้อนสะท้อนหนาว...แล้วก็...ขาซี่ปางงาง... ตาย
แล้วตัวเลขที่บริษัทกำหนดเอามาจากไหน... เขาก็ดูจากสถิติของเล้าต่างๆ จะให้เกษตรกรทำได้/ไม่ได้อยู่ที่เขา...
ต่อมา... เครื่องประหารหัวสุนัข.... ค่า FCR ...ไอ้นี่ยิ่งร้ายและเลือดเย็นกว่า... มันคือ หัวใจสำคัญที่จะทำให้สัตว์เลี้ยงน้ำหนักได้/ไม่ได้... ทุกอย่างอยู่ที่อาหารสัตว์
อาหารสัตว์ แท้จริงคือบ่อทรัพย์ ที่ไม่มีวันหมดของบริษัท จะตักจะตวงยังไงก็ได้ ทุกเล้า... กระสอบอาหารเปล่าซ้อนทับกันก็เป็นภูเขา
ในสัญญา บริษัทจะมัดมือให้เกษตรกรต้องใช้อาหารของบริษัทเท่านั้น!
แล้ว...การจะให้สัตว์ที่เลี้ยงโตหรือแคะแกร็น มันอยู่ที่ใคร.... แล้วถ้าบริษัทไม่อยากรับซื้อในราคาที่ตกลงกัน ... จะทำได้ไหม?...
ในอาหารสัตว์มีส่วนประกอบประมาณ 23-27 อย่าง เมื่อป่นเป็นผง...ต่อให้แล็บฯ เทวดาที่ไหนก็แยกส่วนประกอบไม่ได้ แล้ว ...สารอาหารจะครบถ้วนหรือไม่...อยู่ที่ความกรุณาปรานีของบริษัท
ผมแค่ยกเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับการทำเกษตร และเห็นว่า.. คอนแทร็คท์ฟาร์มมิ่ง มันอาจทำให้คนโลภตาลุก... แล้วตกเป็นทาสบริษัทได้...เลยยกพอเป็นกระษัย....
ทั้งหมดทั้งมวล เพียงจะบอกท่านว่า ฮีต-คอง มิใช่เรื่องที่จะลบหลู่ดูเบา หรือหัวเราะเยาะ ...มันขึ้นอยู่ที่ปัญญาของคน จะเห็นคุณค่าหรือไม่
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (27)
 
ฮีต ๑๒ เมื่อกลั่นแล้ว เหลือสารัตถะเพียง 2 อย่าง คือ พุทธศาสนา และการทำนา
พูดอีกอย่าง คือ การทำนามีความสำคัญ... จะเป็นรองก็แต่พุทธศาสนา เท่านั้น
ทำไม... ในการทำนา... ยังมีสิ่งใดที่สำคัญแฝงอยู่อีกหรือ?!
1) หรือว่า บรรพบุรุษของเราอยู่ในโลกเก่า มีแต่การทำไร่ไถนาเท่านั้นที่เป็นรายได้ สายตา (วิสัยทัศน์) จึงคับแคบ...
2) หรือว่า...บรรพบุรุษของเราเห็นว่า.... จะโลกเก่าหรือโลกใหม่... คนมันก็ยังสะแตกข้าวอยู่เหมือนเดิม (สะแตก หรือ สีแตก เป็นกริยา ช่องที่ 2 ของคำว่า กิน หมายถึง รับประทาน) จึงต้องให้ความสำคัญต่อการทำนา
ถ้าเป็นอย่างที่ 2 แสดงว่า การประพฤติปฏิบัติตามฮีต ๑๒ ก็คือ ทำนาให้ตรงตามฤดูกาล ไม่พ้นหรือไม่เลยเดือน คือ ต้องให้ตรงตามตารางเวลา
ทำไม...
เท่าที่นึกได้...
1. จำกัดซัพพลาย (supply) ข้าว ไม่ให้ล้นเกิน จะมีปัญหา เรื่องราคาตามมา
2. ตัดการพึ่งพาจากภายนอก
การทำนาตามฮีต คือ การพึ่งพาตัวเองอย่างที่สุด จะเห็นได้จาก เครื่องมือในการทำนา ไม่ว่า ไถ คราด ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หาได้จากพื้นที่ มีเพียงเครื่องมือที่ทำจากโลหะ เช่น หมากสบไถ หรือผาลไถ และพวกจอบ เสียม เท่านั้น
แต่ก็เป็นเพียงเครื่องมือหยาบๆ ที่เรียนรู้วิธีหลอมละลาย และทำแม่พิมพ์ เท่านั้นก็สามารถสร้างขึ้นเองได้
การพึ่งพาตัวเอง... คำนี้สำคัญ ... การพึ่งพาตัวเอง มิได้หมายความว่า...ไม่พัฒนา
หากเราสามารถผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ให้ทุ่นแรงได้ด้วยตัวเอง จะ high technology เพียงใด ก็ทำได้ ขอให้พึ่งตัวเอง คือ สร้างมันขึ้นเอง ไม่ได้ยืมจมูกคนอื่นหายใจ
บรรพบุรุษไม่ได้จำกัด หรือควบคุม ว่า การทำนาต้องใช้แรงวัวแรงควาย ไถไม้คราดไม้ มีสมองทำเลิศเลอแค่ไหนก็เชิญทำ ...ขอเพียงให้พึ่งพาตัวเอง
อยากได้โดรน (drone) บินโปรยเมล็ดข้าว หรือรดน้ำ หรือเครื่องบินบรรทุกน้ำจากแหล่งน้ำ มาใส่แปลงนา ...มีปัญญาก็ทำไปซี ...แต่ต้องผลิตโดรนหรือเครื่องบินเอง เหมือนที่ถากไม้เหลาไม้ให้เป็นคันไถที่ลงมือทำเอง
ทุกวันนี้ ... มีการเจาะตลาดถึงผู้บริโภคโดยตรง เช่น การผลิตข้าวอินทรีย์ของชาวนายโสธร ที่ผลิตสินค้าพรีเมี่ยม เจาะลูกค้าระดับ A+ ...ก็ไม่ถือว่าผิดฮีต
ตรงกันข้าม ...นี่แหละ คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้าว มีความสำคัญแบบอกาลิโก คือ สำคัญไม่จำกัดกาลสมัย ตราบใดที่คนยังสะแตกข้าว
เปรียบเหมือน "องค์ธรรม" ในพุทธศาสนา ย่อมเป็นจริงโดยไม่จำกัดกาล
"ข้าว" ก็เป็นเช่นองค์ธรรม...คือ จริง และจริงตลอดกาล
หรือนี่คือปริศนาธรรมที่บรรพบุรุษผูกเงื่อนไว้ที่การทำนา ... การทำนาจะเป็นรองก็แต่องค์ธรรมแห่งพุทธศาสนา เท่านั้น!?
การทำนา ในทางกว้าง หมายรวมถึงการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ก็คือ การเกษตร ...
เมื่อข้าว คือ ปริศนาธรรม แล้วการเกษตร ก็ย่อมมีความสำคัญเช่นกัน
การเกษตร ฝรั่งใช่ว่า agriculture ทำไมต้องมีคำว่า culture หรือที่แปลแบบด้านๆ ว่า "วัฒนธรรม"
ทำไม กะอีแค่ปลูกพืช-เลี้ยงสัตว์ ทำไมต้องเป็น culture?
ใช่แต่เท่านั้น...แม้แต่การปลูกพืชเชิงเดี่ยว ฝรั่งมันก็เรียก monoculture ฝรั่งเขาเห็นอะไร? หรือเห็นแบบเดียวกับกับที่บรรพบุรุษของเราเห็น?!...
คือเห็นว่า การเกษตร คือหัวใจของมนุษยชาติ... การเกษตร คือบ่อเกิดวัฒนธรรม
แล้วสมควรหรือไม่...ที่บรรพบุรุษของเรา จะบรรจุการเกษตรลงในฮีต ... และบรรจุซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก
_ _._._
รัฐไทย... ดีแล้วที่เปลี่ยนชื่อโดยเติม "ย" เข้าไป เพราะ "ไท" คือ อิสรภาพ ไม่ขึ้นกับใคร ความหมายดีๆ ไม่ชอบ ...
รัฐไทยได้ทูนหัวยก "การเกษตร" ให้กับฝรั่ง มีฝรั่งควบคุมความเป็นไปทางการเกษตร ตั้งแต่ฝรั่งตั้ง สถาบันอีรี่ (IRRI - International Rice Research Institute) - สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ) ในปี พ.ศ. 2503 ที่ Los Banos (ลอส บันญอส) ฟิลิปินส์ ภายใต้ปีกของบริษัทปิโตรเคมี และผลิตรถยนต์ ฟอร์ด มีมูลนิธิที่กวาดเอาลูกหลานชาวนาไปเรียนวิชาเลียนแบบฝรั่ง และอุปถัมภ์สถาบันการศึกษาด้านการเกษตรของไทย
ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ลูกหลานไทย ซึ่งก็คือลูกหลานเกษตรกรเห่อและแห่กันไปทำปริญญาที่ฟิลิปินส์ ไปก็อปความคิดทฤษฎีลวงจากฝรั่ง แล้วมาเผยแพร่ในหมู่คนไทย
ผมไม่ได้พูดเอง แต่ศิษย์เก่า และอดีตอาจารย์สอนในสถาบันพวกนี้เขาลากไส้ให้ฟัง...
แล้วการเกษตรไทยก็อยู่ในมือฝรั่งตั้งแต่นั้น...
การหักเรื่องแบนสารไกลโฟส่งโฟเสต..กลางวันแสกๆ ท่ามกลางสายตาประชาชี.. อยากบอกว่า นั่นน่ะแค่สิวๆ ... ยิ่งกว่านี้มันก็ทำมาแล้ว...
เพราะเรา... ไม่สนใจฮีต เห็นฮีตเป็นเพียง entertainment เป็นแค่งานวัด...
เกษตรพอเพียง ก็ท่องไปซี ... เกษตรทฤษฎีใหม่ ... ปลูกพืช 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง โคกหนองนา เกษตรผสมผสาน ครูบา ปราชญ์เกษตร ปราชญ์ชาวบ้าน พากันท่องพากันขนมา... เอ้า ต่อให้รัฐมนตรีเกษตรที่ว่าเก่งกาจในศาสตร์พระราชา ขนกันมา.... ไม่มีทางแก้ไขปัญหาทางการเกษตร หรือทำให้เกษตรกรมีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ดอก
ในเมื่อทุกอย่างที่เป็นปรากฏการณ์ ของปัญหาด้านการเกษตร... มันแค่เปลือก ... แค่อาการของโรคที่แสดงให้เห็น
ผม ในฐานะลูกชาวนา เป็น FFT รุ่นแรกๆ (Future Farmer of Thailand) ที่ฝรั่งมันจับยัดปากอาจารย์สอนวิชาเกษตร และเป็นคนรื้อปัญหาหนี้สินเกษตรกร ในฐานะสื่อมวลชน
ผม เป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมต่อต้านพืชจีเอ็มโอ จนปฏิทินวิทยาศาสตร์ ปี พ.ศ. 2543 ต้องระบุ... เป็นปีที่ประชาชนไทยร่วมกันต่อต้านพืชตัดต่อพันธุกรรม (GMOs) แทนการประกาศรายชื่อนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นประจำปี อย่างที่เคยกระทำทุกปี
อนึ่ง มีเพื่อนนักเขียนอีสานที่ผมรักเคารพ... แอบมีไปรษณียบัตรสนันสนุนการต้านพืช GMOs ให้พวกเราที่อยู่ส่วนในสุดของการรณรงค์ได้ชื่นใจ... เป็นใครไม่บอก... เจ้าตัวน่าจะจำได้
และผมยังทำและเป็นอะไรอีกหลายอย่าง ถ้าหากจะคุย...
แล้วถ้าผมบอกว่า... ประเทศนี้ดูถูกคุณค่าของการเกษตร ยกการเกษตรให้บรรษัทข้ามชาติ ยกกิจการภายในเกี่ยวแก่การเกษตรให้บริษัทธุรกิจการเกษตร ... มันสมปู๋สมปุ้ย...เหลวแหลกไม่มีชิ้นดี เพราะมันผิดฮีตมาแต่เริ่มต้น... ท่านจงเชื่อผมเถอะ
ก่อนจบสรุปเรื่องฮีต ๑๒ ขอเป็นของแถม (ติ๊ป - tip) ..เพื่อยืนยันว่า ผมไม่ได้โม้ว่าผมรู้เรื่องการเกษตร... (ผมเอาไว้ท้ายๆ เพื่อเป็นของขวัญสำหรับผู้ติดตามจริงๆ)
การเกษตรพันธะสัญญา หรือ Contract Farming) คือเรื่องที่ต้องการบอก...
การเกษตรแบบนี้ แท้จริง มันเป็นการทำธุรกิจแบบตกทอง...มันมาจากสหรัฐฯ ซึ่งตอนที่เขาทำในประเทศต้นแบบ มันโกงเกษตรกรไม่ได้
เพราะเกษตรกรฝรั่ง มันนักเลงจริง เป็นเกษตรกรรายใหญ่ มีที่ดินเป็นพันเป็นหมื่นเอเคอร์ ไม่ใช่มีเป็นบิ้งนาแบบเกษตรกรไทย มันมีอำนาจต่อรอง ...ทำงี่เง่ากับชาวนาไม่ได้ มันจึงเป็น พันธะสัญญาจริงๆ ...ยื่นหมูยื่นแมว
แต่พอตกถึงไทย พ่อเจ้าประคุณ...เจ้าสัวที่อ้าปากเมื่อไหร่ ทั้งนายกฯ รัฐมนตรี ข้าราชการ และประชาชนไทยต้องหูผึ่ง... ฟังและรับไปปฏิบัติ...
บอกก่อน ... ผมไม่ได้อยู่ในขั้วการเมืองงี่เง่าซกมกใดๆ ที่ก่นด่าเจ้าสัวแบบกำปั้นทุบดิน... แล้วให้คนแชร์... ผมไม่ใช่คนทุเรศพรรค์นั้น
เกษตรพันธะฯ คือ การที่บริษัทธุรกิจเกษตรกับเกษตรกร ทำสัญญากันว่า... ในภายภาคหน้า ภายหลังทำสัญญา บริษัทจะขายปัจจัยการผลิต เช่น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ อาหาร ปุ๋ย ยาทั่วไป และยาปฏิชีวนะ ตลอดจนการบริการหลังการขาย ให้ในราคาที่ตกลง
ส่วนเกษตกร เมื่อได้ปัจจัยการผลิตจากบริษัทแล้ว จะขายผลผลิตให้บริษัทในราคาที่ตกลงกัน
ดูแล้ว...เป็นสัญญาที่เป็นธรรมดี ... ในอนาคต สินค้าจะขึ้นจะลงเกษตรกรก็ยังซื้อปัจจัยฯ ได้ในราคาเดิม ตามที่ตกลงกัน และเป็นประกันว่า เมื่อเลี้ยงสัตว์หรือปลูกพืชได้แล้ว มีที่ขายแน่ๆ และได้ราคาที่พอใจ ตามที่ตกลงกันไว้ก่อน
ถ้าโลกสวยงามแบบนั้นก็ดี...แต่โลกแห่งความจริงมันโหดร้ายกว่าที่นึกคิด... เพราะเพียงเซ็นสัญญา มันคือ การที่เกษตรกรเอาคอขึ้นพาดเขียง...
บริษัทเขามีเครื่องประหาร 2 อย่าง
1) อัตราการตาย
2) อัตราแลกเนื้อ
อัตราการตาย คือ บริษัทตั้งเงื่อนไขโดยกำหนดจุดสูงสุดเอาไว้ในสัญญาว่า... เกษตรกรต้องเลี้ยงไม่ให้ตายเกินที่กำหนด (ส่วนใหญ่กำหนดตัวเลขไว้ที่ 5% คือ ใน 100 ตัว ต้องตายไม่เกิน 5 ตัว)
ถ้าตายเกิน... ถือว่าตกเกรด.. จะซื้อในราคาที่ตกลงกันก่อนนั้นไม่ได้
อัตราแลกเนื้อ (Feed Converse Ratio - FCR) เกษตรกรทาสรู้จักในชื่อ ค่า FCR
ค่า FCR คือ เกษตรกร เมื่อเลี้ยงไปแล้วใช้อาหารไป 1 กิโล น้ำหนักสัตว์ที่เลี้ยงต้องได้เท่านั้นเท่านี้ เช่น 5 ขีด (สมมุติ) ถ้าอาหารใช้ไป 1 โล แต่น้ำหนักไม่ได้ 5 ขีด ถือว่า ตกเกรด ...จะซื้อตามราคาที่ตกลงในสัญญาไม่ได้
บริษัทยังมีเครื่องประหารอีกมากกว่า 10 อย่างที่ซ่อนเอาไว้ข้างหลัง ไม่ให้เกษตรเห็นตอนที่จับมือเช็กแฮนด์กัน
นี่เอาแค่เครื่องประหารเด็ดๆ พอเป็นตัวอย่าง และเห็นได้ชัดๆ
อัตราการตาย เปรียบเหมือนเครื่องประหารหัวมังกร ของศาลไคฟง เพราะสัตว์เลี้ยงที่รับจากบริษัท เป็นสัตว์วิทยาศาสตร์ โดนฟ้าโดนฝนนิดหน่อยก็ทำสะบัดร้อนสะท้อนหนาว...แล้วก็...ขาซี่ปางงาง... ตาย
แล้วตัวเลขที่บริษัทกำหนดเอามาจากไหน... เขาก็ดูจากสถิติของเล้าต่างๆ จะให้เกษตรกรทำได้/ไม่ได้อยู่ที่เขา...
ต่อมา... เครื่องประหารหัวสุนัข.... ค่า FCR ...ไอ้นี่ยิ่งร้ายและเลือดเย็นกว่า... มันคือ หัวใจสำคัญที่จะทำให้สัตว์เลี้ยงน้ำหนักได้/ไม่ได้... ทุกอย่างอยู่ที่อาหารสัตว์
อาหารสัตว์ แท้จริงคือบ่อทรัพย์ ที่ไม่มีวันหมดของบริษัท จะตักจะตวงยังไงก็ได้ ทุกเล้า... กระสอบอาหารเปล่าซ้อนทับกันก็เป็นภูเขา
ในสัญญา บริษัทจะมัดมือให้เกษตรกรต้องใช้อาหารของบริษัทเท่านั้น!
แล้ว...การจะให้สัตว์ที่เลี้ยงโตหรือแคะแกร็น มันอยู่ที่ใคร.... แล้วถ้าบริษัทไม่อยากรับซื้อในราคาที่ตกลงกัน ... จะทำได้ไหม?...
ในอาหารสัตว์มีส่วนประกอบประมาณ 23-27 อย่าง เมื่อป่นเป็นผง...ต่อให้แล็บฯ เทวดาที่ไหนก็แยกส่วนประกอบไม่ได้ แล้ว ...สารอาหารจะครบถ้วนหรือไม่...อยู่ที่ความกรุณาปรานีของบริษัท
ผมแค่ยกเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับการทำเกษตร และเห็นว่า.. คอนแทร็คท์ฟาร์มมิ่ง มันอาจทำให้คนโลภตาลุก... แล้วตกเป็นทาสบริษัทได้...เลยยกพอเป็นกระษัย....
ทั้งหมดทั้งมวล เพียงจะบอกท่านว่า ฮีต-คอง มิใช่เรื่องที่จะลบหลู่ดูเบา หรือหัวเราะเยาะ ...มันขึ้นอยู่ที่ปัญญาของคน จะเห็นคุณค่าหรือไม่
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (28)
 
แล้วในที่สุด เราก็มาถึง คลอง ๑๔ ... คงจะอยู่แถวๆ องครักษ์กระมัง...
คอง ๑๔ บางที่เขียนเป็น คลอง ๑๔ บางครั้งก็เห็นเขียนว่า ครอง ๑๔ บางที่ก็ว่ามันกร่อนมาจากคำว่า ครรลอง
สำหรับผม... ไม่คิดยอกย้อนขนาดนั้น ผมคิดง่ายๆ ว่า คอง ๑๔ หรือ ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ มันเป็นคำของไตไทยลาวเมื่อสมัยน่านเจ้า ภาษาสมัยนั้นยังคงความบริสุทธิ์ ยังไม่มีคำต่างชาติต่างภาษามาเจือปน ยังไม่มีการหยิบยืมภาษาอื่นมาใช้ หากจะยืมก็คงยืมภาษาที่อยู่ใกล้ตัว
ใกล้ตัวของคนยุคนั้น ก็คงมีแต่จิ๋นหรือฮั่น แล้วภาษาไตไทยลาวไม่มีตัวกล้ำ คือ ไม่มีกล้ำกับ ร หรือ ล ... จนเรามารู้จักกับขอม ซึ่งทอดเวลามาอีกหลายร้อยปี เราจึงมีกล้ำ ร หรือ ล
ดังนั้น ผมจึงใช้ คอง ๑๔ อย่างน้อยก็เป็นการเคารพต่อบรรพบุรุษ ผู้รังสรรค์คำนี้ขึ้น เช่นเดียวกับคำว่า ฮีต ผมไม่คิดว่า บรรพบุรุษจะไปหยิบยืมใครเขามา... ไม่เชื่อเชิญท่านไปฟัง คลิป (video clip) คนไตพูดคำๆ นี้ ... ..มันกะฮีตคองละว้าสูเอ้ย
ไม่มีหรอก จารีต จาริตะ หรือ ครอง คลอง ครรลอง ... มีแต่ ฮีต กับ คอง
คอง ๑๔ เป็นตัวบทกฎหมาย คำว่า "ตัวบทกฎหมาย" สำหรับคนทั่วไปฟังแล้วเฉยๆ ไม่เห็นมีอะไร ตัวบทกฎหมาย มันก็คือกฎหมายนั่นแหละ เพียงแต่พูดเล่นสำนวน...
แต่สำหรับคนเรียนกฎหมาย ตัวบทกฎหมาย มันคือ ถ้อยคำที่ถูกจัดไว้ ถ้าเป็นประมวลกฎหมาย ก็จะแยกเป็น มาตรา และมีตัวเลขกำกับ เช่น มาตรา ๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ ซึ่งอาจเรียกอีกอย่างว่า ข้อกฎหมาย
อนึ่ง มาตรา ในประมวลกฎหมายทุกประเภท ไม่มีคำว่า "ที่" เช่น มาตรา ๑ ไม่ใช่ มาตราที่ ๑ ผมเห็น ส.ส. ผู้มีหน้าที่ออกกฎหมายบางท่านใช้แบบนั้น เวลาที่ท่านอภิปราย หรือที่ได้พบบ่อยๆ ก็พวกนักอ่านข่าวทางทีวี ชอบพูดผิดๆ แล้วไม่รู้ตัว
ตัวบท หรือ ตัวบทกฎหมาย เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ ใครจะแก้ไขโดยพลการมิได้ แต่ละคำ ล้วนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มันหมายถึง อิสรภาพ และ ผลประโยชน์
คำว่า "และ" "หรือ" แค่ 2 คำนี้สลับที่กัน มันอาจพลิกผัน ให้คนดีๆ กลายเป็นไอ้ขี้คุก หรือทำให้มหาเศรษฐีกลายเป็นขอทาน
นั่นคือความศักดิ์สิทธิ์ หรือพลานุภาพแห่งตัวบท หรือตัวบทกฎหมาย มิใช่เรื่องเล่นๆ
หากจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ถ้อยคำแต่ละคำ ต้องวุ่นวาย เสียเวลา เสียกำลังคน กำลังทรัพย์ และงบประมาณ เพราะต่้องแก้ไขกันในสภาฯ
นี่คือความสำคัญของตัวบท...
แล้วท่านคิดหรือไม่ว่า...ในอดีต เมื่อมีระบบฮีตคอง หรือ ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ พวกเรา ชนเชื้อไตไทยลาว เรามีตัวบทกฎหมาย หรือพูดอีกอย่าง คือ เรามีประมวลกฎหมายใช้กันแล้ว..!!!
ประมวลกฎหมายของไตไทยลาวนี้ ไม่มีคำว่า "มาตรา" หรือ ตัวเลขกำกับ แต่จำแนกไว้เป็น บรรพ หรือ หมวดหมู่ หรือ ประเภท
แต่แม้จะไม่มี คำว่า มาตราและตัวเลข แต่มีการจำแนกไว้เป็นสัดส่วน ไม่ปะปนกัน
ประมวลกฎหมายนี้เรียกว่า ...คอง ๑๔
ผมอยากให้พวกท่านแสดงความยินดี ในความศิวิไลซ์ของชนเชื้อเผ่าไตไทยลาว ... ท่านจะตบมืออย่างออกนอกหน้า หรือเพียงกระหยิ่มในใจ ก็สุดแท้แต่ท่าน (ให้เวลา 1 นาที)
...........
และ... ผมขอให้ท่านลุกและยืนไว้อาลัยต่อการจากไปของภูมิปัญญาทางกฎหมาย ที่เรียกว่า... คอง ๑๔ (เอาซัก 5 นาที)
...............
เพราะเมื่อเราถูกรุกเร้ารุกรานจากฝรั่งตะวันตก เราก็ส่งคนไทยไปเรียนกฎหมายจากฝรั่ง มาให้ทันกับข้อกล่าวหาว่า ... เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ... ปกครองกันแบบบ้านๆ ไม่มีศาล ไม่มีตุลาการ อัยการ ทนายความแก้ต่างในคดี...
โดยจะรู้หรือไม่....ไม่ทราบได้ ว่า เดิมทีเราก็มีระบบกฎหมาย อาจมีมาก่อนที่ฝรั่งจะเลิกนุ่งผ้าเตี่ยว หันไปใส่เสื้อเกราะ ขึ้นหลังม้ารบกัน เสียด้วยซ้ำ
แต่...ด้วยการปกครองที่ใช้วิธียึดครองทำลาย ดูถูกเหยียดหยามชนเชื้อเดียวกัน ทำให้มืดบอด มองไม่เห็นความรุ่งเรืองศิวิไลซ์ในตัวเอง
รัฐไทยได้ใช้กฎหมายที่เลียนกฎหมายฝรั่งมาทั้งดุ้น... ในส่วนที่เป็นกฎหมายเกี่ยวแก่เรื่องแพ่งและพานิชย์ เรื่องเกี่ยวแก่การค้าการขาย การทำธุรกิจ ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ เพราะวิถีชีวิตต่อมา เราได้เดินตามรอยฝรั่ง เอาของเขามาใช้...มันก็เข้ากันได้ดี
แต่ในส่วนอาญาและกฎหมายมหาชน ควรที่จะศึกษาจากของเก่าที่มี แล้วปรับใช้ให้เข้ากับสภาพการณ์ใหม่
หรือแม้แต่กฎหมายวิธีสบัญญัติ หรือกฎหมายวิธีพิจารณาความของเดิม ทุกหมู่บ้านชุมชน เราเคยมีคณะลูกขุน ที่เรียกว่า คณะตุลาการ บ้าง คณะตลาการ บ้าง หรือ เฒ่าแก่ตุลาการ หรือ เฒ่าแก่ตลาการ ที่หมอลำชอบเรียกเพี้ยนเป็น เฒ่าแก่ชราการ และมีองค์คณะพิเศษที่เรียกว่า ... เจ้าโคตร
สิ่งที่เป็นคุณค่าดั้งเดิมเหล่านี้ถูกนักกฎหมายหัวนอกละเลย ไม่แม้แต่จะชายตามอง....
แล้วผลของการใช้กฎหมายแบบฝรั่ง เป็นไง...
ก็ไม่เป็นไง.... ก็แค่นักบิดประจำหมู่บ้านซิ่งมอ'ไซค์ชนเปรี้ยงกับเด็กแว้นที่หัวมุมกำแพงวัด... เป็นความกัน ขึ้นโรงขึ้นศาล ต้องจ้างทนายสู้กัน ...กว่าคดีจะจบ บรรดาไร่นาสาโทที่ใช้ทำกินแต่ครั้งปู่ย่า ถูกนำมาขายถูกๆ เพราะร้อนเงิน ... แล้วก็จนทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย ...คดีจบ ฝ่ายชนะก็ก่อเวร ฝ่ายแพ้ก็พยาบาท ...ไม่มองหน้ากันชั่วชีวิต
นี่คือฤทธิ์เดชของกฎหมายตะวันตก ที่เรียกว่า กฎหมายตาต่อตา ฟันต่อฟัน กูเสียตา กูต้องได้ตาคืน...
แล้ว.... ศาลยุติธรรม ทั้งศาลจังหวัด ศาลแขวง ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เต็มบ้านเต็มเมือง ศาลบางแห่งในอำเภอ มีความสวยหรูและใหญ่กว่าศาลากลางจังหวัด
อัยการ ศาล รวยล้นฟ้า... เพราะถ้าไม่ให้ค่าตอบแทนตามที่พอใจ ท่านเหล่านี้ก็จะ "เป่าคดี" จำเป็นต้องให้อยู่ดีกินดี ไม่อย่างนั้นท่านจะดุและโหดร้าย ...
ด้วยระบบกฎหมายที่เดินตามฝรั่ง ... ศาล อัยการที่ควรจะเป็นผู้ควรแก่การยกย่อง เคารพยำเกรง กลับฟังๆ ดูเหมือนว่า สังคมนี้ต้องเลี้ยงเสือเลี้ยงตะเข้ ศาล-อัยการต้องเป็นเหมือนเสือเหมือนตะเข้....อย่าให้เสือหิวเด็ดขาด
แล้วสังคมที่มีศาลเป็นจำนวนมาก ผู้พิพากษาร่ำรวย อัยการอู้ฟู่ ทนายรวยล้นเหลือ ตำรวจรวยล้นฟ้า.... ขอพวกท่านลองตรองดู...สังคมนั้นมันจะเป็นอย่างไร?!
ผมเห็นศาลจังหวัดที่มีอยู่ตามอำเภอ เห็นเพื่อนทนายเดินลงจากรถหรู หอบครุยเดินขึ้นศาล.... ใจหนึ่ง...ผมอิจฉา
แต่อีกใจ... ผมนึกสมเพชบ้านเมือง สังคม ... มันจะอยู่กันยังไง ...
ในเมื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความร่ำรวย และศาลเจริญรุดหน้า ขยายขอบเขตไปทั่วทุกหย่อมหญ้าเช่นนี้...
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (29)
 
เรื่องความทุกข์ร้อน เพราะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ตามวิถึและกระบวนการของกฎหมายตะวันตก มันเป็นความทุกข์ทรมาน ที่หากไม่ได้กับตัว จะไม่รู้ถึงพิษสงของมัน
คนจีน คนที่รักการค้าขาย รักการทำมาหากิน รักความเจริญก้าวหน้า และร่ำรวย มั่งมีศรีสุข แต่ต้องย่อยยับเพราะคดีความ ถึงกับเขียนคติไว้เตือนใจแก่ลูกหลานว่า ...เป็นคดี กินขี้หมาดีกว่า...
ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง... สมัยที่ผมเป็นทนายฝึกหัด ต้องหิ้วกระเป๋าตามลูกพี่ที่เป็นทนาย ผมโชคดีที่ได้อยู่สำนักงานมีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของเมืองไทย และโชคดีที่ลูกพี่ (ทนายพี่เลี้ยง) ของผมน่าจะเป็นเบอร์ 2 รองจากเจ้าของสำนัก
เรื่องถ่ายทอดประสบการณ์ และการมอบหมายงาน ตลอดจนเทคนิคการว่าความ ผมกับเพื่อนอีกคน ต่างได้รับความกรุณาอย่างยิ่ง วันหนึ่ง หลังจากคร่ำเคร่งเรื่องงาน ลูกพี่นึกครึ้มใจยังไงไม่ทราบ ได้เล่าเรื่องตลกให้พวกเราฟัง ซึ่งมีเรื่องแบบนี้ไม่บ่อยนัก
แกเล่าว่า... เช้าวันหนึ่ง แกไปศาล คู่ความอีกฝ่ายขอเลื่อน ช่วงที่รอขึ้นศาลช่วงบ่าย จึงโต๋เต๋ไปที่สนามหลวง สมัยก่อนศาลจะกระจุกตัวอยู่ที่สนามหลวง และสมัยนั้น ยังมีตลาดนัดสนามหลวง เสาร์-อาทิตย์ ในวันธรรมดาก็มีแม่ค้าขายของเล็กๆ น้อยๆ
และที่ขาดไม่ได้ คือ หมอดูแม่นๆ หรือที่เรียกว่า หมอดูโคนมะขาม เพราะปูเสื่อตามร่มเงาของต้นมะขามรอบสนามหลวง ลูกพี่ผมเลยลองไปนั่งดูหมอเพื่อคร่าเวลาขึ้นศาล...
โดยวางแบงค์ 20 ใส่ฝากระเป๋าเจมส์ บอนด์ของหมอดู เป็นค่าดูหมอ แล้วแบมือให้หมอดู...
หมอพิศเพ่งลายเส้นบนฝ่ามืออยู่นาน แล้วก็ทำหน้ายู่... เหมือนผิดหวังในชีวิต ก่อนจะหยิบเงิน 20 บาทที่ฝากระเป๋า ยัดใส่มือคืนลูกค้า แล้วส่ายหน้า บอก...
"ดวงคุณแย่เอาเหลือเกิน... แย่จริงๆ ผมไม่อาจรับเงินจากคนที่ทุกข์หนักแบบคุณได้ลง..."
"อะไร... มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือหมอ?" ลูกพี่ผมใจเสีย
"ใช่ ดวงคุณแย่เอามากๆ เส้นลายมือของคุณมันบอกว่า คุณต้องเทียวขึันโรงขึ้นศาลทุกวัน ทั้งเช้าทั้งบ่าย แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นอยู่หลายปีทีเดียว...เฮ้อแย่.. ดวงอะไรช่างแย่จริงๆ!"
ลูกพี่ผมฟังเรื่องเศร้าของหมอดูที่อินกับโชคชะตาของลูกค้าแล้วยิ้ม ก่อนจะเอาแบงค์ 20 ใบเดิมใส่ลงฝาเจมส์ บอนด์ แล้วล้วงเอาแบงค์ 500 ยัดใส่มือหมอ ก่อนลุกเดิน
"ขอบใจมากหมอ ผมทำอาชีพทนายความ ถ้าผมมีคดีเยอะอย่างหมอว่า...ปีหน้าผมจะกลับมาสมนาคุณ..."
การเป็นคดีความ มันเป็นความทุกข์ของชาวบ้าน แต่อีกด้านหนึ่ง มันก็สร้างความมั่งคั่งให้แก่บุคลากรที่อยู่ในกระบวนดำเนินการ...
แต่ถึงกระนั้น ....เมื่อผมถามลูกพี่ว่า ถ้าเลือกได้ พี่ยังอยากจะเป็นทนายอยู่ไหม?
แกบอกว่า ถ้าเลือกได้ พี่ขอกลับไปเป็นศุลการรักษ์ ไปไล่จับพวกขนของหนีภาษีในทะเลสนุกกว่า... เป็นทนาย ... วันๆ มีแต่คนหอบความทุกข์มาให้แก้...ประสาทจะกินตาย...
ผมก็จึงชิมรสชาติของอาชีพขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่แค่ 5 ปี... เอาพอได้ป้องกันตัว แล้วก็ตัดสินใจถอดครุยให้เพื่อน แล้วบ่ายหน้าสู่สนามชีวิตสนามใหม่...
ระบบกฏหมายตะวันตก เป็นระบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน อาจารย์ ส.ศิวรักษ์เคยเขียนถึงสาเหตุเอาไว้ว่า เนื่องจากสังคมตะวันตกเป็นสังคมเลี้ยงสัตว์ ต้อนฝูงสัตว์ให้กินหญ้าไปเรื่อยๆ แบบวิถีของคนเร่ร่อน ไม่มีความผูกพันกับผู้คนรายทาง จิตใจว้าเหว่ โดดเดี่ยว
เมื่อปศุสัตว์ไปกินพืชที่เขาปลูกไว้ หรือไปต่อสู้กับสัตว์เลี้ยงของคนอื่น ทำให้บาดเจ็บ ล้มตาย ...
การเรียกค่าเสียหายเพื่อชดใช้จึงเรียกเอาตามพอใจ สาสมกับที่เสียหาย หรือเกิดเจ้าของไร่เจ้าของสวนทำร้ายสัตว์ที่ต้อนไป ... คนต้อนสัตว์ก็เรียกค่าเสียหายจนพอใจเช่นกัน เพราะต่างก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน
จึงเรียกว่า ระบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ...เสียตาต้องได้ตาคืน...
ต่างจากกฎหมายของชาวตะวันออก ที่เป็นสังคมกสิกรรม คือ สังคมปลูกพืช คนพวกนี้อยู่ติดถิ่น จึงรู้จักมักคุ้นกับเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี ซ้ำยังเคยเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข เอื้อเฟื้อต่อกันมาก่อน
การบาดหมาง หรือขัดผลประโยชน์จึงมีน้อย และถึงมีก็ไม่ใช่ความประสงค์ของฝ่ายใด แต่เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย หรือเป็นการเข้าใจผิดมากกว่าเจตนา
เมื่อเกิดข้อพิพาท หรือเกิดการประทุษร้ายต่อกัน และต้องตัดสินความ จึงเป็นไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ... เกิดความเกิดคดีกันแล้ว ยังสามารถคืนดี หรือกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้
ระบบกฎหมายของแต่ละสังคม มันจึงสะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมนั้นๆ มันอาจเหมาะสม เป็นเหตุเป็นผลสำหรับสังคมหนึ่ง แต่อาจเป็นผลร้ายต่ออีกสังคมหนึ่ง แบบที่เรียกว่า ผิดฝาผิดตัว
เมื่อเราเป็นสังคมกสิกรรมคือปลูกข้าว หรือแม้จะทำการเกษตร คือมีการเลี้ยงสัตว์ด้วย แต่เราก็ยังอยู่ติดถิ่น มีฐานที่อยู่ถาวรมั่นคงและมีสังกัด คือ ชุมชน เมื่อนำกฎหมายระบบตะวันตกมาใช้โดยไม่คัดสรร หรือพิจารณาของเดิมที่เคยมี....สังคมจึงวุ่นวายระส่ำ และส่งผลกระทบต่อเรื่องร้ายๆ อื่นๆ ตามมา
และคดีส่วนหนึ่งก็เป็นคดีแบบที่คนจีนเรียกว่า คดีเจียะป้าบ่อสื่อ คือ คดีสัพเพเหระ (มโนสาเร่) หาประโยชน์อันใดมิได้ เหมือนคนที่กินข้าวแล้วไม่มีอะไรทำ ซึ่งควรจะจบที่หมู่บ้าน ไม่ควรให้เป็นคดีรกโรงรกศาล เช่น คดีนักบิดประจำหมู่บ้านกับนักแว้น ที่ผมยกตัวอย่างเมื่อวาน เป็นต้น
คอง หรือ ฮีตคอง หรือระบบกฎหมายที่บรรพบุรุษเราสร้างขึ้น ไม่ใช่ของเก่าคร่ำครึ มิใช่ฟอสซิล ที่รอวันย่อยสลายอย่างใครๆ เข้าใจ ...
ความดีงาม ความสุข ความสมัครสมานสามัคคี ไม่เคยเก่า คร่ำครึ หรือล้าสมัย...
ผมยืนยันเรื่องนี้มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ตั้งแต่ชาวบ้านในเวิ้งหนองหานชวนทำ...โรงเรียนฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ที่ริมฝั่งหนองหานกุมภวาฯ
และชาวบ้านให้ผมรับหน้าที่ผู้อำนวยการโรงเรียน ....ย่อยซะที่ไหน!!
แม้เราจะช่วยกันพายไม่ถึงฝั่ง... ด้วยสาเหตุ...ที่ผมอ่อนแอ ไม่สู้ให้ถึงที่สุด ... ผมเหนื่อยหน่ายกับการเขียนโครงการเสนอองค์กรเงินทุน... โดยงานของเราเป็นงานเย็น ไม่หวือหวา และยังต้องสู้กับความคิดที่ดูเบาเรื่องฮีตเรื่องคอง ... ผมจึงขอหยุดโครงการ
แต่... ไม่นานปี หลังจากนั้น รัฐบาล สปป.ลาว ภายใต้ความเห็นชอบจากรัฐสภา ได้มีรัฐดำรัสให้ทุกชุมชนใน สปป.ลาว ให้นำกฎหมายที่มีอยู่เดิมกลับมาใช้ใหม่ เพื่อให้คดีความจบที่ชุมชน
แล้ว...กฎหมายเก่าที่มีอยู่เดิมของชุมชน คือ อะไร ถ้ามิใช่ระบบฮีตคอง ของดีของบรรพบุรุษ
เอาที่ใกล้ตัวเข้ามาอีกหน่อย .... ผมเห็นข่าวทางทีวีเมื่อไม่กี่ปี... ชาวบ้านได้นำระบบฮีตคอง และกระบวนการพิจารณาคดีแบบดั้งเดิม ในรูปของคณะตุลาการ หรือเฒ่าแก่ตลาการ มาใช้ในชุมชน ชื่อหมู่บ้าน.... ผมนึกชื่อไม่ออก... เป็นชื่อพยางค์เดียว ในอำเภอน้ำพอง จ.ขอนแก่น
ผมเห็นข่าวก็ได้แต่เอาใจช่วย... ภาวนาให้ประสบความสำเร็จ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นกันจะจะ ว่า...ฮีตคอง can never die!!!
ฮีต คอง ไม่มีวันตาย
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (30)
 
ท่านที่เป็นเซียมวย ไม่ว่าเซียนมวยตู้หรือประเภทเซียนเกาะขอบสนาม คงจะจับสังเกตได้ว่า บทสองบทที่ผ่านมา ผมเอาแต่วน แล้วพิงเชือก เด้งเชือก โชว์สายตา... ไม่เข้าทำเสียที...
วนออกข้างแล้วก็ออกมาเต้นย็อกๆ แย็กๆ อู้ ทู่ซี้ เหมือนรอเสียงระฆังให้หมดยก
ผมขอสารภาพว่า...ใช่ ผมชกอู้ไปจริงๆ
แต่ยืนยัน... ผมไม่ใช่มวยล้มต้มคนดูแน่ๆ เพราะขณะที่ฉากหลบเด้งเชือกอยู่นั้น ผมก็ออกแย็ป...เก็บคะแนนไปบ้างเหมือนกัน
โดยพยายามจะให้พวกท่านเห็นถึงความสำคัญของ คอง ๑๔ ว่า มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์เพียงใด ที่สังคมโบราณของเรา มีประมวลกฎหมายใช้แล้ว
ฮีต ๑๒ อย่างที่ผมบอก... ใครก็รู้และเด็กก็ท่องได้ แต่... คอง ๑๔ มันหาตัวบท หรือเนื้อหา (text) จริงๆ หาได้ยากยิ่ง
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมันเป็นตัวบท หรือเป็นถ้อยคำสำนวนในภาษากฎหมาย ทำให้ยากในการถ่ายทอดออกมาเป็นสื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของกลอนลำ - คำผญา
ฮีต ๑๒ นั้น หาได้เกลื่อนกล่น... หมอลำกลอนเขาว่ากลอนอ้อยส้อยในทำนองลำยาว มีมากมายนัก เพราะเรียนลำ ถ้าไม่ท่องกลอนฮีต ๑๒ ความอาลัยอาวรณ์ด้วยผูกพันและมีประสบการณ์ร่วมกิจกรรม ในรูปของงานประเพณี บุญ 12 เดือน...ก็เท่ากับไม่ได้เป็น...หมำลอ...หมอลำ
แต่กับคอง ๑๔ หมอลำทำได้เพียงเกริ่น... เปลือกของมัน ทำนองว่า... ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ฮีตยี่คองเจียง ฮีตบ้านคองเมือง ฮีตเจ้าคองขุน ฮีตพระคองสงฆ์ ฮีตผัวคองเมีย ฮีตใภ้คองเขย .... แล้วก็เลียบๆ เคียงๆ ข้างๆ คูๆ
ผมพยายามตามหา ... คอง ๑๔ นานหลายปี ...
ทั้งในห้องสมุด และสำนักพิมพ์ที่ตั้งปณิธานและอุทิศตน เพื่อการจารึก (พิมพ์หนังสือ) เกี่ยวแก่วัฒนธรรมอีสาน ไม่ว่า... ศิริธรรม ออฟเซ็ท อุบลราชธานี ของพ่อปรีชา พิณทอง คลังนานาธรรม ขอนแก่น ...แต่...ไม่มีคอง ๑๔
ตลอดจนพวกหนังสือเล่ม จากสำนัก สวิง บุญเจิม อุบลฯ เจ้าของสโลแกน... "นำฮอยตา วาฮอยปู่" พิมพ์หนังสือหลายเล่มเกวียน... แต่ไม่มี คอง ๑๔
อีกเจ้าหนึ่งเป็นหนังสือเล่มเหมือนกัน ชื่อ ประเพณีอีสาน ของ สีน้ำ จันทร์เพ็ญ (ตอนนี้ผมชักเลือนๆ ว่า ท่านเป็นสีน้ำไหน? ระหว่าง สีน้ำ ไวตารอน กับ สีน้ำ ไวคุล เพราะโฆษกอีสานมี 2 สีน้ำ คนหนึ่งเป็นคนปลุกปั้น ทองใบ จันทร์เหลือง ให้เป็น จินตหรา พูลลาภ อีกสีน้ำ เป็นนักการเมือง ผู้ศรัทธาบทบาทอุดมการณ์ของ นายอุทัย พิมพ์ใจชน ถึงกับลาออกจาก สมาชิกสภาเทศบาลกาฬสินธุ์ ลง ส.ส. สมัยที่นายอุทัยยังเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง แต่... สอบตก
สีน้ำ จันทร์เพ็ญ ซึ่งผมสับสนว่าเป็นสีน้ำไหนนี้ ... สมัยเป็น ส.ท. มีผลงานชิ้นเอกที่มาก่อนกาล คือ โครงการปลูกผักหวาน และฟาร์มมดแดง ... ซึ่งหลังจากนั้นหลายสิบปี ชาวโซเชียลเพิ่งงัวเงียและฮือฮากัน แต่ใน พ.ศ. นั้น เขาถูกหัวเราะเยาะ
หนังสือ ประเพณีอีสาน ของสีน้ำฟาร์มมดแดง หรือ สีน้ำ จันทร์เพ็ญ เป็นหนังสือขายดี จนถูกมิจฉาขีพก็อปปี้ใส่รถออกเร่ขายตามหมู่บ้านอีสาน ผมเองก็เป็นเหยื่อคนหนึ่ง ...แต่ในนั้นไม่มีเรื่อง คอง ๑๔
แม้แต่โฆษกดัง ดอนเจดีย์ (สวาท ศรีอุดร) ผมลงทุนไปนอนเฝ้าที่บ้านใกล้ถ้ำเอราวัณ เพื่อขโมยหนังสือที่ท่านมีเป็นตั้งๆ ก็ไม่มี คอง ๑๔
ผมข้ามโขงไปที่ฮ้านหนังสือข้างน้ำพุ ค้นทั้งร้าน ก็ไม่มี คอง ๑๔ ... ไปหาเอื้อยดวงเดือน บุนยาวง วีรวงส์ ค้นทั่วร้านหนังสือ ก็ไม่มี คอง ๑๔
สอบถามเอื้อยดวงเดือนถึงงานปริวรรตใบลาน ของพี่สาวท่าน เอื้อยดารา วีรวงส์ ก็ไม่มี คอง ๑๔
เหนื่อยหน่าย...
ไหนเห็นพูดกันนักหนา ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ จะหาที่พออ้างอิงทำยา..ก็ไม่ได้
ในที่สุดก็หันหน้าเข้ากองหนังสือของตัวเอง (ผมไม่มีชั้นใส่หนังสือโก้เก๋แบบนักเขียนคนอื่นๆ) คุ้ยๆ ดู ก็ไมมี ...กำลังจะเลิกล้มความตั้งใจอยู่แล้วเชียว นึกอะไรขึ้นมาขึ้นได้ ... จึงลองไปดูชั้นเก็บของที่ระลึก...
ก็เลยเจอหนังสือที่พี่อู๊ด... อรรถวิบูล ศรีสุวรนันท์ หัวหน้าเก่า สมัยที่ทำงานที่ศูนย์ข้อมูลอินโดจีน ...
จำได้ว่าแกเคยฉวยหนังสือที่พ่อท่านเขียนไว้ แอบเอามาให้ตอนที่พ่อเดินเหิรไม่คล่อง เพราะความชรา ... เลยลองเปิดดู...
ถ้าเป็นอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คงร้อง ยูเรก้า... เราพบแล้ว!! แต่นี่เป็นลาว...เลยร้อง...ฮ่วย...ข้อยพ้อแล้ว!!!
พ่อพี่อู๊ด คือ... นายนิวัติ พ. ศรีสุวรนันท์ (พ. คือ พูนศรี ... เต็มๆ คือ นิวัติ พูนศรี ศรีสุวรนันท์ ท่านอธิบายถึงที่มาของชื่อกลาง.... แต่ผมลืมไปแล้ว)
เรามาเสียเวลากับนักปราชญ์อีสานอีกสักคนดีไหม...
นายนิวัติ เคยเป็นข้าราชการ ตำแหน่งคลังจังหวัด แปลกมาก ... ข้าราชการที่ทำเกี่ยวกับตัวเลขมักสนใจเรื่องศิลปวัฒนธรรม อย่าง ไพบูลย์ แพงเงิน ที่ตามสัมภาษณ์หมอลำแล้วเขียนเป็นหนังสือระดับคลาสสิค ขณะที่ผมยังไม่งัวเงีย หรือสนใจอะไรๆ ที่เป็นอีสาน
ถ้าจำไม่ผิด ...ท่านไพบูลย์ น่าจะเป็นคลัง หรือไม่ก็พาณิชย์จังหวัด... มองอีกมุม ตำแหน่งพวกนี้ น่าจะว่างมาก เลยพากันหาอะไรทำ...
แล้วต่อมา นายนิวัติก็เป็น ส.ส. ของร้อยเอ็ด ... นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับที่รู้ว่า...ท่านเป็นลูกบ้านหนองหมื่นถ่าน อ.อาจสามารถ ร้อยเอ็ด ... หมู่บ้านนี้มีอะไรดีหนอ...ท่านมหาสิลา วีรวงส์ ก็เกิดที่บ้านนี้
หนังสือของท่าน... บรรจุตัวบท หรือ ถ้อยคำสำนวนกฎหมาย ที่จำแนกไว้เป็นบรรพ เช่น บรรพ ปาลกะธรรม เป็นต้น
ผมอ่านแล้ว... รู้ได้ทันทีว่า... นี่คือแก้วแห่งวงการประวัติศาสตร์กฎหมายของไทย หรือของชนเชื้อไตไทยลาว...
แม้ถูกเหยียบจนฝังจมโคลน... เมื่อแงะแซะดินและคราบไคลออก ผัดด้วยผ้าขี้ริ้ว ... ความสุกสว่างแห่งปัญญาก็เรืองโรจน์พลัน...
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (31)
 
ผมคงดราม่ามากไปหน่อย... เรื่องตามหา คอง ๑๔ เพื่อนที่ที่ทำงานเก่า อ่านโพสต์แล้วคงหมั่นไส้ ...
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะศึกษาศาสตร์ อดีตครูคณิตศาสตร์แต่ชีวิตพลิกผันให้ไปเป็นนักข่าว... ทุกวันนี้คงใกล้ๆ จะได้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์แล้วกระมัง เห็นอยู่โยงนั่งเฝ้าสำนักมาหลายปีดีดัก ขณะที่คนอื่นต่างทยอยกันหารังใหม่ ... จนสื่อกระดาษ อย่างหนังสือพิมพ์วาย และพะงาบๆ หายใจรวยริน ... เขาก็ยังมั่นคงอยู่ที่เดิม...
จะไม่ให้เข้าใจว่ามีเจตนาจ้องจะเป็นเจ้าของ...ก็ไม่รู้จะให้เข้าใจว่ากระไร...
เขาทักว่า...ไอ้ที่ผมดราม่า...เสาะหาตัวบทคอง ๑๔ แบบพลิกแผ่นดินน่ะ นักศึกษา มข. ระดับปริญญาตรี เขาเรียนเป็นวิชาเลือก ... ชื่อวิชา อีสานคัลเจอร์ สอนโดย ดร.อุดม บัวศรี ...ชิลๆ ไม่ใช่ของหายาก...
ผมตื่นเต้นกับข่าวนี้... ทั้งๆ ที่ต่อมความตื่นเต้นมันชำรุดมานาน.. แต่พอถามว่า เรียนกันยังไง อาจารย์ใช้อะไรสอน เขาตอบว่า...อาจารย์ไม่ได้ใช้หนังสือ แต่สอนกันในรูปแบบการเล็กเชอร์
และเมื่อถามว่า พอจะจำเนื้อหาที่เรียนได้ไหม... เขาตอบ... จำไม่ได้ ก็มันตั้ง 40 ปีมาแล้ว...
เออ..ผมก็เพิ่งรู้ตัว ว่าเรามันแก่แล้ว... แต่ก็ดี อย่างน้อยก็พอได้เบาะแส และดีใจที่ฮีตคอง ยังมีคนใส่ใจและสอนกันในมหาวิทยาลัย
แต่... ผมเดาเอาว่า คงเรียน-สอนกันแบบพอรู้ และแน่นอน...คงไม่ศึกษาในเชิงนิติศาสตร์ หรือถือว่าคอง ๑๔ เป็นกฎหมาย เพราะสอนในคณะศึกษาฯ
และสมัยนั้น มหาวิทยาลัยต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดภาคอีสาน ... เขาไม่ยอมให้มีคณะนิติศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ ...
แต่ก็ดี... คงเป็นหน้าที่ที่ผมต้องตาม...เป็นหนังภาคต่อ...
ที่จริง ผมตั้งใจว่า ในบั้นปลายชีวิต ผมจะขับรถไปนอนตามหมู่บ้านในประเทศไทย ให้ครบทุกหมู่บ้าน โดยสอบถามชาวบ้าน... เพื่อบันทึกประวัติของหมู่บ้าน...แบบว่า นอนวัน-คืนละหมู่บ้าน ครบ 70,000 หมู่บ้านเมื่อไหร่ ผมถึงจะยอมละสังขาร
คราวนี้คงต้องต่ออายุสำหรับใช้ตามหาคอง ๑๔ อีกสักปีสองปี
ฮีต มี 2 แบบ คือ ฮีต ๑๒ อย่างที่จัดงานบุญ ที่เราทราบ แต่ยังมีฮีตอีกแบบ คือ ฮีตที่ใช้คู่กับคอง ๑๔ คือ เวลากล่าวถึงคอง มักจะใช้ฮีตเคียงคู่ เช่น ถ้าจะกล่าวถึงวิธีปฏิบัติสำหรับ "เจ้า" ก็จะใช้เป็น ฺฮีตเจ้าคองขุน เป็นต้น
การเติมคำว่าฮีตเข้าข้างหน้าในคอง ๑๔ ไม่ได้มีความหมายใดๆ แต่เติมเพื่อให้หนักแน่นขึ้น ให้ดูขลังขึ้น เป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น เท่านั้น
คอง ๑๔ แท้จริงก็คือ การจัดความสัมพันธ์ของคนในสังคม ซึ่งจำแนกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เจ้า พระสงฆ์ และประชาชน
เจ้า อาจหมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในแต่ละหมวดหมู่หรือระดับ ถ้าเป็นเจ้าในระดับประเทศ เจ้าก็หมายถึง เจ้าชีวิต หรือกษัตริย์
แต่ถ้าเป็นระดับเมืองก็คือเจ้าเมือง เป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ก็ได้แก่หัวหน้าของหมวดหมู่นั้นๆ
แต่ตามความหมายและในตัวบท หมายเฉพาะ เจ้าชีวิต
คองสำหรับกษัตริย์ เป็นการกำหนดหน้าที่ว่า เมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว มีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง เช่น ต้องแต่งตั้งเหล่าเสนาอามาตย์ เป็นอันดับต้นๆ
คองสำหรับพระสงฆ์ นอกจากจะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกแล้ว พระสงฆ์ในสังคมไตไทยลาว ยังต้องทำพิธีตามฮีต ๑๒ และขจัดปัดเป่าความทุกข์ร้อนแก่ราษฎรไปพร้อมๆ กันไปด้วย
คอง ๑๔ ว่าด้วย ฮีตพระคองสงฆ์ กำหนดหน้าที่ให้พระต้องทำหน้าที่นอกเหนือจากพระธรรมวินัย คือ ให้บริการประชาชน
คอง ๑๔ น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระแบบเถรวาท ในสังคมไตไทยลาว เป็นพระที่ใกล้ชิดชาวบ้านมากกว่าพระในศาสนาพุทธลัทธิอื่น และพระในประเทศอื่นนอกเหนือจากไตไทยลาว
เมื่อชาวบ้านมีความทุกข์ร้อน พระต้องร่วมทุกข์ไปด้วย แม้ยามศึกประชิด พระก็จำเป็นต้องปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ให้เป็นขวัญกำลังใจสู้ศึก ชาวบ้านเจ็บป่วย ก็หาเงินหาทองช่วยสร้างโรงพยาบาล น้ำท่วมก็ช่วยตั้งเตาผัดข้าวห่อแจกจ่าย เป็นต้น
และด้วยวัตรปฏิบัติที่ถือตามคอง ๑๔ นี่เอง หากถือเคร่งตามพระธรรมวินัย ก็จะเห็นว่า ...พระทำนอกพระธรรมวินัย ไม่ใช่กิจของบรรพชิต ทำตัวไม่สมแก่สมณสารูป ....
รากเหง้าของเรื่องนี้ จึงมีที่มาจากคอง ๑๔ นี่เอง
สำหรับคองของประชาชน เรื่องนี้ดูเหมือนจะสำคัญยิ่งกว่าคองของเจ้าและคองของพระสงฆ์... เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวของคนในสังคม
เมื่อสังคมพัฒนาเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคตามก้นตะวันตก ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน ยุคที่สตรีอ้างความเสมอภาคทัดเทียมผู้ชาย ... คอง ๑๔ จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก ถึงขนาดกล่าวหาว่าคร่ำครึ ล้าสมัย เป็นฟอสซิล
คองสำหรับประชาชนนั้น มีความละเอียดแยกย่อยเป็นอันมาก เช่น ฮีตปู่คองย่า ฮีตตาคองยาย ฮีตพ่อคองแม่ ฮีตป้าคองลุง ฮีตใภ้คองเขย ...
ลงรายละเอียดถึงระดับในห้องนอนอย่าง ฮีตผัวคองเมีย
และ ฮีตผัวคองเมีย นี่เอง ที่คนในยุคนี้รับไม่ได้ และชาว gender หรือชาว feminists หรือผู้เรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมของสตรี เป็นเดือดเป็นแค้นมากถึงมากที่สุด คือ เรื่องที่ฮีตผัวคองเมียกำหนดให้...
เมียต้องกราบเท้าผัวก่อนนอน...
 
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ (32)
 
เมื่อวานมีปัญหานิดหน่อย เกี่ยวแก่เครื่องมือสำคัญ คือ โทรศัพท์ หรือเปรียบไปก็เหมือนโรงพิมพ์ ที่ทำให้ผมในเวลานี้ มีสถานภาพเสมอด้วยเศรษฐีพันล้านหมื่นล้าน ที่เขามีฐานะตั้งโรงพิมพ์ และผลิตบรรดาสื่อกระดาษเมื่อในอดีต.... ศักยภาพเช่นนั้นตกอยู่ในมือผมแล้วในเวลานี้
ผมจะไม่พลาดโอกาสนี้เลยเด็ดขาด... จำได้ว่า สมัยที่ได้รับเข้าเป็นพนักงานของสำนักๆ หนึ่ง เข้าทำงานวันแรก...ผมเดินพล่าน ไปมันเสียทั่ว...ตั้งแต่กองบรรณาธิการ ที่มีตั้งแต่บรรณาธิการ หัวหน้าข่าว นักข่าว รวมถึงฝรั่ง แขก พม่า ฟิลิปินส์ ที่อยู่ฝ่ายบรรณาธิกรณ์ (sub-editor) ฝ่ายผลิต อันประกอบด้วย คนเรียงพิมพ์ คนปั่นหัว (หัวข่าวที่ใช้พาดหัว) คนปะหน้า กอปปี้บอย ทะลุถึงห้องมืด ล้างรูป ล้างโบรไมด์ อัดฟิล์ม ห้องเพลท และโรงพิมพ์
ผมเห็นตั้งแต่ตอนที่ข่าวยังเป็นวุ้น จนไหลออกมาเป็นกระดาษ พร้อมวางแผง และเรียนรู้ได้ภายในไม่เกินชั่วโมง
ผมออกจากห้องเพลทที่คลุ้งด้วยกลิ่นน้ำยาสารเคมี แล้วสูดลมหายใจ... บอกตัวเอง...กูก็ทำได้นี่หว่า และผมก็เชื่อของผมแบบนั้น...และขวนขวายเพื่อจะได้ทำหนังสือพิมพ์ของตัวเอง
แต่อย่างที่คติคนอีสานที่ว่าไว้... ความคึดมีบ่แพ้ ทึนซิค้าบ่มี... ไอเดียมีเป็นพะเรอเกวียน แต่ขาดเงินทุน...มันก็จอดสิครับพี่น้อง... แต่ผมก็ยังเฟีย... เลียบๆ เคียงๆ และชีวิตทั้งชีวิต ไม่เคยห่างจากกลิ่นน้ำหมึก...
และแล้ว... วันนี้ คนป่าก็มีปืน!!
โปรดระวัง... คนป่าก็คือคนป่า มันยิงดะไม่เลือกเป้า... ลูกหลงอาจพลาดได้ บางครั้งอาจไป... คิดตุ่มน้อย (สะกิดปมด้อย) ของท่าน...ขอได้โปรดอภัยคนป่าด้วย...
มาว่าเรื่องของเราต่อ....
วานซืนผมได้ทิ้งปม เรื่องที่คอง ๑๔ บัญญัติไว้ว่า .... ก่อนนอนทุกคืน เมียต้องมีขันดอกไม้ขอขมาผัว แล้วกราบตีนผัว ก่อนนอน...
ข้อความนี้ ผมเห็นแว้บๆ ในนิทรรศการถาวร ของ "ศูนย์ ๓ วัย" ที่บ้านหนองบอน ต.หนองบอน อ.โกสุมพิสัย มหาสารคาม อันเป็น 1 ในพื้นที่วิจัย ที่ผมทำวิจัยให้กับคณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล
นิทรรศการนี้จัดทำโดยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ไม่แน่ใจว่าเป็นคณะใด... ที่ผมบอกว่า เห็นแว้บๆ ก็เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงจบโครงการ นิทรรศการเพิ่งมาจัดแสดง ผมเองก็วุ่นวายเรื่องเอกสาร... ภายในห้องก็ยังมีไฟไม่พอ... แต่จำได้แม่นว่า...มีข้อความดังว่า
เหตุเพราะ "ศูนย์ ๓ วัย" ต้องเกี่ยวข้องด้วยเรื่องครอบครัว คือ คน 3 รุ่น รุ่นปู่ย่าตายาย รุ่นพ่อรุ่นแม่ และรุ่นลูก ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวจึงเป็นงานของศูนย์
และเมื่อศูนย์นี้อยู่ในภาคอีสาน ก็จึงขาดเสียมิได้ที่จะต้องนำเอาหัวใจของการจัดความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวมาจัดแสดง
การกำหนดให้เมียต้องนำดอกไม้บูชาผัวและกราบเท้าก่อนนอนทุกคืน... มันคือรูปธรรมของการแสดงออกถึงการเคารพอย่างสุดจิตสุดใจต่อผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว
ครอบครัวจะเดินหน้าไปได้ก็ด้วยมีผัวเป็นหัวหน้า หรือที่ภาษิตไทยที่ระบุว่า ...เมียคือช้างเท้าหลัง
การฟันฝ่าอุปสรรคในการครองเรือนเป็นเรื่องสำคัญ อุปสรรคหรือความขัดข้อง ไม่พร้อมของคนในอดีตมีอยู่อย่างมากมาย...เกินกว่าที่คนยุคนี้จะจินตนาการไปได้ถึง...
ยกตัวอย่าง...เอาในยุคใกล้ ที่ผมมีชีวิตได้เห็น ไม่ต้องย้อนไปไกลถึงยุคปฐมกาล (premitive) หรือยุคที่ต้องหักร้างถางพง ให้กลายเป็นแปลงนา
ครอบครัวอยู่ใกล้บึงใหญ่ พ่อออกแรงขุดบ่อปลา ... จอบสับลงทีละฉึก โกยใส่บุ้งกี๋ ที่บรรจุได้อย่างมากไม่เกิน 5-6 ก้อน เดินขึ้นบันไดดิน ที่เหมือนทางขึ้น-ลงของนักสำรวจทางโบราณคดี... ยิ่งขุดลึก บันไดดินก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ ไม่นับรวมความลื่นจากน้ำที่ซึม ที่ทำให้ขั้นแต่ละขั้นเหมือนเอาจาระบีเทราดไว้
บุ้งกี๋เดียวช้าไป ต้องใช้หาบ ไม้คานไม้ไผ่ธรรมดาที่ใชัหาบน้ำหาบหาบข้าวมันบางไป ต้องใช้คานไม้เนื้อแข็ง ประเภทประดู่หรือพะยูง ทำแบนก็ไม่ได้ รับน้ำหนักดินไม่ไหว ต้องทำเป็นกลมๆ แล้วเวลาที่มันกดลงบนบ่า มันเหมือนเอาไม้ทุบตี ...ดินสักกี่หาบจึงจะได้บ่อปลาขนาด 4x8 เมตร ลึก 3 เมตร
บ่อเดียวไม่พอ... เผื่อปีไหนแล้ง ไม่ได้ข้าว ต้องมีปลาสำรองไว้แลกข้าว ต้องขุดเพิ่มอีกบ่อ...
ขณะนั้น ผู้เป็นเมียต้องทำยังไง... เธออยู่บ้านดูแลลูกๆ และเตรียมกับข้าวกับปลาแล้วหาบไปส่งผัว ... กับข้าวมีแต่ปลาทูแห้งกับแจ่วปลาร้า ...โปรตีน ไขมัน วิตามิน... ไม่ต้องพูดถึง รอให้บ่อเสร็จแล้วค่อยกิน...
กว่ามาจะถึงที่ทำงาน ผัวเหงื่อโทรมกาย เห็นลูกเมียโผล่พ้นหัวโค้ง...ห่างร่วมกิโล รีบวางจอบ บุ้งกี๋ วิ่งไปแย่งหาบจากเมีย แถมยังคว้าเอาลูกคนเล็กขึ้นกระเตงที่สะเอวอีก
ถึงบ่อ เมียจะลงไปใช้จอบขุดช่วย ...ผัวร้องปราม... อย่าเลย เดี๋ยวลื่นล้ม แค่ดูแลลูกก็หนักพอแล้ว รีบขึ้นมาเข้าร่มดีกว่า พ่อทำอีกสักอาทิตย์ก็เห็นหน้าเห็นหลังแล้ว
ขณะกินปลาทูแห้งกลั้วแจ่วผง ... เมียก็แจ้งข่าวว่า มีคนจะขายควายเพิ่งแตกหนุ่ม ให้ไปยืมเงินพ่อตาไปซื้อไว้ เดี๋ยวคนอื่นจะซื้อตัดหน้าไปเสียก่อน
ควายหนุ่มยังไม่เป็นคราดเป็นไถ ต้องใช้เวลาฝึก (แอบ) มันยุ่งยากตั้งแต่ข่มขืนโคเขา...สอดเหล็กนำเชือกเข้ารูจมูกมัน เพื่อสนตะพาย แล้วยังต้องปล้ำฟัดกับมันกว่ามันจะเดินตามร่องไถ รู้จักทก รู้จักทื้น รู้จักนาบ
นี่ผมยกตัวอย่างของผู้ทำหน้าที่ผัวที่
มีที่มีทาง มีบ่อปลา ที่เตรียมไว้สำหรับจับไปขาย เพื่อใช้จ่ายในครอบครัว และเหลือเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาให้ลูกๆ
แล้วคนที่ไม่มีปัจจัยการผลิตแบบครอบครัวนี้ ...คนเป็นผัวจะต้องลำบากสักเพียงไหน?!
แล้วในปีที่นาแล้ง ข้าวขาดแลงแกงขาดหม้อ... ผัวต้องดิ้นรนสารพัด....
นี่คือฉากเล็กๆ ของคนในยุคพ่อแม่เรา.... แล้วถ้าย้อนไปสักร้อยสักพันปี คนในสมัยนั้นต้องลำบากลำบนเพียงไหน... แล้วใครที่ต้องแอ่นอกรับภาระ.... ผัว!
การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต... แล้วใช้ปริบทปัจจุบันเข้าจับ...มันไม่แฟร์
คนสมัยนี้...เป็นพวกที่อยู่ในโครงครอบที่ฝรั่งได้นำฮีตคองของเขามาสถาปนาลงบนแผ่นดิน... แล้ววิถีฝรั่งก็ราดรดลงกบาลของพวกเรา ให้ต้องอยู่ในวิถีแบบเขา ...(นี่ผมเว้นที่จะบอกว่าเราสูญเสียอะไรไปบ้าง)
จนเกิดมีชนชั้นกลาง คนเหล่านี้ได้เผยอผยอง มีการศึกษา มีแนวคิดแบบฝรั่ง มีวิถีชีวิตที่ดูเหมือนสะดวกสบาย แต่ในความเป็นจริง ... ต่างก็ก้มหน้ารับใช้ทุน เพื่อให้ได้เงินเดือนยาไส้เดือนชนเดือน... ทั้งๆ ที่ต่างก็นอนบนหล่มเหวที่ปกปิดลาดด้วยฟูกสปริง แต่... ไร้รากไร้ฐาน...
ฝรั่ง ถอนหายใจเฮือกแรงๆ... ก็สะเทือนถึงตัวเลขในบัญชีธนาคาร แล้วต่างก็หน้าเหี่ยวหน้าแห้ง... ผลจากพิษต้มยำกุ้ง... Hamburger Crisis... Subprime (mortgage) Crisis ...COVID-19 ต้องหน้าซีดหน้าเซียวไปตามๆ กัน
แล้วใครที่รับภาระ....ค้ำจุนสถานะประเทศ... ก็คือการเกษตร ... การเกษตรที่เป็นมรดกจากมือด้านเป็นหนังส้นเท้าของบรรดา "ผัว" เมื่ออดีต... นั่นเอง
แล้วการที่บรรพบุรุษบัญญัติให้... เมียกราบเท้าผัวก่อนนอน.... มันหนักหนานักหรือ เป้าประสงค์ของการบัญญัติเช่นนั้น เขาต้องมีเหตุผล...
รู้ไหมว่า ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่เราเข้าไม่ถึง เข้าใจไม่ได้....มีอีกเป็นอันมาก อย่างเรื่องคะลำ หรือ กึด ในภาษาเหนือ (คำนี้ ผมอาจผิด) คือเรื่องต้องห้าม หรือไม่ควรปฏิบัติ เช่น ...
กินข้าวแล้ว อย่าต่าวเลียตอง อุทกในนที อย่าตีเฟือนฟ้ง อย่าได้นอนหงายหน้า แลดูคมดาบ อย่าได้คาบจู้ เมียเจ้าบ่ควร... (จู้ คือ นม) ... มันต้องมีอะไรลึกซึ้งถึงขั้นก่อเป็นจิตใต้สำนึก... เขาจึงห้าม...การที่เมียกราบผัว... ก็เช่นกัน
อย่าได้คิดแต่เรื่องได้เปรียบเสียเปรียบ สิทธิหญิง-ชายในวิถีที่ Washington Consensus ประสิทธิ์ประสาทเป่ากระหม่อมนักเลย... ผู้ชายไทย (ในอดีต) เขาเสียสละ เทอดทูนทะนุถนอมผู้หญิง ปากกัดตีนถีบบ่าแบกหลังหนุน แอ่นอกรับคมหอกคมดาบมาเท่าไรต่อเท่าไร.... โดยไม่คิดจะลำเลิกบุญคุณ...
การวิพากษ์ เปรียบเทียบคนต่างวิถี ต่างยุค ต่างสถานการณ์ ต่างปริบท ... แล้วตัดสิน...มันไม่แฟร์
การรื้อฟื้นฮีตคอง ไม่ได้หมายความว่าต้องทำแบบคนในอดีต แต่เอาสารัตถะ...หรือแก่นมาปรับใช้
ถ้าเห็นสิ่งใดที่มันเข้าไม่ได้กับยุคสมัย เราก็ละเว้นสิ่งนั้น.... ไม่ใช่ตีขลุมเหมารวมว่าคร่ำครึ แล้วเขี่ยทิ้งทั้งฉบับ
ควรคิดบ้างว่า... เป็นเรื่องประเสริฐเพียงใดที่ ชนชาติชนเชื้อหนึ่ง เมื่อพันปี สามารถสร้างกฎ กติกา ระเบียบทางสังคมให้เป็นปทัสถาน (norm).... มองไม่เห็นความอุดมรุ่มรวยทางวัฒนธรรมบ้างเลยหรือ ที่เมื่อพันปี เรามีประมวลกฎหมายใช้กันแล้ว...
ถ้าผู้ปกครองในยุคหลังสนธิสัญญาเบาริ่ง (พ.ศ. 2389) จะหันมาใส่ใจต่อฮีตคอง ที่บรรพบุรุษสร้างไว้ แล้วอ้างกับตะวันตกว่า เรามีประมวลกฎหมายตั้งแต่ฝรั่งยังนุ่งผ้าเตี่ยว และปรับปรุงให้ทันสมัยตามกฎหมายตะวันตก ...การกดดันด้วยเรือปืน... ไม่ยอมขึ้นศาลไทย ขอมีอภิสิทธิ์ ด้วยการใช้สิทธิสภาพนอกอาณาเขต ...
จริงอยู่ อาจยับยั้งนักล่าอาณานิคมไม่อยู่ .... แต่อย่างน้อยก็ทำให้พวกนั้นเห็นว่า เรามีขื่อมีแป มีระบบกฎหมายของเดิม และเสริมด้วยกฎหมายใหม่แบบตะวันตก
แต่เรา...ไม่มีสิ่งใดอ้างอิง เพราะละเลย เห็นว่าคร่ำครึ
ผมเคยฟังทัศนะของมันสมองของม็อบ...บางม็อบ... ที่กำหนดแนวทาง โดยมุ่งที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของศาลไทย แล้ว.... ทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นง่อย ขาดการยอมรับจากนานาประเทศ (ทั้งๆ ที่เราเขี่ยทิ้งกฎหมายดั้งเดิมอย่างฮีตคอง ...แล้วหันไปร่ำไปเรียนกฎหมายตะวันตก และใชัระบบยุติธรรมตามรอยเท้าตะวันตกทุกประการ) แต่....
แต่... คนอยู่เบื้องหลังและเป็นขุมมันสมองยังต้องการดิสเครดิตระบบศาลไทยให้ขาดความน่าเชื่อถือ...ขนาดให้ฝรั่งกลับไปใช้สิทธิสภาพ
นอกอาณาเขต ไม่ยอมให้คนของตน และคนไทยที่อยู่ในอารักขา (protectorate/subject) ขึ้นศาลไทย...
อีก 2-3 วัน ... ข่าวใหญ่ที่จะเกิดขึ้น... คือ จิ๊กซอว์ 1 ชิ้น ที่จะประกอบขึ้นเป็น การดิสเครดิตระบบศาลของไทย... ต้องช่วยกันจับตา...
ผมเขียนเรื่องฮีตคอง ด้วยผมมีมุมมองที่เห็นคุณค่าที่บรรพบุรุษ... ที่วางโครงสร้างทางการเมือง ให้ทุกชนชั้นได้มีความรอบรู้เท่าทันกัน เดินไปพร้อมๆ กันทั้งสังคม...
คนที่คิดระบบฮีตคอง มิใช่คนที่จะถูกดูเบาหรือเมินเฉย ระบบฮีตคองคือความศิวิไลซ์ด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์
มีสังคมใด... ที่กำหนดบทบาทหน้าที่ และจัดความสัมพันธ์ของคนในสังคม และคนในสังคมต่างยอมรับ และท่องจำ เล่าขาน ประพฤติปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้...
เมื่อเอา...spirit ของฮีตคองมาจับสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบัน ...จึงเห็นความเบี่ยงเบน... ความสับปลับ
พรุ่งนี้ ...เราควรเข้าถึงตัวบทของคอง ๑๔ กันเสียที...
ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ : อย่าได้คิดว่ารู้ดี (จบ)
 
ผมมีปัญหาในการนำเอา "ตัวบท" หมายถึง ตัวมาตราที่เป็นถ้อยคำสำนวนกฎหมายที่บัญญัติไว้ ออกมาให้เห็นกัน
หนังสือที่ปราชญ์ท่านรวบรวมไว้ อย่าง พ่อนิวัติ พ. ศรีสุวรนันท์ ผมก็น่าจะทำหายไปแล้ว หรือไม่ ... ปลวกก็คงกำลังนำไปศึกษาที่เมืองปลวก
คือ ช่วงที่ผมเขียนรายงานวิจัยบั้งไฟ ผมนำเรื่องจากหนังสือไปใช้ แล้วต้องเดินทางในภาคอีสาน จากเหนือถึงใต้ จากตะวันตกถึงตะวันออก การเดินทางบ่อย ในอีกทางหนึ่ง มันก็เพิ่มอัตราการเกิดอุบัติเหตุให้มีมากขึ้น ... ต่อให้มือเนี้ยบ สายตาดีแค่ไหน ก็ต้องเจอเข้าสักวัน และเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ก็จำเป็นต้องย้ายเอกสาร สัมภาระ
รถ อันเป็นบ้านหลังที่ 2 ก็ต้องเข้าอู่ซ่อม นั่นประการหนึ่ง
ส่วนอีกประการ คือ ผมย้ายบ้านบ่อย เอกสารจึงตกหล่นระหว่างการย้าย
อย่างสุดท้าย คือ ศัตรูของชาติ ...ปลวก
ปลวกบ้านผมเป็นปลวกมีการศึกษา และรสนิยมของมันออกจะเอียงซ้ายนิดๆ คือมันชอบกินหนังสือการเมือง ไม่เลือกเก่าหรือใหม่ ผมรวบรวมนิยายเรื่อง "แม่" ที่เขียนโดย แม็กซิม กอร์กี ได้ 2 เวอร์ชั่น ภาษาไทยและภาษาลาว กำลังตามหาภาษารัสเซีย
ผมอุตส่าห์เหมาร้านในเวียงจันทน์ ขนข้ามโขง ลงเรือที่ท่าเสด็จ สมัยที่ยังไม่มีสะพาน ได้มาเป็นลัง มันกินเกลี้ยง ทั้ง 2 เวอร์ชั่น
มันคงชอบกระดาษเก่า... ไม่หรอก โฉมหน้าศักดินาไทย ของเก่ามันกินไปแล้ว เมื่อเขาพิมพ์ใหม่ เปลี่ยนปก ร้านเขาหุ้มปกพลาสติกให้ด้วย ซื้อแล้ววางไว้ ยังไม่เก็บเข้าชั้น มันเล่นไปครึ่งเล่ม และยังเล่มอื่นๆ มันก็กิน .... อย่างว่า มันเลือกกินแต่หนังสือที่เอียงไปทางซ้าย
ผมอุตส่าห์พิมพ์ไว้ในงาน วิจัยบั้งไฟ บ้างเล็กน้อย เอาเฉพาะตัวบทเกี่ยวกับการพนัน ส่วนในงานโครงการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ ลูกทุ่งอีสาน ซึ่งมีตัวบทเรื่อง คอง ๑๔ จำนวนมาก เพราะมันเกี่ยวโดยตรง
งานทั้งหมดเก็บไว้ในโน้ตบุ๊ค และยังเผื่อเหนียว เก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ (external hard disk)
จะขึ้นรถไปส่งงาน วางโน้ตบุ๊คไว้กระโปรงหน้า ลืมกุญแจ กลับไปเอากุญแจรถ พอเปิดประตูได้ ก็ขับบึ่ง รีบไปส่งงาน พอเลี้ยวโค้งภูหงส์ รถสะบัด ดีว่าเป็นโค้งซ้าย เจ้าแล็ปท็อปที่เปลือยกระเป๋าถูกสาดไปทางขวา ดีว่าหล่นลงถนน ถ้าสาดไปทางด้านซ้าย มันคือเหว แต่มันก็เละ
ครั้นหันไปพึ่งฮาร์ดดิสก์ ก็มีมดเข้าไปทำรัง ไล่ออกแบบยกครัว เปิดดูเหลือแต่ความว่างเปล่า
คือ ทั้งหมดนี่ ผมจะรายงานท่านว่า หนังสือตัวบทคอง ๑๔ หาย งานในโน๊ต บุ๊ค หรือแล็ปท็อป...เจ๊ง และความหวังสุดท้าย ... ฮาร์ดดิสก์ก็พัง
แล้วจะทำยังไง...
ผมปลุกปล้ำหาวิธี ตั้งแต่เขียนบทที่ 20 กว่าๆ ที่ทำยึกยัก เด้งเชือก ... คือรอปาฏิหาริย์ แต่..ไม่เป็นผล...จนถึงวันนี้ สุดจะยื้อแล้ว
เลยต้องสารภาพตรงๆ ...หาไม่เจอครับ
แต่...
แต่ยังมีโชคอยู่หน่อยนึง... ตอนที่ผมลองเข้าไปดูงานวิจัยบั้งไฟ ในเว็บไซต์ของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนันฯ ผมเหลือบไปเห็น คำนำ ที่ผมสาธยาว่า... คนอีสานไม่ใช่คนชอบการพนัน ในอดีตถึงกับตั้งข้อรังเกียจเรียกนักพนันว่า "ขี้" เช่น ขี้โบก ขี้ไพ่
แล้วก็จ๊ะเอ๋เข้าจนได้..... แต่ก็มีน้อยนิด
มีน้อยกินตามน้อย....ดีกว่าไม่มีเอาเสียเลย
ในประมวลกฎหมายโบราณ เข้าใจว่า ผู้เขียนคงแปลงจากภาษาไทน้อยเป็นความอีสาน ... หัวข้อนี้ชื่อว่า ปาลกะธรรม ในบรรพที่ว่าด้วย ผัวเมีย
ในหัวข้อนี้ ได้กำหนดวิธีคุมประพฤติของเขยไว้ใน ฮีตเข้าคองเขย โดยจำแนกพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของเขยเป็น 8 ลักษณะ
ในทุกลักษณะ ได้กำหนดระวางโทษไว้ตั้งแต่ขั้นต่ำ คือ สั่งสอน ให้เรียกเงิน "เงินตราเบี้ยบาท" ให้ยกขันดอกไม้และเทียนคู่ ขอสมมาต่อเจ้าโคตร
ส่วนลักษณะที่ 7 และ 8 ถือว่าเป็นโทษสูงสุดของคนเป็นเขย มีโทษ คือ "ขับหนีโลด"
โทษหนัก คือ ขับหนีโลด นี้เป็นโทษสำหรับ เขยนักการพนัน....
ขับหนีโลด คือ ให้เฉดหัวมันออกจากบ้าน ให้มันหย่ากับลูกสาว ...ไม่ใช่ยุให้เขยตัวดีมันรีบวิ่งขึ้นรถ แล้วขับหนีไป...
ครับ... คนอีสานไม่ชอบการพนัน และนักพนัน หมายถึง เป็นนักพนันจริงๆ เล่นเป็นอาชีพ ไม่ใช่เล่นตามเทศกาลที่เปิดช่องให้เล่น เพื่อความสนุกสนาน หมดเทศกาลก็หยุด เช่น เทศกาลสงกรานต์
นอกจากจะเรียกนักพนัน (มืออาชีพ) ว่า "ขี้" แล้ว คนอีสานยังกระแหนะกระแหนทุกครั้งเมื่อเกี่ยวข้องกับเรื่องพนัน เช่น ในบทพากย์หนังประโมทัย หรือ หนังบักตื้อ หรือ หนังตะลุงอีสาน ยังใส่บทพากย์เหมือนสาปแช่งเอาไว้ว่า .... บั้งข้อหล้อ กว้าง 3 นิ้ว ยาว 3 นิ้ว ในหมากขาม 2 ผ่าออกเป็นสี่ เฮ็ดตะรางๆ คุก...!!
ตัวบทที่ผมตัดมาบางส่วนในบรรพ 7 บัญญัติไว้ดังนี้...
...ว่าโตเป็นเชื้อเจ้าแนวขุน มูลมาสมสู่ มาอยู่เป็นเขยได้หลายปี ตั้งแต่ยากจน เสพสุราเล่นไพ่แทงโป เล่นเบี้ยเสียทุนของเก่า ปละเปล่าเฮือนชาน ขับหนีเลยโลด (นิวัติ พ. ศรีสุวรนันท์. 2539: 303)
ถ้อยคำสำนวนภาษากฎหมายเป็นคล้ายร่าย... มีสัมผัสสระ ฟังรื่นหู นี่แหละ ตัวบทกฎหมายของเดิม ซึ่งผมเข้าใจว่า ได้มีการปรับให้เป็นความอีสานแล้ว จะสังเกตได้จาก คำว่า "เล่น" ในภาษาลาว และไทน้อย สะกดด้วยคำว่า"เหล้น" หรือ "หลี้น" ไม่ใช่ "เล่น"
แต่ถึงอย่างไร ก็มิได้ทำให้เสียเนื้อความ และไม่มีการดัดแปลง
ส่วนในบรรพอื่นๆ รู้สึกจะชื่อ สัตวบริหาร หรืออะไรทำนองนี้... เป็นเรื่องการปรับไหม เรียกค่าชดเชยจากความเสียหายอันเกิดจากพวกสัตว์พาหนะ เช่น ช้าง วัว ควาย ที่หลุดไปทำความเสียหาย ผู้เสียหายจับตัวไว้ได้ แล้วฟ้องร้องกัน..
ผมพยายามเต็มที่แล้ว... ได้เท่านี้ เพื่อให้เห็นว่า เรามีกฎหมายเดิมจริงๆ ไม่ใช่มั่ว และเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรมิใช่กฎหมายจารีตประเพณี ...
เห็นหรือยังว่า บรรพบุรุษไตไทยลาว เจริญรุ่งเรืองเพียงไหน... เมื่อพันปี มีกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร ในรูปประมวลกฎหมาย (law code) ใช้กันแล้ว...
สมัยนั้นอเมริกายังไม่มีประเทศ ฝรั่งยุโรป ถ้าไม่นุ่งใบไม้ ผ้าเตี่ยว ก็คงเป็นหนังสัตว์ เที่ยวรบราฆ่าฟันกัน...
แล้วมันไม่วิเศษพอที่จะให้ท่านภูมิใจได้หรือ?!
งานที่เหลือ คือ การตามเก็บฮีต-คองของพี่น้องไตต่างๆ ว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง ส่วนลาวและอีสานนั้นคงขาดแต่เรื่องคอง หรือตัวบทของกฎหมายที่มีในเอกสาร ต้องรวบรวมให้ครบ และถ้าครบได้ทุกภาษาก็ยิ่งดี
แล้วใครจะเป็นคนทำ??!
ก็คนบ้าๆ บอๆ แบบผมนี่แหละ แต่คงไม่ใช่ผม... ต้องเป็นคนรุ่นใหม่...
เมื่อนึกๆ ไป ก็ให้อิจฉาคนรุ่นใหม่ การคมนาคมจะสะดวกง่ายดายในเร็วๆ นี้ ยังไงก็ฉุดไม่อยู่....รู้ไหม ทำไมถนนหนทางหรือเส้นทางคมนาคมในบ้านเมืองเรา จึงสะดวกและเนี้ยบ
คำตอบ คือ การสร้างถนนหนทางมันไปได้ดีกับการคอร์รัปชัน ที่ใดมีนักการเมืองมีบริษัทก่อสร้างทางอยู่ในมือ เขตเลือกตั้งนั้น ถนนหนทางแทบจะปูลาดด้วยทอง
แต่ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็ทำให้เราไปมาสะดวก... และอีกไม่กี่ปี เส้นทางคมนาคมจะเชื่อมถึงกันเกือบทั้งโลก .... สิ่งที่คน (เริ่ม) แก่ หรือวัยรุ่นตอนปลายสุดอย่างผมจะแนะนำ คือ หนุ่มๆ อย่าริมีแฟนในวัยเรียน...
สายตาของคนด้อยประสบการณ์ในช่วงวัยรุ่นมันใช้ไม่ได้ดอก... ตอนหนุ่มน้อยเห็นใครก็สวยไปหมด ... พอมีอายุมากขึ้น สายตาเราถึงจะนิ่ง มองอะไรเป็นจริง สวยคือสวย เซ็กซี่คือเซ็กซี่
อย่าเพิ่งมีแฟน... รอให้เรียนจบ แล้วออกท่องเที่ยวๆๆ... เอาจนจวนจะหมดแรงแล้วค่อยจิ้มว่า จะเอาใครเป็นแม่ของลูก
สาวจีน ญวน ไตเผ่าต่างๆ ทั้ง 12 พันนา 12 จุไท หัวพันทั้ง 5 ทั้ง 6 เดียนเบียนฟงเดียนเบียนฟู ลาว เขมร พม่า... นี่เอาเฉพาะเส้นทางสายไหมทางบกเสี้ยวเดียว ก็ละลานตาไปหมดแล้ว...
แต่... ก่อนจะเดินทาง ต้องเตรียมความพร้อม ไม่อย่างนั้น อดแด... แบ๊ะๆ
รักจะท่องยุทธภพมันต้องครบเครื่องเรื่องวรยุทธ์ ... วรยุทธ์สำคัญที่สุด คือ ภาษา ... ข่าวดีสำหรับหนุ่มอีสาน...คุณจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ได้ง่ายกว่าหนุ่มไทยภาคอื่น... เพราะคุณได้เปรียบทางภาษา ภาษาลาว ของพ่อแม่ปู่ย่าเรานี่แหละ สามารถปรับใช้ได้เกือบค่อนภูมิภาคแล้ว
แต่ต้องเป็นภาษาลาวเดิมๆ มิใช่ลาว กระแดะปนภาษาไทยกรุงเทพฯ เพราะมันสื่อกับเขาไม่ได้... เรียนรู้ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฮีตคอง วิถี ประเพณี ความเชื่อ ...เอาไว้ก่อนลงพื้นที่....
อย่าไปแบบชาวกรุง เห็นอะไรก็แปลกตาตื่นเต้นไปหมด ที่ร้ายคือ ชอบนำมาเปรียบเทียบกับบ้านเมืองของตัวเอง เช่น เห็นบ่อน้ำของชาวไตขืนที่เขาใช้ไม้ไผ่สานแทนท่อซีเมนต์ ก็ตื่นเต้น... ถ้าคุณไม่ได้เป็นสื่อมวลชนไปถ่ายทำรายการ ก็ไม่สู้กระไร แต่... มันทุเรศ ถ้าคุณวี้ดว้ายออกจอ...แล้วพูด ดูสิครับท่านผู้ชม โบราณมวากๆ ขอบอก..ไม่เหมือนที่กรุงเทพฯ เลยอ่ะ!
ผมคงจบเรื่อง ฮีต ๑๒ คอง ๑๔ ไว้แต่เพียงเท่านี้ ... ท่านที่สนใจอยากได้หนังสือ ..ต้องรอไปก่อน... ถ้าไม่สมบูรณ์ผมจะไม่ปล่อย... ที่โพสต์นี่แค่เอาจากความจำมาเขียน...ในหนังสือยังมีอะไรอีกเยอะ รับรองคุ้มค่าเงินของท่าน
ทุกท่านที่ติดตาม...ขอได้รับความขอบพระคุณจากใจผม ...ขออภัยเวลาผมตอบความเห็น... บางครั้งผมก็ล้นๆ อยู่ ... ถึงผมจะมิใช่นางงาม แต่ผมก็รักเด็ก และเกลียดการดูถูกเหยียดหยาม
 
สวัสดีครับ

Visitors: 5,201